สรุปให้ “ไดกิ้น” ปิดงานมีผล 6 ธ.ค. ไม่ใช่เลิกจ้าง เปิดมุมนายจ้าง-พนง.ใครเจ็บสุด?
จากรณีบริษัท “ไดกิ้น” ประกาศปิดงานงดจ้าง สหภาพแรงงาน-สมาชิก ตกลงโบนัสไม่ลงตัว พาดูข้อกฏหมายอธิบายชัด นายจ้างสั่งปิดงานงดจ้าง ไม่ใช่การเลิกจ้าง ชี้ผู้ที่ได้รับผลกระทบสุดจากคำสั่งนี้ มุมผู้ประกอบการหรือลูกจ้างเจ็บ ใครเจ็บที่สุดในสถานการณ์นี้
กำลังเป็นที่กระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก หลังจากที่ บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศรายใหญ่ ออกหนังสือแจ้ง “ปิดงานงดจ้าง” กับสหภาพแรงงานไดกิ้นอมตะนครศรีและสมาชิกสหภาพฯ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีผลตั้งแต่เวลา 08.00 น.ของวันที่ 6 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป
คำสั่งดังกล่าวนั้น สื่บเนื่องจากปัญหา ก่อนนี้นี้ที่เป็นข่าวดัง จากเรื่องพิพาทโบนัสประจำปีและการแจกทองที่ปรับเปลี่ยนเงื่อนไข กระทั่งล่าสุดผลการเจรจายืดเยื้อนานจนไม่สามารถหาข้อยุติได้
การเผชิญหน้าระหว่างบริษัทฯ กับ พนง.กลุ่มสหภาพแรงงานฯ เกิดขึ้นจากความขัดแย้งในการเจรจาต่อรองเรื่องโบนัสประจำปี 2568 ลากยาวกระทั่งคำสั่งปิดงานงดจ้าง มีหนังสืออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมลายเซ็นชัดเจนจากเจ้าของบิษัทในฐานะผู้ออกคำสั่งเพื่อแก้ปัญหาล่าสุด
ทั้งนี้ข้อเสนอเริ่มต้นจากบริษัทฯ คือ โบนัส 5 เดือน + เงินพิเศษ 12,000 บาท
ภายหลังมีการรายงานว่า บริษัทเสนอเพิ่มเป็น 7-8 เดือน หากพนักงานยอมตัดเรื่องทองคำออก
แต่ข้อเรียกร้องจากพนักงาน-สหภาพฯ มีการขอโบนัสที่ 11 เดือน + เงินพิเศษ 100,000 บาท มีรายงานข่าวอื่นๆ ที่ระบุตัวเลขแตกต่างกันไป เช่น 8 เดือน + 24,000 บาท และมีประเด็นเรื่องการปรับลดสวัสดิการ ทองคำ 3 บาท ที่พนักงานบางส่วนเคยได้รับ
จากเอกสารของบริษัทฯ ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2568 ระบุว่า ตามที่ได้มีการเจรจาข้อพิพาทแรงงานกันมาหลายครั้ง แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ จนกระทั่งการเจรจาไกล่เกลี่ยเมื่อเวลา 12.00 น. ของวันที่ 4 ธ.ค. 2568 ที่ผ่านมา ไม่สามารถหาข้อยุติได้ และกลายเป็น ข้อพิพาทแรงงานที่ไม่สามารถตกลงกันได้’บริษัทฯ จึงอาศัยสิทธิตามกฎหมายแรงงาน ประกาศปิดงานกับสหภาพแรงงานไดกิ้นอมตะนครศรีและสมาชิกสหภาพฯ ที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2568 เวลา 08.00 น.เป็นต้นไป


เปิดข้อกฎหมายสั่งปิดงานงดจ้าง ไม่ใช่การเลิกจ้าง-นายจ้างมีสิทธิทำได้หรือไม่
