แพทย์ มช. เจ๋ง ผ่าตัดปลูกถ่ายตับ “คู่แฝด” น้องสละตับช่วยพี่ ไม่ต้องกินยากดภูมิฯ ตลอดชีวิต

ความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์วงการแพทย์ไทย คณะแพทยศาสตร์ มช. ผ่าตัดปลูกถ่ายตับให้คู่แฝดชายวัย 20 ปี เผยความพิเศษพันธุกรรมเหมือนกันเป๊ะ ทำให้ร่างกายไม่ต่อต้าน ช่วยผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ถือเป็นข่าวดี ความก้าวหน้าครั้งสำคัญของวงการแพทย์ไทย เมื่อคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประสบความสำเร็จในการผ่าตัดปลูกถ่ายตับระหว่าง “คู่แฝดเหมือน” ได้เป็นคู่แรกของประเทศไทย เป็นการผ่าตัดเพื่อรักษาผู้ป่วยโรคตับเรื้อรังด้วยการใช้อวัยวะจากคู่แฝดที่มีพันธุกรรมตรงกันทุกประการ
เรื่องราวที่น่าประทับใจนี้เกิดขึ้นกับคู่พี่น้องฝาแฝดชายอายุ 20 ปี แฝดผู้พี่คือ นายศุภวิชญ ซองเงิน ซึ่งป่วยด้วยโรคท่อน้ำดีตีบตันมาตั้งแต่กำเนิด แม้จะเคยได้รับการผ่าตัดเพื่อระบายน้ำดีมาแล้วตั้งแต่ปี 2548 แต่เมื่อเวลาผ่านไป ตับของเขาก็เริ่มเสื่อมสภาพลงจนเกิดภาวะแทรกซ้อนและเสี่ยงต่อภาวะตับวาย ทำให้การปลูกถ่ายตับเป็นทางรอดเดียว
ในสถานการณ์วิกฤตนี้ แฝดผู้น้องอย่าง นายศุภพิชญ ซองเงิน ได้ตัดสินใจอุทิศตนเป็นผู้บริจาคตับให้กับพี่ชาย โดยทีมแพทย์ได้ทำการผ่าตัดนำเนื้อตับประมาณร้อยละ 65 ของนายศุภพิชญ ไปปลูกถ่ายให้กับนายศุภวิชญ
ความพิเศษของเคสนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ความรักความผูกพันของพี่น้อง แต่ในทางการแพทย์ การปลูกถ่ายอวัยวะระหว่าง “ฝาแฝดเหมือน” ถือเป็นกรณีที่พิเศษมาก เนื่องจากทั้งคู่มีพันธุกรรมเหมือนกันทุกประการ ส่งผลให้ร่างกายของผู้รับมีโอกาสปฏิเสธอวัยวะใหม่ต่ำมาก ซึ่งต่างจากการปลูกถ่ายทั่วไปที่ผู้ป่วยมักต้องทานยากดภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต แต่ในกรณีนี้ ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องใช้ยากดภูมิคุ้มกันในระยะยาว ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างมาก
รศ.นพ.สัณหวิชญ์ จันทร์รังสี อาจารย์ประจำหน่วยศัลยศาสตร์ระบบตับฯ แพทย์ผู้ทำการผ่าตัด เปิดเผยว่า การผ่าตัดครั้งนี้มีความท้าทายสูงมาก ทั้งในแง่เทคนิคและการวางแผน โดยศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านการปลูกถ่ายอวัยวะ คณะแพทยศาสตร์ มช. ถือเป็นแห่งเดียวในไทยที่ทำการผ่าตัดปลูกถ่ายตับจากผู้บริจาคที่มีชีวิตในผู้ใหญ่ ทีมแพทย์ต้องประเมินอย่างรอบคอบเพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัยกับทั้งผู้ให้และผู้รับ
ด้าน รศ.นพ.วรกิตติ ลาภพิเศษพันธุ์ รองผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ฯ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาทางศูนย์ฯ ได้ผ่าตัดปลูกถ่ายตับไปแล้วถึง 62 คู่ โดยมีผลลัพธ์ที่น่าพอใจ อัตราการรอดชีวิตในปีแรกสูงถึงร้อยละ 95 ซึ่งเทียบเท่ามาตรฐานระดับโลกอย่างสหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้ ส่วนผู้บริจาคก็มีความปลอดภัยสูง ใช้เวลาพักฟื้นในโรงพยาบาลเฉลี่ยเพียง 6 วันเท่านั้น
นอกจากจะช่วยต่อลมหายใจให้กับผู้ป่วยแล้ว ยังเป็นเครื่องยืนยันถึงศักยภาพของทีมแพทย์ไทย ที่สามารถทำการผ่าตัดที่มีความซับซ้อนสูงในระดับสากลได้สำเร็จ เป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานการรักษาของประเทศไทยให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น

ที่มา : med.cmu.ac.th
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ต้าเหนิง ช็อก! ป่วยตับอักเสบอี ทั้งที่ไม่ดื่มเหล้า เผยค่าตับพุ่ง 1,400
- พี่หนุ่ม คัมแบ็กแล้ว เผยนาทีปวดท้องลุกไม่ไหว นิ่วอุดตันท่อน้ำดี ค่าตับพุ่ง 900
- ดูจบร้องไห้ตาม แห่ส่งแรงใจ “น้องมาร์ติน” 1 ขวบ 3 เดือน สู้มะเร็งตับระยะ 4
ติดตาม The Thaiger บน Google News:



