ข่าวกีฬา

ย้อน 7 พิธีเปิดโอลิมปิก ยิ่งใหญ่จากรึกตำนาน โหมโรงก่อน ปารีส 2024

อีกไม่กี่วัน พิธีเปิดโอลิมปิก 2024 ที่ปารีสกำลังจะเริ่มขึ้น 26 กรกฎาคมนี้ ทีมข่าวไทยเกอร์ มาย้อนรำลึกถึง 7 พิธีเปิดโอลิมปิกในตำนาน ที่เคยสร้างความประทับใจและตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชมทั่วโลก การแสดงอันน่าทึ่ง เทคโนโลยีสุดล้ำ และช่วงเวลาแห่งความภาคภูมิใจของแต่ละประเทศ จะทำให้คุณตื่นเต้นและตั้งตารอคอยพิธีเปิดปารีส 2024 มากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
พระจันทร์เต็มดวงขึ้นด้านหลังวงแหวนโอลิมปิกที่ห้อยลงมาจากหอไอเฟลเมื่อวันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส พิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกคือวันศุกร์
(AP Photo/David J. Phillip)

โอลิมปิกโตเกียว 2020

พิธีเปิดจัดขึ้นที่กรุงโตเกียว วันที่ 23 กรกฎาคม 2564 ต้องเลื่อนการจัดหนึ่งปี เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 พิธีเปิดต้องจัดขึ้นโดยไม่มีผู้ชมในสนาม แต่ก็ยังคงความงดงามและทรงพลังภายใต้แนวคิด “United by Emotion” หรือ “รวมใจเป็นหนึ่งเดียว”

พิธีเปิดเริ่มต้นด้วยการแสดงที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง โดยเน้นการใช้สัญลักษณ์และการแสดงออกทางศิลปะ เพื่อสื่อถึงความหวัง ความฝัน และความสามัคคีของมวลมนุษยชาติ การแสดงไฮไลท์หนึ่งคือการแสดงภาพวาดของเด็กๆ ทั่วโลก ที่วาดภาพตัวเองกำลังเล่นกีฬาต่างๆ สะท้อนถึงพลังของกีฬาในการเชื่อมโยงผู้คนจากทุกมุมโลก

ไฮไลท์สำคัญที่สร้างความประทับใจ คือ การแสดง Droplets หมู่มวลร้อยคนถือลูกบอลสีขาวขนาดใหญ่ สื่อถึงหยดน้ำที่รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว สะท้อนถึงความสำคัญของความร่วมมือและการเอาชนะอุปสรรค

การแสดงชุดพิคโตแกรม (สัญลักษณ์กีฬา) ที่สนุกสนานและมีชีวิตชีวา โดยนักแสดงแต่งกายด้วยชุดสีสันสดใส เคลื่อนไหวร่างกายเลียนแบบสัญลักษณ์กีฬาแต่ละชนิด สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับผู้ชม

คบเพลิงโอลิมปิกถูกจุดขึ้นโดย นาโอมิ โอซากะ นักเทนนิสหญิงชื่อดังชาวญี่ปุ่นเชื้อสายเฮติ เป็นสัญลักษณ์ของความหลากหลายและการยอมรับในสังคมญี่ปุ่น

นักกีฬากว่า 11,000 คน จาก 206 ประเทศ เดินพาเหรดเข้าสู่สนาม นำโดยทีมนักกีฬาผู้ลี้ภัย (Refugee Olympic Team) ตามด้วยประเทศกรีซ ตามด้วยประเทศอื่นๆ เรียงตามตัวอักษรภาษาญี่ปุ่น ทัพนักกีฬาไทย “เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักเทควันโดหญิงความหวังเหรียญทอง ถือธงชาตินำขบวน

โอลิมปิก ริโอ 2016

พิธีเปิดจัดขึ้นที่ ริโอ เดอ จาเนโร วันที่ 5 สิงหาคม 2559 ณ สนามกีฬามารากานัง สถานที่อันเป็นตำนานของวงการฟุตบอลบราซิล ภายใต้แนวคิด “โลกใหม่” (New World) ที่สื่อถึงการเริ่มต้นใหม่และความหวังของมวลมนุษยชาติ

เจ้าภาพบราซิลออกแบบการแสดงตื่นตาตื่นใจ เต็มไปด้วยสีสัน เริ่มต้นด้วยการนำเสนอประวัติศาสตร์ของบราซิล ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มที่มีชนพื้นเมืองอาศัยอยู่ ผ่านยุคล่าอาณานิคมของโปรตุเกส การค้าทาสจากแอฟริกา การอพยพของชาวญี่ปุ่นและชาวอาหรับ สู่การเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม

จากนั้นเข้าสู่ยุคปัจจุบัน ใช้ ซูเปอร์โมเดล จีเซล บุนด์เชน ปรากฏตัวในชุดราตรีสีทองอร่าม เดินแบบบนเวทีที่ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์พิธีเปิดโอลิมปิก พร้อมกับเสียงเพลง “The Girl from Ipanema” อันเป็นเอกลักษณ์ของบราซิล

ปีนี้แตกต่างจากพิธีเปิดโอลิมปิกครั้งก่อนๆ ที่เน้นความอลังการ พิธีเปิดครั้งนี้เน้นความเรียบง่ายแต่สร้างสรรค์ ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการฉายภาพและแสงสี สื่อถึงความสำคัญของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการลดภาวะโลกร้อน ส่วนคบเพลิงโอลิมปิกถูกจุดขึ้นโดยวันเดอร์ไล กอร์เดโร เดอ ลิมา อดีตนักวิ่งมาราธอนเหรียญทองแดง ที่เคยถูกผู้ชมวิ่งเข้ามาขวางทางในโอลิมปิก 2004 ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของสปิริตนักกีฬาและการเอาชนะอุปสรรค

นักกีฬากว่า 11,000 คน จาก 207 ประเทศ เดินพาเหรดเข้าสู่สนามอย่างภาคภูมิใจ นำโดยประเทศกรีซ ตามด้วยประเทศอื่นๆ เรียงตามตัวอักษรภาษาโปรตุเกส โดยทัพนักกีฬาไทย นำโดย รัชนก อินทนนท์ นักกีฬาแบดมินตัน ได้รับเสียงปรบมือต้อนรับอย่างอบอุ่น

โอลิมปิกลอนดอน 2012

จัดขึ้นวันที่ 27 กรกฎาคม 2555 ณ สนามกีฬาโอลิมปิก ใจกลางกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ภายใต้แนวคิด “เกาะมหัศจรรย์” (Isles of Wonder) ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวรรณกรรมอมตะ “เดอะ เทมเปสต์” ของเชกสเปียร์

ผู้ชมกว่า 80,000 คนภายในสนามและผู้ชมทั่วโลกหลายพันล้านคนต่างตื่นตะลึงไปกับการแสดงเปิดตัวที่ยิ่งใหญ่ตระการตา สนามกีฬาโอลิมปิกถูกเนรมิตให้กลายเป็นทุ่งหญ้าชนบทของอังกฤษ มีชาวบ้านกำลังปิกนิกและเล่นกีฬาคริกเก็ตอย่างสนุกสนาน ก่อนที่จะเปลี่ยนฉากไปสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ที่มีการแสดงแสง สี เสียง สุดอลังการ จำลองปล่องควัน โรงงาน และเครื่องจักรไอน้ำขนาดยักษ์ สื่อถึงความเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมของสหราชอาณาจักร

ไฮไลท์สำคัญคือ ควีนอลิซาเบธที่ 2 พร้อมกับ เจมส์ บอนด์ (แดเนียล เคร็ก) ปรากฏตัวในคลิปวิดีโอสั้น ก่อนที่ทั้งสองจะกระโดดร่มลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ และปรากฏตัวจริงในสนามกีฬา, โรวัน แอตคินสัน หรือที่รู้จักกันในนาม “มิสเตอร์บีน” ได้มาสร้างสีสันและเสียงหัวเราะให้กับผู้ชม ด้วยการบรรเลงเพลงชาติอังกฤษร่วมกับวง London Symphony Orchestra ในแบบฉบับของมิสเตอร์บีนที่ไม่เหมือนใคร

 