สำหรับกรณีที่ผู้ประกอบการหรือนายจ้าง สั่งปิดงานงดจ้างนั้น ตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ ชี้ลูกจ้างไร้สิทธิรับค่าจ้างช่วงดังกล่าว เพราะตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 การปิดงานงดจ้าง มิได้เป็นการเลิกจ้างพนักงาน แต่เป็นมาตรการทางกฎหมายที่นายจ้างสามารถใช้ได้ในบางสถานการณ์ เมื่อเกิด ข้อพิพาทแรงงาน และการเจรจาระหว่างคู่กรณียุติลงโดยไม่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้
ทั้งนี้ การปิดงาน เป็นการหยุดการทำงานของสถานประกอบการทั้งหมด หรือ “บางส่วน” เพื่อกดดันให้การเจรจาเดินหน้าหรือยุติข้อพิพาทแรงงาน โดยก่อนการปิดงาน นายจ้างต้องผ่านกระบวนการ
- เกิดข้อพิพาทแรงงาน
- เจรจากับลูกจ้างหรือสหภาพแรงงานแต่ไม่เป็นผล
- แจ้งต่อพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานตามขั้นตอน
ขณะเดียวกันเมื่อมีการปิดงาน ลูกจ้างจะไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในระหว่างช่วงเวลานี้เนื่องจากถือว่า ไม่ได้ทำงานตามปกติ ตามหลักกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ โดยในมุมปฏิบัติ ระยะเวลาการปิดงาน ไม่มีการกำหนดตายตัว ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่คู่พิพาทจะสามารถหาทางยุติปัญหาได้ อาจกินเวลาเพียงไม่กี่วัน หลายสัปดาห์ หรืออาจยาวนานเป็นเดือน หากยังอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายที่อนุญาต
สรุปสั้นๆ ของเกมระหว่างผู้ประกอบการกับลูกจ้างหนล่าสุดนี้ เฟซบุ๊กแฟนเพจ Starless Night – Harit Mahaton ระบุว่า “สำหรับเรื่องไดกิ้นตอนนี้พนักงานยังไม่ถูกไล่ออกนะ เพราะถ้าบริษัทไล่พนักงานออกต้องจ่ายชดเชย จังหวะนี้คือการสู้กันว่าใครจะทนได้นานกว่ากัน ระหว่างพนักงานที่ไม่ได้เงินเดือน หรือบริษัทที่ต้องหยุดทำการชั่วคราว”

มุมคนเสพข่าว เข้าใจหัวอกสหภาพ ย้ำชัดไม่ใช่ตัวฉุดรั้งสิ่งเจริญ แต่เป็นผู้คอยเรียกร้องปากท้อง-คุณภาพชีวิตลูกจ้าง
ต่อมา ณรรธราวุธ เมืองสุข อดีตบรรณาธิการข่าว อดีตโปรดิวเซอร์โทรทัศน์ แสดงความคิดเห็นในอีกมุม โดยระบุ หลังจากตนได้อ่านข่าวสหภาพพนักงานไดกิ้นอมตะรักษ์เสรีถูกบริษัทปิดงาน ***ย้ำอีกทีว่าไม่ใช่เลิกจ้าง (บริษัทประกาศปิดงาน เพื่อไม่จ่ายค่าแรงกับพนักงานบางกลุ่มที่เป็นสมาชิกสหภาพ ซึ่งมีความหมายคือ หาทางกดดันให้รับข้อเสนอ ถ้าไม่รับก็ปิดงานต่อจนทนไม่ไหว ลาออกไปเองนั่นแหละ)
