ยิ่งใหญ่ ! คลิปพิธีแห่พระรอบเมือง “อ๊ามจุ้ยตุ่ย” ม้าทรง 2,500 องค์โร่โชว์อภินิหาร
ภูเก็ตจัดสมงานประเพณีสำคัญประจำจังหวัด ถือศีลกินผักประจำปี 2568 ประชาชนบนเกาะรวมตัวแห่พระรอบเมืองอ๊ามจุ้ยตุ่ย เต้าโบเก้ง ภูเก็ต ม้าทรงร่วมแสดงอภินิหารกว่า 2,500 องค์
วันที่ 27 ตุลาคม 2568 บรรยากาศการประกอบพิธีแห่พระรอบเมือง ในงานประเพณีถือศีลกินผักจังหวัดภูเก็ต ประจำปี 2568 ซึ่งเป็นวันที่ 8 ของการจัดงานประเพณีที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน โดยวันนี้เป็นพิธีแห่พระรอบเมืองของศาลเจ้าจุ้ยตุ่ย เต้าโบ้เก้ง ซึ่งเป็นศาลเจ้าเก่าแก่ในภูเก็ต โดยขบวนได้ออกจากศาลเจ้า (อ๊าม) ตั้งแต่เช้า ไปตามถนนเส้นต่าง ๆ เพื่อมุ่งหน้าไปสะพานหิน เป็นขบวนแห่พระที่ยาวที่สุด และมีม้าทรงเข้าร่วมกว่า 2,500 คน ได้ใช้เหล็กแหลม ดาบ เรือสำเภา ร่ม หัวมณฑลในตำนานทิ่มแทงตามร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณกระพุ้งแก้มและลิ้น และยังมีการอาบน้ำมัน ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นการรับเคราะห์แทนผู้ถือศีลกินผัก ซึ่งตลอดเส้นทางที่ขบวนพระผ่าน มีประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติร่วมชมขบวนพระ ตั้งโต๊ะรับพระ และจุดประทัด เนืองแน่นในถนนทุกสายที่องค์พระผ่าน
ขณะที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ “อ๊ามจุ้ยตุ่ยเต้าโบ้เก้ง ภูเก็ต” อัปเดตกำหนดการประกอบพิธีเฉี้ยเหี้ยวโห้ย ณ ปลายแหลมสะพานหิน ต.ตลาดใหญ่ อ.เมืองภูเก็ต โดยระบุ ขอเชิญชวน ”ฉ้ายอิ้ว“ ทุกท่านเข้าร่วมพิธีอิ้วเก้ง (แห่พระ) วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม 2568 เวลา 08.00 น. ประกอบพิธีเฉี้ยเหี้ยวโห้ย ณ ปลายแหลมสะพานหิน โดยขบวนจะเดินแห่ไปตามถนนสายต่างๆตามที่ลงโพสประกาศไว้ ปล.ขออภัยในความไม่สะดวกสำหรับผู้ใช้รถใช้ถนนด้วยน่ะครับ !
สำหรับในวันพรุ่งนี้ (28 ต.ค) ซึ่งเป็นวันที่ 9 ของประเพณีถือศีลกินผักจังหวัดภูเก็ต รายละเอียดการจัดงานเบื้องต้นนั้นทราบว่าจะมีเป็นขบวนแห่พระรอบเมืองของศาลเจ้ากะทู้ ศาลเจ้าต้นกำเนิดของประเพณีถือศีลกินผักของจังหวัดภูเก็ต โดยขบวนแห่จะออกจากอ๊าม ตั้งแต่เวลา 06.45 น. และในเวลา 19.00 น. ทางศาลเจ้าจุ้ยตุ่ยเต้าโบ้เก้งจะมีพิธีโก้ยห่าน (พิธีสะเดาะเคราะห์) ตามลำดับ
ก่อนหน้านี้ สมาคมอ๊ามภูเก็ต – 普吉庵廟協會 เผยแพร่ประกาศสมาคมอ๊ามภูเก็ต ที่ 1/2568 เรื่อง การจัดงานประเพณีถือศีลกินผักภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน หมายเหตุ: ประกาศสมาคมอ๊าม มิได้เป็นกฎ หรือข้อบังคับแก่ศาลเจ้าใดๆ หากเป็นแต่แนวทางในการดำเนินการในภาพรวมเท่านั้น ซึ่งแต่ละศาลเจ้ามีดุลพินิจโดยอิสระ และรับผลแห่งการนั้นเป็นการเฉพาะตัวอยู่แล้ว (ดูคลิป: ขอบคุณคลิป Phuketandamannews.FC ).


“ประเพณีถือศีลกินผัก” หรือ เทศกาลกินเจภูเก็ต เป็นประเพณีสำคัญสำหรับชาวไทยเชื้อสายจีนเพื่อเป็นเกียรติแก่เทพเจ้าจักรพรรดิทั้งเก้า โดยการละเว้นการเบียดเบียนสิ่งมีชีวิต รักษาศีล กินเจ สำรวมกาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ ถือเป็นการเจริญเมตตากรุณา นำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว ภูเก็ตเป็นจังหวัดที่จัดประเพณีถือศีลกินผัก หรือเทศกาลกินเจภูเก็ต อย่างยิ่งใหญ่มายาวนานกว่า 200 ปี มีศาลเจ้าภูเก็ตมากกว่า 30 แห่ง ที่ร่วมจัดประเพณี และในปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-29 ตุลาคม 2568
ไฮไลท์สำคัญประกอบด้วยพิธีกรรมต่าง ๆ ตลอด 9 วัน 9 คืน ขบวนแห่หลากสีสัน พิธีการที่มีชีวิตชีวา และอาหารเจอร่อยนานาชนิด ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้ งานเทศกาลกินเจภูเก็ต เป็นที่น่าจดจำ

ประวัติประเพณีกินผัก ภูเก็ต / แหล่งที่มา : ไชยยุทธ ปิ่นประดับ ประเพณีกินผัก (เจี๊ยะฉ่าย) จังหวัดภูเก็ต
เดิมประเพณีกินผักที่ชาวบ้านและชาวจีนที่อยู่ในจังหวัดภูเก็ตเรียกกันว่า “เจี๊ยะฉ่าย” นั้น เป็นลัทธิเต๋าซึ่งนับถือบูชาเซียนเทวดา เทพเจ้า วีรบุรุษเป็นประเพณีที่คนจีนนับถือมาช้านาน โดยเฉพาะคนจีนฮกเกี้ยน คำว่า “เจี๊ยะฉ่าย” (กินผัก) เป็นภาษาท้องถิ่น วันประกอบพิธีตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ (เก้าโง้ยโฉ่ยอีดถึงโฉ่ยเก้า) ตามปฏิทินจีนของทุกๆปี
ประเพณีเจี๊ยะฉ่าย ได้เริ่มขึ้นเป็นครั้งแรกที่หมู่บ้าน ไล่ทู (ในทู) ซึ่งเป็นหมู่บ้านกะทู้ ตำบลกะทู้ จังหวัดภูเก็ตในปัจจุบัน โดยคนจีนเหล่านั้นอพยพเข้ามาทำเหมืองแร่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา (ในสมัยรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) มีการค้าขายแร่ดีบุกกับปอร์ตุเกส ฮอลันดา ฝรั่งเศส อังกฤษ เป็นต้น คนจีนเหล่านั้นได้หลั่งไหลเข้ามามากที่สุดก่อนปี พ.ศ.2368 คือหลังจากเมืองภูเก็ตและเมืองถลางถูกพม่ารุกรานเมื่อปี พ.ศ.2352 พลเมืองได้กระจัดกระจายไปอยู่ตามที่ต่างๆ ครั้นพระยาถลาง (เจิม)ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองถลาง และได้ตั้งเมืองภูเก็ตที่บ้านเก็ตโฮ่ ให้พระภูเก็ต (แก้ว) มาเป็นเจ้าเมือง (ระหว่าง พ.ศ. 2368-2400)
พื้นที่รอบๆ ในทู (กะทู้) อุดมสมบรูณ์ไปด้วยแร่ดีบุก จึงทำให้คนจีนหลั่งไหลเข้ามาขุดแร่ดีบุกเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่จะเป็นคนจีนที่อพยพมาจากเมืองถลางเดิมที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป และที่อพยพมาจากมณฑลฮกเกี้ยน,ซัวเถาและเอ้หมึง ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน โดยอาศัยเรือใบผ่านมาทางแหลมมาลายู เป็นต้น หมู่บ้านในทูในสมัยนั้นยังเป็นป่าทึบ มีไข้ป่า ตลอดจนภยันตรายต่างๆ จากสัตว์ป่ามากมาย แต่ผู้คนและชาวจีนในหมู่บ้านในทูกลับเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีแร่ดีบุกอุดมสมบูรณ์จนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลก
คนจีนที่อยู่ในทูสมัยนั้น มีความเชื่อและความศรัทธาในเรื่องเทพเจ้าประจำตระกูลหรือเทพเจ้าที่คุ้มครองประจำหมู่บ้าน เช่น เทพยดาฟ้าดิน เซียนต่างๆ รวมถึง บรรพบุรุษของตนเองมาก่อนแล้ว เมื่อมีเหตุเภทภัยเกินขึ้นจึงได้มีการอัญเชิญเทพเจ้าแต่ละพระองค์ที่ตนนับถือบูชากราบไหว้ให้มาคุ้มครองปกป้องรักษาตน หรือพวกพ้องที่ได้ทำมาหากินในท้องถิ่นที่ตนพำนักอาศัยให้คนเหล่านั้นอยู่ เย็นเป็นสุขโดยทั่วกันและความเชื่อนี้ยังคงยึดถือจนตราบเท่าทุกวันนี้
ต่อมาได้มีคณะงิ้ว หรือ “เปะหยี่หี่” เดินทางมาจากประเทศจีนมาเปิดแสดงที่บ้านในทู คณะงิ้วนี้สามารถแสดงอยู่ได้ตลอดปี เนื่องจากเศรษฐกิจของชาวในทู กรรกรจีน รวมถึงร้านค้า มีรายได้ดีมาก ในขณะนั้น ต่อมาปรากฏว่ามีตึกดิน 26 หลัง และโรงร้าน 112 หลัง จึงสามารถอุดหนุนงิ้วคณะนี้ได้ตลอดปี หลังจากคณะงิ้วได้เปิดทำการแสดงอยู่ที่บ้านในทูระยะหนึ่ง ได้เกิดมีการเจ็บป่วยเป็นไข้ และจากการเจ็บป่วยครั้งนี้ทำให้คณะงิ้วนึกขึ้นได้ว่าพวกตนไม่ได้ประกอบพิธีเจี๊ยะฉ่าย (กินผัก) ซึ่งเคยปฏิบัติกันมาทุกปีที่เมืองจีน และปรากฏมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอึ่งตี่ฮ่องเต้เป็นต้นมา จึงได้ปรึกษาหารือในหมู่คณะ และได้ตกลงกันประกอบพิธีเจี๊ยะฉ่ายขึ้นที่โรงงิ้วนั่นเอง ทั้งนี้เนื่องจากไม่สามารถลงเรือใบ หรือเรือสำเภาเดินทางกลับไปร่วมพิธีเจี๊ยะฉ่ายที่เมืองจีนได้ทันเพราะใกล้จะถึงวันประกอบพิธีแล้ว จึงได้ตกลงใจประกอบพิธีเจี๊ยะฉ่ายขึ้นที่โรงงิ้วเพื่อขอขมาโทษด้วยสาเหตุ
ต่างๆต่อมาโรคภัยไข้เจ็บก็หายไปหมดสิ้น รวมทั้งโรคภัยไข้เจ็บที่เคยเบียดเบียดชาวในทู ก็ลดลงด้วยเช่นกัน เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจให้แก่ชาวในทูเป็นอันมาก จึงได้สอบถามจากคณะงิ้วและได้คำตอบว่าพวกเขาได้ประกอบพิธีเจี๊ยะฉ่ายแบบย่อๆ เนื่องจากไม่มีผู้รู้และผู้ชำนาญในการจัดประกอบพิธีเจี๊ยะฉ่ายโดยเพียงแต่สักการะบูชากราบไหว้ขอขมาโทษ ระลึกถึงกิ้วอ๋องเอี๋ยหรือ กิ้วอ๋องต่ายเต่หรือพระราชาธิราชทั้งเก้าพระองค์นั้นเอง
คณะงิ้วยังได้แนะนำชาวจีนในทูต่อไปว่า การเชิญเทพเจ้ามาสักการะบูชาเพื่อปกป้องตนเอง ครอบครัว และท้องถิ่น เพื่อให้อยู่เย็นเป็นสุขตามที่ได้ปฏิบัติกันมาแล้ว เป็นสิ่งที่ดีแต่ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นก็ควรจะเจี๊ยะฉ่ายถือศีลไปด้วย การเจี๊ยะฉ่ายไม่จำเป็นต้องปฏิบัติให้ครบทั้งเก้าวัน จะเจี๊ยะฉ่ายกี่วันก็ได้ตามแต่ศรัทธาและเหมาะสมของแต่ละครอบครัว ชาวในทูและคนจีนส่วนใหญ่มีความเชื่อและเลื่อมใสได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของคณะงิ้ว โดยได้ประกอบพิธีเจี๊ยะฉ่ายในปีต่อมา ประเพณีเจี๊ยะฉ่ายของเมืองภูเก็ตได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ในทู (กะทู้) นั่นเอง ต่อมาจึงได้แพร่หลายออกไปตามสถานที่ต่างๆ