โอลิมปิกปักกิ่ง 2008

พิธีเปิดโอลิมปิกจัดขึ้นวันที่ 8 สิงหาคม 2551 ณ สนามกีฬาแห่งชาติ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “รังนก” ในเวลา 20:08 น. ซึ่งตัวเลข 8 นั้นมีความหมายพิเศษในวัฒนธรรมจีน สื่อถึงความเจริญรุ่งเรืองและความมั่นใจ

พิธีเปิดที่สวยงามตระการตานี้กำกับโดยผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง จาง อี้โหมว โดยเน้นนำเสนอความคิดสร้างสรรค์และศิลปวัฒนธรรมจีนโบราณอันงดงาม อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่มีการใช้เทคโนโลยีควบคุมสภาพอากาศเพื่อป้องกันฝนตกอีกด้วย มีนักแสดงกว่า 15,000 ชีวิตเข้าร่วมในพิธีนี้

ไฮไลท์สำคัญของพิธีเปิดคือช่วงสุดท้ายที่ หลี่ หนิง นักยิมนาสติกเจ้าของเหรียญโอลิมปิก 6 สมัย ได้วิ่งขึ้นไปจุดคบเพลิงบนยอดสุดของสนามกีฬา ซึ่งถูกออกแบบให้ดูเหมือนว่าเขากำลังวิ่งอยู่บนอากาศ เป็นภาพที่สร้างความประทับใจและตื่นตาตื่นใจแก่ผู้ชมทั่วโลก

โอลิมปิกเอเธนส์ 2004

พิธีเปิดจัดขึ้นวันที่ 13 สิงหาคม 2547 ณ สนามกีฬาโอลิมปิก ในกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของกีฬาโอลิมปิก ภายใต้แนวคิด “Welcome Home” หรือ “ยินดีต้อนรับกลับบ้าน”

พิธีเปิดเริ่มต้นด้วยการแสดงที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง นำเสนอประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของกรีซตั้งแต่ยุคโบราณ ผ่านการแสดงแสง สี เสียง การเต้นรำที่สวยงามตระการตา ผู้ชมกว่า 72,000 คนภายในสนามและผู้ชมทั่วโลกหลายพันล้านคนต่างตื่นตาตื่นใจไปกับการแสดงที่ยิ่งใหญ่

สนามกีฬาโอลิมปิกถูกเนรมิตให้มีทะเลสาบขนาดใหญ่กลางสนาม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อันเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมตะวันตก จากนั้นนำเสนอเทพเจ้าและเทพธิดาจากตำนานกรีก เช่น ซุส เฮรา โพไซดอน และอะธีนา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพลัง ความรัก ทะเล และปัญญา

บเพลิงโอลิมปิกถูกจุดขึ้นโดย นิคอส กาคลามานาคิส นักแล่นเรือใบเหรียญทองโอลิมปิก 1996 ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของการ

ปีนี้นักกีฬาไทย เดินขบวนพาเหรดเข้าสู่สนาม ถือธงโดย “วิว” เยาวภา บุรพลชัย นักเทควันโดหญิง ที่ต่อมาคว้าเหรียญทองแดงประวัติศาสตร์มาได้สำเร็จ

โอลิมปิกซิดนีย์ 2000

พิธีเปิดจัดขึ้น วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2543 ขึ้นที่สนามกีฬา Stadium Australia เป็นการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างความดั้งเดิม ความทันสมัย และการเฉลิมฉลองวัฒนธรรมและมรดกอันเป็นเอกลักษณ์ของออสเตรเลีย พิธีนี้กำกับโดย ริค เบิร์ช ใช้นักแสดงกว่า 12,000 ชีวิต

พิธีเปิดเริ่มต้นด้วยเสียงอันไพเราะและน่าหลงใหลของ “ดิดเจอริดู” เครื่องดนตรีพื้นเมืองของชาวอะบอริจิน เพื่อแสดงความเคารพต่อมรดกอันยาวนานของชนพื้นเมืองออสเตรเลีย การแสดงชุดนี้มีชื่อว่า “Awakening” เป็นการยกย่อง “ดรีมไทม์” (Dreamtime) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณอันลึกซึ้งที่ชาวอะบอริจินมีต่อแผ่นดิน

ตามด้วยการแสดงที่มีชีวิตชีวาชื่อ “Deep Sea Dreaming” ซึ่งเฉลิมฉลองมรดกทางทะเลของออสเตรเลียและความสวยงามของแนวปะการัง Great Barrier Reef นักแสดงในชุดเครื่องแต่งกายอันวิจิตรตระการตาได้จำลองชีวิตใต้ท้องทะเล สร้างภาพแฟนตาซีใต้น้ำอันน่าทึ่งบนพื้นดิน

ส่วน “Tin Symphony” พาผู้ชมเดินทางย้อนเวลาไปสัมผัสอดีตทางอุตสาหกรรมของออสเตรเลีย โดยมีนักแสดงใช้เครื่องมือและเครื่องจักรเป็นสัญลักษณ์ของวิวัฒนาการของประเทศผ่านความเฉลียวฉลาดและการทำงานหนัก ส่วนนี้เป็นการผสมผสานระหว่างการเต้นรำแบบดั้งเดิมและสมัยใหม่ สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาของประเทศ

หนึ่งในการแสดงที่น่าจดจำที่สุดคือ “Nature” ซึ่งนักเต้น 2,000 คนสร้างลวดลายอันสลับซับซ้อนเป็นตัวแทนของพืชและสัตว์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของออสเตรเลีย ส่วนนี้เป็นงานฉลองทางสายตาที่แสดงให้เห็นถึงความงามตามธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพของออสเตรเลีย

หนึ่งในช่วงเวลาที่น่าประทับใจที่สุดคือขบวนพาเหรดของนักกีฬาจาก 199 ประเทศ ที่เดินเข้าสู่สนามกีฬา โดยแต่ละประเทศได้รับการต้อนรับด้วยเสียงเชียร์อย่างกระตือรือร้น และเป็นครั้งแรกที่เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้เดินขบวนร่วมกันภายใต้ธงเดียว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของก้าวสำคัญสู่การปรองดอง

การจุดคบเพลิงโอลิมปิกถือเป็นไฮไลท์สำคัญของค่ำคืนนี้ เคธี่ ฟรีแมน นักกีฬาชาวอะบอริจิน ได้รับเกียรติให้เป็นผู้จุดคบเพลิง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเดินทางสู่การปรองดองระหว่างชาวอะบอริจินและชาวออสเตรเลียเชื้อสายยุโรป

โอลิมปิกแอตแลนต้า 1996

พิธีเปิดโอลิมปิกแอตแลนต้า 1996 การเฉลิมฉลอง 100 ปีของกีฬาโอลิมปิกยุคใหม่ จัดขึ้น ณ สนามกีฬา Centennial Olympic Stadium พิธีนี้เน้นนำเสนอเยาวชนอเมริกันและวัฒนธรรมกีฬามหาวิทยาลัย ประวัติศาสตร์ของเมืองแอตแลนต้าและพื้นที่ทางใต้ของสหรัฐฯ รวมถึงวัฒนธรรมและการฟื้นฟูหลังสงครามกลางเมืองอเมริกา

เพลงประจำรัฐจอร์เจียอย่างเป็นทางการ “Georgia on my Mind” ซึ่งโด่งดังจากการขับร้องของ Ray Charles ถูกนำมาขับร้องใหม่โดย Gladys Knight ในขณะที่เพลง “The Power of the Dream” ได้รับการขับร้องโดยศิลปินชาวแคนาดา Céline Dion และ David Foster และหนึ่งในช่วงเวลาที่เป็นสัญลักษณ์มากที่สุดในประวัติศาสตร์โอลิมปิก คือการที่ตำนานนักมวย Muhammad Ali ได้จุดคบเพลิงโอลิมปิก

Aindravudh

นักเขียนประจำ Thaiger มีประสบการณ์เขียนข่าวมากกว่า 5 ปี จบการศึกษาด้านภาษาและประวัติศาสตร์ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความสนใจ ประเด็นความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง เจาะประเด็นข่าวทางสังคม ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องแบบย่อยง่าย อย่างงานเขียนสร้างสรรค์ สั้น กระชับ จับทุกประเด็น หัวข้อที่เชียวชาญคือเรื่องไลฟ์สไตล์ เลขเด็ด หวยรัฐบาลไทย หวยลาว ช่องทางติดต่อ vajara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button