แล้วต่อมามีคนเข้าไปหัวเราะเยาะ ล้อเลียน และซ้ำเติมว่าอยู่ดีไม่ว่าดี นายจ้างจ่ายโบนัสให้อยู่แล้วยังไม่รู้จักพอ ถูกไล่ออกรับปีใหม่(เขายังไม่กล้าไล่ออกหรอก เพราะต้องจ่ายค่าชดเชยบานเลย) ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีใครรับ เพราะมีประวัติติดตัว บลาๆๆๆ จริงๆ ไม่ใช่แค่ลูกจ้างไดกิ้น แต่ไม่ว่าสหภาพแรงงานที่ไหนก็มักถูกมองแง่ลบจากสังคม โดยเฉพาะจากบรรดาลูกจ้างเขานี่แหละ หาว่าเป็นพวกไม่รู้จักพอ
ฟังแล้วก็เศร้าและขมขื่นกับสังคมนี้มาก ถูกกดเป็นทาสจนเคยชิน เพราะโบนัสก้อนแรก ทั้งสวัสดิการที่ดีขึ้นของพนักงาน ไม่ได้อยู่ๆ ตกลงมาจากฟ้า หรือความกรุณาปราณีของนายจ้าง แต่มาจากการต่อรอง จากการรวมตัวที่เข้มแข็งของพนักงาน จนก่อเกิดเป็นสหภาพ
พูดง่ายๆ คือ หากลูกจ้าง 1 คน ยกมือเรียกร้องสวัสดิการเพิ่ม ขอโบนัสจากผลกำไรของนายจ้าง โอกาส 99% คือถูกไล่ออก แต่หากเพิ่มจำนวนลูกจ้างเป็น 2-3-4 คน โอกาสก็ลดลง และยิ่งลูกจ้างมารวมตัวเป็นสหภาพ มัดรวมเป็นกอไผ่กอใหญ่ ก็ยากที่นายจ้างจะดำเนินการไล่ออกคนทั้งโรงงาน
การที่ไดกิ้นทำแบบนี้ ถ้ากล้ากดดันไปเรื่อยๆ จนพนักงานกลุ่มที่ไม่ยอมรับขัอเสนอ ลาออกไปเอง นั่นคือมั่นใจว่าไม่กระทบสายพานการผลิต อันเนื่องมาจากหาคนทดแทนได้ หรือมีจำนวนคนที่หางานใหม่ ในทักษะเดียวกัน สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีนัก
ที่ผ่านมากฎหมายคุ้มครองแรงงาน สวัสดิการลาคลอด การได้ค่าแรงเพิ่ม โอทีเพิ่ม ฯลฯ ไม่ได้เกิดจากความเมตตาของนายจ้าง แต่มันมาจากการเรียกร้องของคนทำงานสหภาพแรงงานต่างๆ ที่มีการขยายตัวเป็นเครือข่าย รวมตัวกัน เขียนข้อเรียกร้องให้เป็นร่างกฎหมาย และทำงานขับเคลื่อนจนถึงมือฝ่ายนิติบัญญัติ

เจ้าของความเห็นนี้ยังตั้งคำถามล่าสุดถึง สังคมไทยณปัจจุบันด้วยว่า ปลูกฝังกันยังไง ถึงสร้างมนุษย์ที่เกลียดกลัวคนในชนชั้นเดียวกัน และเห็นใจฝ่ายที่มีอำนาจ มีทุน มีเงินมากกว่า ทั้งที่ในประเทศพัฒนากว่าเรา สหภาพแรงงานรวมตัวกันเป็นเรื่องปกติมาก และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจก็รุดหน้าไปกว่าเรามาก
“สหภาพแรงงาน” ไม่ใช่ตัวฉุดรั้งความเจริญ แต่เป็นผู้ที่คอยเรียกร้องให้ปากท้องและคุณภาพชีวิตของลูกจ้าง เติบโตและก้าวหน้า มีเงินในกระเป๋า ไปใช้จ่ายสร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ นี่คือพื้นฐานที่แท้จริงของความเจริญรุ่งเรือง.
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ไดกิ้น งัดไม้แข็ง ปิดงานงดจ้าง สหภาพแรงงาน เจรจายอดโบนัสไม่เป็นผล
- ผลการแข่งขันวอลเลย์บอล ศึกไดกิ้น 2021 วันที่ 13-14 กุมภาพันธ์ 2563
- คลิปดราม่าสนั่น! พนง.บริษัทดัง โบนัส 5 เดือนไม่พอใจ ประท้วงขอ 11 เดือน
ติดตาม The Thaiger บน Google News:



