ข่าวการเมือง

ทนายชี้ “กัน จอมพลัง” ไม่มีอำนาจ เปลี่ยนชื่อผู้รับผลประโยชน์มูลนิธิ

นายนรเศรษฐ์ โพสต์ชี้ช่องกฎหมาย การแก้ไขข้อบังคับมูลนิธิฯ ต้องใช้มติกรรมการ 2 ใน 3 จากองค์ประชุม 3 ใน 4 ชี้ที่ปรึกษา กัน จอมพลัง ไม่มีอำนาจสั่งการเอง

กรณีข้อบังคับของ “มูลนิธิกันจอมพลังช่วยสู้” ซึ่งระบุว่า หากมูลนิธิต้องเลิกล้ม ทรัพย์สินทั้งหมดที่เหลืออยู่จะตกเป็นของ “มูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า” เรื่องนี้ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ถึงความเชื่อมโยงทางการเมือง ต่อมา “กัน จอมพลัง” ผู้ก่อตั้งมูลนิธิ ได้ชี้แจงว่าสั่งการให้เปลี่ยนชื่อผู้รับผลประโยชน์แล้ว

ล่าสุด ทนายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม โพสต์เฟซบุ๊กให้ความเห็นทางกฎหมายในประเด็นนี้อย่างละเอียด โดยระบุว่า การกระทำดังกล่าวมีขั้นตอนซับซ้อน

ทนายนรเศรษฐ์ชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงผู้รับทรัพย์สินของมูลนิธิ จาก “มูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า” เป็นมูลนิธิอื่น ถือเป็นการแก้ไขข้อบังคับของมูลนิธิ โดยข้อบังคับของมูลนิธิ ข้อ 38 ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า อำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ เป็นอำนาจของที่ประชุมคณะกรรมการเท่านั้น

การดำเนินการดังกล่าวมีเงื่อนไขสำคัญ 2 ประการ คือ

  • การประชุมต้องมีกรรมการเข้าร่วม ไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนกรรมการทั้งหมด (องค์ประชุม)
  • มติอนุมัติให้แก้ไข ต้องได้รับคะแนนเสียง ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของกรรมการที่เข้าร่วมประชุม

ทนายนรเศรษฐ์สรุปว่า อำนาจนี้จึงเป็นของที่ประชุมคณะกรรมการอย่างแท้จริง ที่ปรึกษามูลนิธิไม่มีอำนาจแก้ไขเองได้

ทนายความยังระบุเพิ่มเติมว่า ตนไม่เคยรู้จักคุณกันเป็นการส่วนตัว ขอชื่นชมในหลายบทบาทที่เขาได้ช่วยเหลือผู้เสียหายให้ได้รับความเป็นธรรม แต่สิ่งที่เขียนมาทั้งหมด คือการพูดตามหลักการข้อกฎหมายที่ระบุในข้อบังคับของมูลนิธิเอง

ทนายนรเศรษฐ์ทิ้งท้ายความเห็นไว้ว่า “หากผมเป็นคุณกัน และเชื่อมั่นโดยสุจริตใจว่าการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ โดยกำหนดให้ทรัพย์สินเมื่อเลิกมูลนิธิจะตกเป็นของ ‘มูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า’ นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามเจตนารมณ์และหลักการที่ยึดถือ ผมจะไม่ลังเลหรือพยายามเปลี่ยนแปลงข้อบังคับ แต่จะเดินหน้าทำงานตามเป้าหมายของมูลนิธิต่อไปอย่างไม่หวาดหวั่น”

การเปลี่ยนแปลงผู้รับทรัพย์สินของมูลนิธิ จาก “มูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า”
ภาพ Fb.@ronsan.huadong

อัปเดตความเคลื่อนไหวล่าสุด กันจอมพลัง ประกาศ “มูลนิธิกันจอมพลังช่วยสู้” ขอเดินหน้าต่อ !

หลังจากเป็นกระแสถาโถมอยู่ชุดใหญ่ๆ ล่าสุดฝั่งของกัน จอมพลัง ยืนยันว่า ตนไม่เคยมีเจตนายกเลิกมูลนิธิแล้วโอนทรัพย์สินให้บุคคลอื่นหรือบุคคลใดโดยเฉพาะเจาะจง อีกทั้งมูลนิธิยังเดินหน้าช่วยเหลือประชาชนต่อไป แม้ปัจจุบันงบประมาณติดลบหลัก10 ล้านบาท เนื่องจากมีภาระค่าใช้จ่ายจากโครงการช่วยเหลือต่าง ๆ ที่ยังต้องดำเนินการต่อ

ทั้งนี้ กันจอมพลัง หรือ กัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ อายุ 33 ปี ยืนกรานเสียงแข็ง เน้นย้ำเงินทุกบาท-ทุกสตางค์ เขาและทีมงานมากศรัทธาทุกคนเอาไปช่วยพ่อแม่พี่น้องประชาชนจำนวนมากโดยปกติและจะทำต่อไป ขอให้พ่อแม่พี่น้องมั่นใจได้ว่าไม่มีทรัพย์สินอะไรเป็นชื่อส่วนตัว และรถยนต์สมบุกสมบันที่ใช้ก็เป็นของมูลนิธิฯ ทั้งหมด

กัน จอมพลัง ยังระบุเพื่อความสบายใจของสังคม ขณะนี้ตัวเองเตรียมปรับเปลี่ยนรายชื่อมูลนิธิผู้รับทรัพย์สินในกรณีเลิกกิจการ โดยจะเลือกมูลนิธิใหญ่ระดับประเทศที่ทำงานด้านการศึกษาและช่วยเหลือประชาชนมาแทน แต่ย้ำว่าไม่ใช่การโอนเงินหรือยุบมูลนิธิ แต่เป็นเพียงการแก้ไขรายละเอียดให้โปร่งใสขึ้น

ขณะที่เมื่อช่วงเช้า (23 ต.ค.) ที่ผ่านมา กัณฐัศว์หรือ “กัน จอมพลัง” เคลื่อนไหวผ่านบัญชีโซเชียลของตัวเอง โดยเน้นย้ำว่าตนและทีมงานช่วยสู้ะขอเดินหน้าำเพื่อสังคมและพ่อแม่พี่น้องประชาชนต่อ เหมือนที่เค่วยสู้กันมาเนิ่นนาน พร้อมกับไม่ลืมจะอ่ยทักทายด้วยความสุภาพว่า “สวัสดียามเช้า”

“ตื่นเช้ามาก็ลุยลงบล็อกคอนกรีต เตรียมสร้าง บังเกอร์หลุมหลบภัย เพื่อแนวหน้าอีกแล้ว หลายคนอาจสงสัย ทำไมไม่หยุดสร้างสักทีก็เพราะยังมีอีกหลายพื้นที่ที่ต้องการ ความปลอดภัยจากใจของพวกเรา ส่วนพิกัดหน้างาน เราขอไม่ลงนะ ไม่ใช่ไม่ทำจริง แต่เพื่อปกป้องพื้นที่ปลอดภัยของพี่ๆ แนวหน้า ไม่ให้ข้อมูลถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ (มายเฟรนชอบส่องอะ เซฟๆไว้ก่อน)”

“พวกเรามูลนิธิกันจอมพลังช่วยสู้ ขอเดินหน้าต่อ ด้วยใจที่เต็มไปด้วยพลังและความห่วงใยนะ”

กันจอมพลังช่วยสู้ ประกาศเดินหน้าต่อ 23 ตุลาคม วันปิยมหาราช 2568
ภาพจาก : มูลนิธิ กันจอมพลัง ช่วยสู้
การเปลี่ยนแปลงผู้รับทรัพย์สินของมูลนิธิ (1)
ภาพ Fb.@ronsan.huadong

 

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

Pachara

นักเขียนประจำที่ Thaiger จบการศึกษาด้านศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา เคยผ่านประสบการณ์ผู้สื่อข่าวกีฬา เริ่มเขียนบทความกับ Thaiger ตั้งแต่ปี 2021 วิ่งกับการอ่านหนังสือ คือ กิจกรรมที่สนใจเป็นพิเศษ ช่องทางติดต่อ pachara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button