เทคโนโลยี

Asus ZenFone 6 ตัวท็อปสเปคแรง จอไร้ขอบและกล้องแบบบานพับ

Asus เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่นอกจากอุปกรณ์ไอทีต่างๆที่เป็นที่ขึ้นชื่ออยู่แล้ว ยังหันมาเอาดีทางด้านโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน ตั้งแต่ปี 2014 ภายใต้ชื่อของ ZenFone และยังคงพัฒนามาเรื่อยๆ ถึงแม้จะไม่ใช้ผู้เล่นรายใหญ่ในวงการสมาร์โฟน แต่ก็ถือเป็นแบรนด์ทางเลือกที่ดี

 

ถึงปี 2019 Asus ได้มีการพัฒนา ZenFone มาถึง Generation ที่ 6 แล้ว ซึ่งครั้งนี้ Asus ก็ใส่สเปคมาให้แบบจัดเต็มไม่แพ้ค่ายอื่นเลยทีเดียว เริ่มจาก ระบบประมาลผลเป็นชิพเซ็ต Qualcomm Snapdragon 855 octa-core ระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie ครอบทับด้วย ZenUI 6 พร้อมการันตี อัพเดทได้อีก 2 เวอ์ชั่นใหญ่ๆกันไปเลย, RAM มีให้เลือกถึง 8 GB, หน่วยความจำให้เลือกสูงสุดถึง 265GB แถมเพิ่ม SD การ์ดได้อีกด้วย,ระบบสแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังของเครื่อง, แบตเตอรี่ขนาด 5000 mAh มาพร้อมกับหน้าจอแบบ IPS LCD ดีไซน์ Nano Edge ขนาด 6.4 นิ้ว อัตราส่วนหน้าจอ 92% มาพร้อมกระจก Gorilla Glass 6,

ภาพ : asus.com

เมื่อพูดถึงหน้าจอแน่นอนว่ายุคนี้ แทรนด์จอสัมผัสแบบไร้ขอบถือเป็นสิ่งที่หลายๆแบรนด์ต่างเริ่มให้ความสำคัญและ Asus ก็เช่นกัน แต่ปัญหาใหญ่อย่างเดียวของจอแบบไร้ขอบนั่นก็คือ จะเอากล้องหน้าไว้ตรงไหน บางเจ้ามีติ่งยื่นลงมาในจอเพื่อพื้นที่สำหรับกล้องหน้า บางเจ้าก็เจาะรูบนหน้าจอเพื่อใส่กล้องหน้า บางเจ้าเริ่มการทำกล้องแบบสไลด์ขึ้นทางด้านบนเพื่อตัดปัญหาติ่งพวกนั้นไป แต่เจ้า ZenFone 6 มาแปลก ใส่กล้องที่มาในรูปแบบบานพับ โดยกล้องหน้าและหลังจะเป็นตัวเดียวกัน

ภาพ : asus.com

เมื่อใช้กล้องปกติ ตัวกล้องก็จะอยู่ทางด้านหลังของเครื่อง แต่เมื่อเปลี่ยนมาเป็นโหมดกล้องหน้า ตัวกล้องนั้นก็จะเปิดขึ้นและหมุนมาทางด้านหน้า โดยใช้มอเตอร์ขนาดเล็กในการขับเคลื่อน มาพร้อม Dual Camera กล้องตัวแระที่ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล (Sony IMX586) ค่ารูรับแสงที่ f/1.7 ระบบกันสั่น EIS, Super Night Mode, AI scene detection, เก็บภาพไฟล์ RAW ได้ และถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K @ 60Fps ได้ กล้องตัวที่สองที่ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์แบบ ultra-wide angle 125°

ภาพ : MKBHD

โดยส่วนใหญ่ปัญหาที่มักจะตามมาในระบบมอเตอร์แบบนี้คือเรื่องของน้ำและฝุ่น โดยทาง Asus ก็ไม่ได้เผยเรทค่า IP แต่อย่างใด แต่ก็อย่างว่าแหละ อยากได้จอไร้ขอบก็ต้องยอมแลกกันอะไรสักอย่าง แฟร์ๆ

ZenFone 6 มีให้เลือก 2 สี ได้แก่สีดำ Midnight Black และสีเงิน Twilight Silver โดยเปิดขายที่ยุโรป ราคาเริ่มต้นที่ 499 ยูโร และสูงสุดที่ 599 ยูโร ส่วนราคาไทยยังไม่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ก็ต้องรอดูกันต่อไปนะจ๊ะ

Thaiger deals

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

Back to top button