ข่าวการเมือง

เจาะ 4 ประเด็น คำพิพากษาเต็ม ศาลฎีกาพลิก ทักษิณ ต้องจ่ายภาษี 1.76 หมื่นล้าน

จากกรณี ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร ได้พิจารณาและมีคำพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร (โจทก์) ซึ่งหมายความว่า กรมสรรพากร (จำเลย) ชนะคดี ทำให้การประเมินภาษี 1.76 หมื่นล้านบาทนั้น “ชอบด้วยกฎหมาย”

โดยศาลได้วินิจฉัยใน 4 ประเด็นสำคัญ ดังนี้

1. ประเด็นการส่งศาลรัฐธรรมนูญ

ข้อโต้แย้งของทักษิณ ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองฯ (คปค.) ที่ใช้เป็นฐานในการประเมินภาษี ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2560

คำวินิจฉัยศาลฎีกายกคำร้องนี้ โดยให้เหตุผลว่า ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยในลักษณะเดียวกันนี้ไว้แล้ว (ในคำวินิจฉัยที่ 5/2551) ว่าประกาศ คปค. ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 2550 เมื่อประเด็นเป็นลักษณะเดียวกัน จึงไม่มีเหตุที่จะต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยซ้ำอีก

2. ประเด็นอำนาจการประเมิน การออกหมายเรียก

นี่คือหัวใจสำคัญที่สุด ที่ศาลฎีกาเห็นแย้งกับ 2 ศาลล่างซึ่งตัดสินให้ทักษิณชนะ

ข้อโต้แย้งของทักษิณ กรมสรรพากรไม่มีอำนาจประเมินภาษี เพราะไม่ได้ออกหมายเรียกนายทักษิณโดยตรง และอาจหมดอายุความแล้ว

คำวินิจฉัยศาลฎีกา การออกหมายเรียกชอบด้วยกฎหมายและอยู่ในกำหนดเวลา โดยศาลให้เหตุผลทางกฎหมายว่า

    1. นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา อยู่ในฐานะตัวแทน

    2. นายทักษิณ อยู่ในฐานะตัวการไม่เปิดเผยชื่อ ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ เคยวินิจฉัยแล้วว่านายทักษิณคือเจ้าของหุ้นที่แท้จริง

    3. กรมสรรพากรได้ออกหมายเรียกตัวแทน (คือลูกทั้งสอง) ภายใน 2 ปี ซึ่งถือว่าชอบด้วยกฎหมายแล้ว

    4. ตามกฎหมายแพ่งฯ เมื่อตัวการ ทักษิณ กลับมาแสดงตนว่าเป็นเจ้าของที่แท้จริง นิติกรรมของตัวแทนย่อมผูกพันตัวการ

    5. สรุปคือ เมื่อกรมสรรพากรออกหมายเรียกตัวแทน แล้ว ก็ถือว่ามีผลผูกพันตัวการ ด้วย จึงไม่จำเป็นต้องออกหมายเรียกนายทักษิณซ้ำอีก การประเมินภาษีจึงมีอำนาจทำได้

3. ประเด็นเงินได้พึงประเมิน (ใครคือผู้มีเงินได้?)

ข้อโต้แย้งของทักษิณ ตนเองไม่ใช่ผู้มีเงินได้พึงประเมิน

คำวินิจฉัยศาลฎีกา นายทักษิณคือผู้มีเงินได้พึงประเมิน ศาลชี้ว่า “เงินได้” ไม่ได้หมายถึงเงินสดเท่านั้น แต่รวมถึงทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่คำนวณเป็นเงินได้ ศาลพิจารณาพฤติการณ์ที่ลูกทั้งสอง ซื้อหุ้นจาก บ.แอมเพิล ริช ในราคาหุ้นละ 1 บาท ในวันเดียวกัน หุ้นนั้นมีราคาตลาด 49.25 บาท และลูกทั้งสองก็ขายในราคา 49.25 บาท

ศาลเห็นว่าไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจที่ บ.แอมเพิล ริช จะยอมขายในราคาต่ำกว่าตลาดถึง 40 เท่า พฤติการณ์นี้ ถือว่าเงินได้พึงประเมิน (ส่วนต่างราคา) ได้เกิดขึ้นแล้ว

เมื่อนายทักษิณเป็นตัวการไม่เปิดเผยชื่อ นายทักษิณจึงต้องรับผิดในหนี้ภาษีอากรที่ตัวแทน (ลูกทั้งสอง) ได้ทำขึ้น ศาลจึงรับฟังพยานหลักฐานของกรมสรรพากรว่า นายทักษิณมีเงินได้พึงประเมิน 15,883.9 ล้านบาท การประเมินภาษีจึงชอบแล้ว

4. ประเด็นการขอลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม

ข้อโต้แย้งของทักษิณ หากต้องเสียภาษีจริง ขอให้ศาลงดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม

คำวินิจฉัยศาลฎีกา ไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับ ศาลระบุว่า การที่โจทก์ (ทักษิณ) ให้บุคคลอื่นถือหุ้นแทน (นอมินี) เป็นการกระทำที่ขาดคุณธรรมทางภาษี ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้ถูกต้อง และเป็นธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจ นอกจากการหาประโยชน์อื่น (รวมถึงภาษี)

ศาลใช้คำว่า ธุรกรรมนี้ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง ดังนั้น จึงไม่มีเหตุที่จะงดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มให้

คำพิพากษาของศาลฎีกาจึงสรุปว่า การประเมินภาษีของกรมสรรพากรชอบด้วยกฎหมายทั้งหมด และพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องนายทักษิณ

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

Aindravudh

นักเขียนประจำ Thaiger มีประสบการณ์เขียนข่าวมากกว่า 5 ปี จบการศึกษาด้านภาษาและประวัติศาสตร์ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความสนใจ ประเด็นความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง เจาะประเด็นข่าวทางสังคม ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องแบบย่อยง่าย อย่างงานเขียนสร้างสรรค์ สั้น กระชับ จับทุกประเด็น หัวข้อที่เชียวชาญคือเรื่องไลฟ์สไตล์ เลขเด็ด หวยรัฐบาลไทย หวยลาว ช่องทางติดต่อ vajara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button