ย้อนตำนานสะพานรักสารสิน ‘โกดำ-กิ๊ว’ รักต่างชนชั้น โศกนาฏกรรมซ้ำรอย 50 ปี

ย้อนรอยตำนานสะพานรักสารสิน ‘โกดำ-กิ๊ว’ สู่เหตุสลด ปมความรักต่างชนชั้นยังจบด้วยความตาย บทเรียน 50 ปีโศกนาฏกรรมซ้ำรอย สังคมไทยต้องเรียนรู้เพื่อหยุดการสูญเสีย
กลางดึกคืนหนึ่งบนสะพานสารสิน จังหวัดภูเก็ต รถกระบะคันหนึ่งจอดนิ่งอยู่กลางสะพาน ก่อนจะพุ่งทะยานลงสู่ผืนน้ำทะเลเบื้องล่างที่มืดมิด เจ้าหน้าที่กู้ภัยระดมกำลังค้นหาด้วยความยากลำบากท่ามกลางกระแสน้ำเชี่ยว เมื่อพบซากรถและนำขึ้นมาได้ ภาพที่ปรากฏทำเอาผู้พบเห็นสลดใจ เพราะเห็นร่างของหนุ่มสาวคู่หนึ่งยังคงนั่งอยู่บนเบาะ เข็มขัดนิรภัยรัดแน่น บอกถึงเจตนาที่ต้องการจบชีวิตพร้อมกัน
ข้อมูลจากญาติเปิดเผยภายหลังว่า ทั้งสองคนมีปัญหาความรัก ครอบครัวไม่ยอมรับในตัวอีกฝ่าย กีดกันไม่ให้คบหากัน จนทั้งคู่ตัดสินใจส่งข้อความสั่งเสียและเลือกทางออกสุดท้ายนี้
เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ฉากในภาพยนตร์ แต่เป็นข่าวหน้าหนึ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นจริงเมื่อไม่นานมานี้ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์ต่างพุ่งเป้าไปที่คำว่า ‘สะพานสารสิน’ อีกครั้ง ชาวภูเก็ตและคนไทยจำนวนมากต่างคุ้นเคยกับชื่อนี้ในฐานะ ‘สะพานรัก’ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็น ‘สะพานมรณะ’ มาตลอดหลายทศวรรษ
คำถามสำคัญที่สังคมต้องขบคิดคือ ทำไมสะพานคอนกรีตแห่งนี้ถึงกลายเป็นจุดหมายปลายทางของคู่รักที่ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่ากว่า 50 ปี และทำไมปัญหารักต่างชนชั้นที่ดูเหมือนเรื่องเก่าแก่ยังคงมีอิทธิพลทำลายชีวิตหนุ่มสาวในยุคปัจจุบัน
จุดกำเนิดสะพานแห่งความหวัง
ย้อนกลับไปก่อนปี พ.ศ. 2510 การเดินทางข้ามไปยังเกาะภูเก็ตไม่ใช่เรื่องง่าย ชาวบ้านต้องอาศัยเรือข้ามฟากหรือแพขนานยนต์ ซึ่งกินเวลานานและลำบาก โดยเฉพาะในช่วงมรสุม รัฐบาลในยุคนั้นจึงริเริ่มโครงการสร้างสะพานเชื่อมแผ่นดินใหญ่จังหวัดพังงากับเกาะภูเก็ตเพื่อเปิดประตูการค้าและการท่องเที่ยว
สะพานคอนกรีตอัดแรงความยาว 660 เมตร สร้างเสร็จและทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2510 โดยได้รับเกียรติตั้งชื่อตามนามสกุลของ นายพจน์ สารสิน ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติในขณะนั้น ผู้มีส่วนสำคัญในการผลักดันโครงการ
สะพานสารสินเปลี่ยนโฉมหน้าภูเก็ต จากเกาะที่ห่างไกลกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เข้าถึงได้ง่าย เศรษฐกิจหมุนเวียน ผู้คนเดินทางไปมาหาสู่กันสะดวกขึ้น แต่หลังจากเปิดใช้งานได้เพียง 6 ปี สะพานแห่งนี้ก็จารึกชื่อในหน้าประวัติศาสตร์สังคมไทย ไม่ใช่ในฐานะสิ่งปลูกสร้าง แต่ในฐานะอนุสรณ์แห่งความรักที่เจ็บปวด
ย้อนต้นกำเนิดตำนาน ‘โกดำ-กิ๊ว’ โศกนาฏกรรมรักที่ถูกกีดกัน
เรื่องราวเริ่มต้นที่หนุ่มสาวสองคนที่มีวิถีชีวิตต่างกัน ‘โกดำ’ หรือ นายดำ แซ่ตัน หนุ่มวัย 23 ปี มีอาชีพขับรถสองแถวไม้ หรือที่คนภูเก็ตเรียกว่า รถโพถ้อง และรับจ้างกรีดยาง ฐานะทางบ้านของโกดำยากจน ต้องหาเช้ากินค่ำ
อีกฝ่ายคือ ‘กิ๊ว’ หรือ นางสาวกาญจนา แซ่หงอ หญิงสาววัย 19 ปี นักศึกษาวิทยาลัยครู สาวน้อยผู้เติบโตมาในครอบครัวที่มีฐานะดีกว่า เป็นลูกสาวที่พ่อแม่คาดหวังและเลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวด
ทั้งสองคนตกหลุมรักกันและคบหากันอย่างเงียบ ๆ แต่ความลับไม่มีในโลก เมื่อพ่อของกิ๊วทราบเรื่องก็แสดงท่าทีไม่พอใจอย่างมาก มองว่าโกดำฐานะต่ำต้อย ไม่มีอนาคต และไม่คู่ควรกับลูกสาวของตน ครอบครัวฝ่ายหญิงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อกีดกัน เพื่อให้กิ๊วเลิกรากับโกดำ
หนุ่มสาวทั้งสองพยายามพิสูจน์ความรักและขอความเห็นใจจากผู้ใหญ่หลายครั้ง แต่ไม่เป็นผล กำแพงทางชนชั้นและทิฐิของผู้ใหญ่แข็งแกร่งเกินกว่าที่ความรักของคนหนุ่มสาวจะทลายลงได้ เมื่อมองไม่เห็นทางออกที่จะได้ครองคู่กันในโลกความเป็นจริง ทั้งคู่จึงตัดสินใจเลือกทางเดินสุดท้ายร่วมกัน
วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2516 โกดำและกิ๊วเดินทางมายังกลางสะพานสารสิน พยานแวดล้อมระบุว่าเห็นทั้งคู่ยืนปรับทุกข์กันอยู่พักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจใช้ผ้าขาวม้ามัดตัวของทั้งคู่ติดกันแน่น แล้วกระโดดลงสู่ผืนน้ำทะเลที่เชี่ยวกรากเบื้องล่าง
กระทั่งเช้าวันต่อมา ชาวบ้านพบร่างไร้วิญญาณของทั้งสองเกยตื้นอยู่ไม่ไกล สภาพศพยังคงผูกติดกันด้วยผ้าขาวม้าผืนเดิม ภาพนั้นสร้างความโศกสลดให้กับชาวภูเก็ตและคนไทยทั้งประเทศ ข่าวการตายของพวกเขาแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว สื่อมวลชนต่างนำเสนอเรื่องราวนี้จนกลายเป็นตำนาน ‘สะพานรักสารสิน’ ที่เล่าขานต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
โศกนาฏกรรมถูกเล่าใหม่ในชื่อ ‘สะพานรักสารสิน’
เมื่อกาลเวลาผ่านไป เรื่องราวของโกดำและกิ๊วไม่ได้เลือนหาย แต่กลับฝังรากลึกยิ่งขึ้นผ่านวัฒนธรรมป๊อป ในปี พ.ศ. 2530 ผู้กำกับชั้นครู เปี๊ยก โปสเตอร์ และ ทวนธง ทรงศิวากุล นำโศกนาฏกรรมนี้มาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์เรื่อง ‘สะพานรักสารสิน’ นำแสดงโดย รอน บรรจงสร้าง และ จินตหรา สุขพัฒน์
ภาพยนตร์เปลี่ยนชื่อตัวละครเป็น ‘ธำรงค์’ และ ‘อิ๋ว’ แต่ยังคงโครงเรื่องหลักไว้ครบถ้วน ทั้งความรักที่บริสุทธิ์ การกีดกันจากพ่อ และฉากจบที่สะพาน หนังประสบความสำเร็จอย่างสูง เพลงประกอบภาพยนตร์ที่ชื่อ ‘สารสิน’ ของวงสิมิลัน เนื้อร้องที่บรรยายถึงความรักที่แลกด้วยชีวิต ทำให้ภาพของสะพานสารสินถูกฉาบเคลือบด้วยความโรแมนติกปนโศกเศร้า
สื่อบันเทิงทำให้คนจดจำว่านี่คือ ‘ตำนานรักอมตะ’ ผู้คนเริ่มมองสะพานแห่งนี้ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป คู่รักหลายคู่เดินทางมาที่นี่เพื่อระลึกถึงความรักที่มั่นคง แต่ในมุมกลับกัน การผลิตซ้ำเรื่องราวในรูปแบบโรแมนติกดราม่า อาจส่งผลกระทบทางจิตวิทยาโดยไม่รู้ตัว ภาพของการตายเพื่อบูชาความรัก กลายเป็นทางเลือกที่ดูสวยงามและศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนที่กำลังหาทางออกให้ชีวิต
สะพานเดิมในบริบทใหม่ แต่ปัญหายังคงเดิม
ปัจจุบัน สะพานสารสินเก่าถูกลดบทบาทลงหลังจากมีการสร้าง ‘สะพานท้าวเทพกระษัตรี’ และ ‘สะพานท้าวศรีสุนทร’ ขึ้นมาทดแทนเพื่อรองรับการจราจรที่หนาแน่น สะพานเดิมได้รับการปรับปรุงภูมิทัศน์ใหม่ กลายเป็นจุดชมวิวทางเดินเท้า หอชมวิว และแหล่งเช็กอินสำหรับนักท่องเที่ยว องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นพยายามสร้างบรรยากาศใหม่ให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในภูเก็ต
แม้โครงสร้างภายนอกจะเปลี่ยนไป แต่ชื่อเสียงและเรื่องเล่ายังคงวนเวียนอยู่รอบเสาตอม่อสะพาน ข่าวการกระโดดสะพานฆ่าตัวตายยังคงปรากฏให้เห็นเป็นระยะ ทั้งจากคนในพื้นที่และคนต่างถิ่น ปัญหาที่นำพาพวกเขามาที่นี่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นเรื่องความรัก ปัญหาครอบครัวและปัญหาการเงิน
กรณีล่าสุดของคู่รักในรถกระบะที่พุ่งลงทะเล เนื่องจากความเครียดเรื่องงาน, ความรัก และครอบครัว ยืนยันชัดเจนว่าตลอด 50 ปีที่ผ่านมา สังคมไทยก้าวหน้าเพียงแค่วัตถุ แต่ค่านิยมบางอย่างยังคงแช่แข็งอยู่ที่เดิม
บทเรียนความรักไม่สมหวังที่แลกด้วยชีวิต
หากเราถอดแว่นตาแห่งความโรแมนติกออกแล้วมองโศกนาฏกรรมของโกดำ-กิ๊ว รวมถึงคู่รักคู่ล่าสุดด้วยสายตาแห่งความเป็นจริง เราจะพบว่านี่ไม่ใช่เรื่องของพรหมลิขิตหรือบุพเพสันนิวาสที่ทำร้ายพวกเขา แต่เป็นคนและระบบสังคม
ประเด็นแรก คือ ค่านิยมเรื่องชนชั้นและฐานะ พ่อแม่ในยุค 2516 มองว่าข้าราชการหรือคนมีเงินคือความมั่นคงเพียงหนึ่งเดียวสำหรับลูกสาว มาถึงปี 2568 แม้บริบทอาชีพจะเปลี่ยนไป แต่ยังคงใช้มาตรวัดเรื่องความเหมาะสมทางฐานะมาตัดสินคนรักของลูก การกีดกันด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจยังคงเป็นกำแพงหนาที่บีบให้คนตัวเล็ก ๆ รู้สึกไร้ค่าและไร้ทางสู้
ต่อมา คือ อำนาจนิยมในครอบครัว สังคมไทยมักสอนให้ลูกอยู่ในโอวาท เชื่อฟังพ่อแม่แบบเบ็ดเสร็จ ความหวังดีของพ่อแม่บางครั้งแปรเปลี่ยนเป็นการบงการชีวิต เมื่อลูกพยายามเลือกทางเดินของตัวเองแล้วถูกปฏิเสธซ้ำ ๆ ความรู้สึกมืดแปดด้านจึงเกิดขึ้น การตัดสินใจจบชีวิตอาจไม่ได้เกิดจากความอยากตาย แต่เกิดจากการมองไม่เห็นทางที่จะมีชีวิตอยู่ในแบบที่ตนเองต้องการได้
ประการสุดท้าย คือ การสื่อสารที่ล้มเหลว ในหลายกรณีการสูญเสียป้องกันได้หากมีการรับฟังอย่างเปิดใจ คู่รักที่ตัดสินใจกระทำอัตวินิบาตกรรมมักส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การโพสต์ข้อความ หรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป หากครอบครัวหรือคนรอบข้างวางอคติลง แล้วรับฟังความเจ็บปวดของพวกเขา พื้นที่ตรงนั้นอาจช่วยดึงสติและรั้งชีวิตพวกเขาไว้ได้
สำหรับ ตำนานสะพานสารสินไม่ควรถูกจดจำเพียงแค่ในฐานะเรื่องราวความรักที่ซาบซึ้งกินใจ แต่ควรเป็นเครื่องเตือนใจที่หนักแน่นสำหรับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ เตือนผู้ปกครองให้เข้าใจว่าความรักและความปรารถนาดีต้องมาพร้อมกับการเคารพการตัดสินใจของลูก เตือนสังคมให้ลดการตีตราตัดสินคนจากเปลือกนอก และเตือนสื่อมวลชนให้ระมัดระวังการนำเสนอข่าวที่อาจสร้างภาพจำที่ผิดให้กับการฆ่าตัวตาย
สะพานควรมีหน้าที่เชื่อมแผ่นดินให้คนเดินทางไปมาหาสู่กัน ไม่ควรมีใครต้องใช้มันเป็นทางผ่านเพื่อหนีจากความเจ็บปวดของชีวิตอีกต่อไป หากเราไม่ช่วยกันรื้อถอนกำแพงอคติในใจ โศกนาฏกรรมทำนองนี้ก็จะยังคงวนเวียนเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิม ไม่ว่าจะผ่านไปอีกกี่สิบปีก็ตาม
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- กู้ภัยวอน อย่ามีคู่ที่ 3 หลังคู่รักขับรถพุ่งชนราวสะพานสารสินเสียชีวิต
- ลือสนั่น ทุบทิ้งสะพานสารสิน ให้เรือสำราญขับผ่าน ผอ.เเขวงภูเก็ต ย้ำชัดไม่มีแผน
- พบศพลอยทะเลใกล้เกาะแก้วนอกภูเก็ต คาดเป็นศพหนุ่มใหญ่กระโดดสะพานสารสิน
ติดตาม The Thaiger บน Google News:



