สส.พรรคประชาชน ชำแหละปัญหาสมาคมบอลฯ “มาดามแป้ง” ต้องล้างบ้านครั้งใหญ่

ปั๋น ชิตวัน สส.เชียงราย พรรคประชาชน ชำแหละเบื้องหลังปัญหา สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย หลังข่าวใหญ่แพ้คดี สยามกีฬา 360 ล้านบวกดอกเบี้ยก้อนโต ชี้ชัดปฏิกิริยาของ “ฝี” ที่แตกปะทุออกมา หลังจากที่ปัญหาจากการบริหารสมาคมที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์และการแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง
จากกรณีปัญหาที่เกิดขึ้นในสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ที่นำมาสู่การเปิดเผยเรื่องหนี้สินและการฟ้องร้องไล่เบี้ยนายกสมาคมฯ คนก่อนหน้านี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นเพียงปฏิกิริยาของ “ฝี” ที่แตกปะทุออกมา หลังจากที่ปัญหาจากการบริหารสมาคมที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์และการแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง ที่นำสมาคมฯ มาใช้เป็นเครื่องมือ ถูกบ่มเพาะมาเป็นเวลานานเกินไป
“ปั๋น” ชิตวัน ชินอนุวัฒน์ สส.เชียงราย เขต 1 พรรคประชาชน ซึ่งมีประสบการณ์การทำงานในวงการฟุตบอลไทย ชำแหละข้อมูลหนี้สินก้อนมหึมาของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ย้อนไล่กลับไปได้ตั้งแต่ช่วงปี 2550 เป็นต้นมา และไล่สะสมมาเรื่อยๆ จากการบริหารของนายกสมาคมฯ คนก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็น
ในยุค วรวีร์ มะกูดี (2550-2558) จากการค้างชำระภาษีอากรและเบี้ยปรับที่ไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในช่วงปี 2550-2555 เนื่องจากสมาคมฯ มีรายรับจากการให้บริการกับผู้ให้การสนับสนุนตามสัญญาต่างตอบแทน ถือเป็นเงินได้ตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร ที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มรวมทั้งสิ้น 412 ล้านบาท ทำให้ต้องเสียภาษีอากร รวมทั้งสิ้น 28 ล้านบาท แต่นายกสมาคมฯ ในเวลานั้นละเลยการทำหน้าที่ ทำให้สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยเกิดความเสียหายต้องชำระค่าเบี้ยปรับ จำนวน 57 ล้านบาท และชำระเงินเพิ่มจำนวน 27 ล้านบาท รวมความเสียหายทั้งสิ้น 84 ล้านบาท
ในยุค พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง (2559 – 2567) ในปี 2559 ได้ดำเนินการชำระค่าภาษีอากรรวม 28 ล้านบาท และแจ้งคำร้องของดและหรือลดเบี้ยปรับ และได้รับการยกเว้นค่าเบี้ยปรับจำนวน 57 ล้านบาท ซึ่งดูเหมือนจะเคลียร์ปัญหาไปได้เปลาะหนึ่ง แต่อยู่ๆ พล.ต.อ.สมยศ ก็ได้ทำการยกเลิกสัญญากับสยามสปอร์ตก่อนกำหนด ทั้งที่เหลือสัญญาอีก 1 ปีครึ่ง ทำให้ถูกสยามสปอร์ตฟ้องร้องและล่าสุดศาลสั่งให้ชดใช้เป็นมูลค่ากว่า 360 ล้านบาท ขณะเดียวกันก็ทำการเซ็นสัญญากับ Plan B เป็นระยะเวลา 8 ปี (2564-2571) โดยเป็นภาระผูกพันและจำยอมข้ามวาระของตนเองส่งต่อมาถึงนายกสมาคมฯ คนต่อไป

หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2563 พล.ต.อ.สมยศ ได้กู้ยืมเงินจากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) จำนวน 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 155 ล้านบาท) โดยกำหนดให้มีการชำระคืนเงินกู้ดังกล่าวโดยหักจากเงินสนับสนุนประจำปีที่สมาคมฯ ควรได้รับจากฟีฟ่าปีละ 500,000 เหรียญสหรัฐฯ เป็นระยะเวลา 10 ปีตั้งแต่ปี 2566 ถึง 2575
ภาระหนี้สินถูกส่งต่อมายังยุค “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ (2567 – ปัจจุบัน) เมื่อมาดามแป้งเข้ารับตำแหน่งก่อนที่จะมีคำตัดสินคดีพิพาทกับสยามกีฬา สมาคมฯ มีเงินสดและทรัพย์สินรวม 27 ล้านบาท หนี้สินกว่า 130 ล้านบาท รวมมีหนี้ 105 ล้านบาท แต่หลังจากคดีพิพาทกับสยามกีฬายุติลง สมาคมฯ ต้องชดใช้หนี้ราว 360 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับดอกเบี้ยมีหนี้รวมกว่า 660 กว่าล้านบาท จนเป็นที่มาของหนี้สินก้อนใหญ่ที่กลายเป็นภาระของสมาคมฯ และนายกคนปัจจุบันต้องมาตามเช็ดตามล้างอย่างที่ปรากฏเป็นข่าวในวันนี้

แพทเทิร์นปัญหาเดิมๆ ทำสัญญาที่สมาคมฯ เสียเปรียบ?
แต่หากย้อนไปถึงกรณีสยามสปอร์ต ก็จะเห็นได้ว่าปัญหานี้เกิดขึ้นจากยุคของ วรวีร์ มะกูดี ที่ได้เซ็นสัญญากับสยามสปอร์ตในระยะยาวและผูกพันข้ามวาระมาจนถึงยุคของ พล.ต.อ.สมยศ เช่นกัน ภายใต้สภาพสัญญาที่มองได้ว่าสมาคมฯ เสียเปรียบเอกชนเต็มๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าทั้งสองกรณีของ 2 นายกสมาคมฯ ที่ทำสัญญากับ 2 บริษัทเอกชน มีรูปแบบคล้ายคลึงกันคือเป็นการทำสัญญาที่สมาคมดูจะเสียเปรียบและเสียประโยชน์ มีลักษณะผูกพันข้ามวาระของตัวเองไปนาน เสมือนว่าต้องการให้เอกชนบางรายได้ผลประโยชน์เต็มๆ
ที่น่าสนใจคือตั้งแต่ปี 2562-2567 งบประมาณจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่มีการจ้างทำของ จ้างเหมาบริการ รวมถึงการเช่าบริษัท Plan B รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 978 ล้านบาท แบ่งเป็น
- การจัดจ้างในการจ้างเหมาจัดกิจกรรมและประชาสัมพันธ์ 350 ล้านบาท
- การจัดจ้างเกี่ยวกับสมาคมฟุตบอล 22 ล้านบาท
- การจัดจ้างเกี่ยวกับการถ่ายทอดสด 629 ล้านบาท
มีการตั้งข้อสังเกตได้ว่า งบประมาณเหล่านี้ที่ผ่านมาได้สร้างมูลค่าและพัฒนาวงการกีฬาได้อย่างมีประสิทธิภาพเกิดประโยชน์สูงสุดหรือเป็นการเอื้อผลประโยชน์ให้กลุ่มทุนใดกลุ่มทุนหนึ่งจนเกินสมควรหรือไม่?

Data Analytic อยู่ในมือของใคร?
อีกหนึ่งประเด็นที่น่ากังวลคือ Data Analysis ซึ่งเป็นมูลค่าสำคัญของสมาคมฯ ถูกขายออกไปถาวร โดยไม่ทราบว่าขายไปในราคาเท่าไหร่
การใช้ Data Analytics ที่ช่วยพัฒนาฟุตบอลให้เป็นระบบ ลดความเสี่ยง และเปิดโอกาสให้ทุกทีมสร้างความได้เปรียบโดยไม่ต้องอาศัยทุนมหาศาลเพียงอย่างเดียว แม้จะมีการจัดเก็บโดยบริษัทเอกชนอื่นๆ ที่ถูกใช้กันอย่างเเพร่หลายในโลกฟุตบอลอยู่เเล้ว แต่ก็มีค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงข้อมูลที่ค่อนข้างสูง ทำให้ทีมในไทยลีกหลายทีมไม่ได้ใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการพัฒนาทีม
หากสมาคมฯ มีการจัดเก็บข้อมูลเหล่านี้อยู่เเล้ว ทีมในไทยลีกควรได้สิทธิประโยชน์ในการเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ เพื่อพัฒนานักกีฬาและวงการฟุตบอลไทย แต่ที่ผ่านมามีข่าวลือหนาหูว่าข้อมูลเหล่านี้กลับถูกขายไปให้กับเว็บไซต์การพนันและประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคู่เเข่ง จนส่งผลกระทบต่อรายได้และการบริหารจัดการในปัจจุบันด้วย

วงการฟุตบอลไทย แหล่งเงินก้อนใหญ่ใต้เงาฝ่ายการเมือง
ที่มาของปัญหาทั้งหมดนั้น อาจกล่าวได้ว่ามาจากการที่วงการฟุตบอลไทยมีเงินหมุนเวียนมหาศาลจาก สิทธิประโยชน์, ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด, สปอนเซอร์ และรายได้จากสโมสร ซึ่งที่ผ่านมามีการตั้งข้อสังเกตกันมาตลอดว่ามีการใช้วงการฟุตบอลเป็นเครื่องมือในการระดมทุนสนับสนุนกลุ่มการเมืองบางกลุ่มหรือไม่?
โดยเฉพาะในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงนายกสมาคมฯ หรือในช่วงเลือกตั้งระดับประเทศ ที่มักเกิดปรากฏการณ์ที่สมาคมฯ จับมือกับบริษัทเอกชนในการแสวงหาสิทธิประโยชน์ ซึ่งที่ผ่านมามีกรณีบริษัทเอกชนบางกลุ่มที่มีความสัมพันธ์กับกลุ่มการเมืองบางกลุ่มทางภาคอีสานใต้ได้บริหารสิทธิประโยชน์เหล่านี้ ท่ามกลางสัญญาณความผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็น:
- มีการเปลี่ยนแปลงสัญญาสิทธิประโยชน์หรือสปอนเซอร์ทันทีหลังเปลี่ยนนายกสมาคมฯ
- บริษัทที่ได้สิทธิ์ถ่ายทอดสดมีความเชื่อมโยงกับนักการเมือง
- เงินหมุนเวียนในสมาคมไม่มีความโปร่งใส
- เจ้าของสโมสรฟุตบอลบางแห่งมีบทบาทในการเลือกตั้งระดับประเทศหรือท้องถิ่น
- นักการเมืองเข้าไปมีบทบาทในสมาคมหรือวงการฟุตบอลไทยมากเกินกว่ามืออาชีพในวงการฟุตบอลด้วยกันเอง

เช็ดแล้วต้องเช็ดให้เกลี้ยง
การออกมาเปิดเผยข้อเท็จจริงบางส่วนของความเน่าเฟะภายใต้สมาคมฟุตบอลฯ โดยมาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมฟุตบอลไทยคนปัจจุบัน ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี หลังจากที่วงการฟุตบอลไทยตกอยู่ภายใต้เงาดำมืดและเรื่องราวที่ไม่ค่อยมีใครอยากพูดถึงมานาน
ที่ผ่านมาสมาคมฯ ภายใต้การบริหารของนายกคนก่อนๆ เต็มไปด้วยข้อน่าสงสัยและน่าตั้งข้อสังเกต ทั้งการทำสัญญาที่วงการฟุตบอลต้องเสียประโยชน์ การนำพาสมาคมฯ ไปอยู่ใต้เงากลุ่มการเมือง ปล่อยให้มาแสวงหาผลประโยชน์ ส่งอิทธิพลมาทำสัญญาแล้วผันเงินเข้ากระเป๋าตัวเองเพื่อไปทำการเมืองต่อ
เมื่อมาดามแป้งส่งสัญญาณการเก็บกวาดบ้านและเช็ดล้างคราบไคลที่ฝังรากลึกมานานในสมาคมออกมาแบบนี้แล้ว เราก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่ามาดามแป้งจะเดินหน้าอย่างเต็มที่ในการเช็ดให้เกลี้ยง เคลียร์ปัญหาในอดีต นำบทเรียนจากนายกคนก่อนมาระมัดระวังในการบริหาร และเดินหน้าสร้างสมาคมฯ ให้ได้เป็นที่พึ่งหวังของสโมสร ของนักกีฬา และของพี่น้องประชาชนได้อย่างแท้จริง.
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- สมยศ สู้กลับ! มาดามแป้ง ร่อน 3 ข้อ จี้ขอหลักฐานรับเงินเดือน 32 ล้าน
- สรุป มาดามแป้ง รับทั้งน้ำตา จ่ายสยามกีฬา 500 ล้าน จ่อพบระวิ-ฟ้องสมยศ
- มาดามแป้ง เผย มติสภาอนุมัติการฟ้อง สมยศ-ผู้บริหารชุดเดิม ปมชดใช้เงินสยามสปอร์ต