หลังจากชาวจีนในทูได้ประกอบพิธีเจี๊ยะฉ่ายได้ประมาณ 2-3 ปี โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้ลดน้อยลงและหายไปในที่สุด ทำให้ชาวจีนที่มาอาศัยทำเหมืองแร่อยู่ตามดงตามป่ามีความเชื่อและศรัทธาเลื่อมใสมากยิ่งขึ้น
ก่อนคณะงิ้วจะย้ายไปทำการแสดงที่อื่น คณะงิ้วได้มอบรูปพระกิ้มซิ้น (เทวรูป),เล่าเอี๋ย (เตียนฮู้หง่วนโส่ย),ส่ามอ๋องฮู่อ๋องเอี๋ย, ส่ามไถ้จือ และได้ให้คำแนะนำแก่ชาวจีนเกี่ยวกับการประกอบพิธีกรรมโดยย่อๆ ในครั้งนั้นด้วยในช่วงระยะที่ชาวจีนกำลังประกอบพิธีเจี๊ยะฉ่าย (กินผัก) ที่ท่านผู้รู้ท่านหนึ่งซึ่งไม่ปรากฏนามเคยอาศัยอยู่ที่มณฑลกังไส (กังไส คือ เจียงซี้ของประเทศจีนในปัจจุบัน) ได้เดินทางมาประกอบอาชีพในทู ได้เห็นการประกอบพิธีเจี๊ยะฉ่ายของชาวจีนไม่ถูกต้องตามแบบฉบับของฉ้ายตึ้ง (ศาลเจ้าในมณฑลกังไส) จึงได้แจ้งให้ชาวจีนในทูทราบว่าตนยินดีรับอาสาเดินทางกลับไปมณฑลกังไสของประเทศจีน เพื่อไปเชี้ยเหี้ยวโห้ย (อัญเชิญธูปไฟ) และองค์ประกอบสำหรับพิธี แต่ไม่สามารถเดินทางไปได้เนื่องจากขาดทุนทรัพย์ ชาวจีนในทูจึงได้ร่วมมือร่วมใจกันรวบรวมทุนทรัพย์ให้กับผู้รู้ท่านนี้ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปมณฑลกังไส
อีก 2-3 ปีต่อมา ในระหว่างที่ชาวจีนในทูประกอบพิธีเจี๊ยะฉ่ายแบบย่อๆ จนถึงวันขึ้น 7 ค่ำ (วันเก้าโง้ยโฉ่ยฉีด) ตามปฏิทินจีน เวลากลางคืน เรือใบจากประเทศจีนได้เดินทางมาถึงหัวท่าบ่างเหลียว (บางเหนียวในปัจจุบัน) ท่านผู้รู้ได้เดินทางกลับมากับเรือใบลำนี้ด้วยและได้ส่งคนมาแจ้งข่าวให้ชาวจีนในทูทราบว่า บัดนี้ตนได้เดินทางกลับจากประเทศจีนมาถึงหัวท่าบางเหลียวพร้อมเชี้ยเหี้ยวเอี้ยน (ผงธูป) มาด้วยแล้ว ขอให้คณะกรรมการกับผู้ที่ร่วมประกอบพิธีเจี๊ยะฉ่ายไปต้อนรับที่หัวบ่างเหลียวในวันเก้าโง้ยโฉ่ยโป๊ยคือวันรุ่งขึ้น
เหี้ยวโห้ย หรือ เหี้ยวเอี้ยนที่นำมาจากมณฑลกังไส ได้จุดปักไว้ในเหี้ยวหล๋อ(กระถางธูป) โดยจุดธูปให้ติดตลอดระยะทางมิให้ดับ นอกจากนี้ยังได้นำแก้ง(บทสวดมนต์,คัมภีร์,ตำราต่างๆ พร้อมทั้งป้ายชื่อเต้าโบ้เก้ง ป้ายติดหน้าอ๊ามฉ้ายตึ้ง)
ปัจจุบันประเพณีเจี๊ยะฉ่าย (กินผัก) ของชาวภูเก็ตได้ปฏิบัติสืบทอดกันมาทุกปีนับเวลาได้ หลายร้อยปีแล้วซึ่งถือว่าเป็นประเพณีอันดีงามของชาวภูเก็ต



อ่านข่าวประจำวันที่ 27 ตุลาคม 2568 ประเด็นเด่นที่น่าสนใจทั้งหมด ตรวจสอบความเคลื่อนไหวที่ไม่ควรพลาด
- เกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดใน พื้นที่ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เบื้องต้นมีผู้บาดเจ็บ 2 ราย
- รายละเอียดเปิดให้ประชาชนถวายสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ 27 ต.ค.68
- เก้า เกริกพล เคลียร์ปมรักร้าว ยังรักกันดี-ไม่ใช่คอนเทนต์ ภรรยาอารมณ์สวิงหลังคลอด
- เลขเด็ด เครื่องบินกองทัพล้อไม่กาง ขวางรันเวย์สนามบินภูเก็ต คอหวยเห็นเลขเพียบ 16/10/68
ติดตาม The Thaiger บน Google News:





