การเงินสปอนเซอร์เศรษฐกิจ

เคล็ดลับจัดการภาษีมรดกให้คุ้มค่า ส่งต่อความมั่งคั่งให้ทายาท

“ความตาย และภาษี” คือ สองสิ่งที่ทุกคนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และเมื่อทั้งสองสิ่งนี้มาบรรจบกันในรูปแบบของ “ภาษีมรดก ก็อาจกลายเป็นภาระหนักใจที่ส่งต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานได้โดยไม่ตั้งใจ การวางแผนส่งต่อทรัพย์สินอย่างรอบคอบจึงไม่ใช่แค่เรื่องของการแบ่งมรดก แต่คือการส่งต่อความมั่นคงโดยไม่ทิ้งภาระไว้ข้างหลัง บทความนี้ เราจะมาแนะนำวิธีการจัดการภาษีมรดกอย่างชาญฉลาด เพื่อให้ความมั่งคั่งที่คุณสร้างมาทั้งชีวิตถูกส่งต่อไปยังคนที่คุณรักอย่างคุ้มค่าที่สุด

ทำความเข้าใจภาษีมรดกก่อนวางแผน : ใครต้องจ่าย และทรัพย์สินอะไรบ้างที่ต้องเสียภาษี ?

ก่อนจะไปดูเทคนิคการจัดการ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจหลักการพื้นฐานของภาษีมรดกให้ชัดเจนเสียก่อน เพื่อให้สามารถประเมินสถานการณ์ของตัวเองได้อย่างแม่นยำ

ภาษีมรดกคืออะไร ?

ภาษีมรดกคืออะไร

ภาษีมรดก หรือภาษีการรับมรดก คือภาษีที่เรียกเก็บจาก “ผู้รับมรดก” แต่ละคนที่ได้รับทรัพย์สินมรดกจากเจ้ามรดกแต่ละราย โดยจะคิดภาษีเฉพาะมูลค่ามรดกสุทธิ “ส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท” เท่านั้น หากมรดกที่ทายาทแต่ละคนได้รับมีมูลค่าไม่ถึงเกณฑ์นี้ ก็จะไม่ต้องเสียภาษีมรดกแต่อย่างใด

ทรัพย์สินที่เข้าเกณฑ์ต้องเสียภาษีมรดก

กฎหมายได้กำหนดประเภททรัพย์สินที่ต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีมรดกไว้อย่างชัดเจน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินทรัพย์ที่มีทะเบียน และสามารถตรวจสอบได้ ได้แก่

  • อสังหาริมทรัพย์ : เช่น บ้าน ที่ดิน คอนโดมิเนียม
  • หลักทรัพย์ : เช่น หุ้น กองทุนรวม หุ้นกู้
  • เงินฝาก : เงินในบัญชีธนาคาร หรือสถาบันการเงินต่าง ๆ
  • ยานพาหนะ : รถยนต์ หรือเรือ ที่มีการจดทะเบียน
  • ทรัพย์สินทางการเงินอื่น ๆ : รายละเอียดตามที่กฎหมายกำหนด

2 เทคนิคจัดการภาษีมรดกอย่างชาญฉลาด ส่งต่อให้ลูกหลานแบบไม่เหลือภาระ

เทคนิคจัดการภาษีมรดก

เมื่อประเมินแล้วว่าทรัพย์สินของเรามีแนวโน้มที่เมื่อส่งต่อไปยังทายาทแล้วจะเกิน 100 ล้านบาท การวางแผนล่วงหน้าคือหัวใจสำคัญที่จะช่วยลดภาระภาษีได้อย่างมหาศาล ทริคเล็ก ๆ ที่เรานำมาจาก Krungsri The COACH แพลตฟอร์มที่รวมเคล็ดลับด้านการเงิน มี 2 แนวทางหลักที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ ดังนี้

1. ทยอยโอนให้ขณะมีชีวิต

วิธีที่ตรงไปตรงมา และมีประสิทธิภาพที่สุดคือการวางแผนส่งมอบทรัพย์สินบางส่วนให้กับทายาทในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ หรือที่เรียกว่า “การให้” ซึ่งมีข้อดีคือ หากเป็นการให้แก่บุพการี (พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย) หรือผู้สืบสันดาน (ลูกหลาน) จะได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับมูลค่าทรัพย์สินไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อปีภาษี และหากเป็นการให้แก่บุคคลอื่น จะได้รับการยกเว้นไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อปีภาษี ซึ่งการที่เราทยอยโอนทรัพย์สินอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดขนาดกองมรดกในอนาคตลงได้ ทำให้มูลค่ามรดกที่ทายาทจะได้รับเมื่อถึงเวลาจริงอาจไม่เกิน 100 ล้านบาท หรือเกินเพียงเล็กน้อยนั่นเอง

2. เปลี่ยนมรดกเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับการยกเว้นภาษี

อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่น่าสนใจคือ การแปลงสินทรัพย์บางส่วนไปเป็นทรัพย์สินที่ไม่เข้าข่ายต้องเสียภาษีมรดก ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ “ประกันชีวิต” เนื่องจากเงินสินไหมทดแทนที่ผู้รับผลประโยชน์ได้รับจากกรมธรรม์ประกันชีวิตนั้น ไม่ถือเป็นทรัพย์สินในกองมรดก จึงได้รับการยกเว้นภาษีมรดกทั้งหมด การวางแผนทำประกันชีวิตโดยระบุชื่อทายาทเป็นผู้รับผลประโยชน์ จึงเปรียบเสมือนการสร้างกองมรดกเงินสดก้อนใหม่ที่ปลอดภาระภาษี เพื่อส่งต่อให้ลูกหลานได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

การวางแผนภาษีมรดกไม่ใช่เรื่องของการหลีกเลี่ยง แต่คือการบริหารจัดการความมั่งคั่งอย่างมีความรับผิดชอบ การเตรียมตัวที่ดีตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง จะช่วยให้เจตนารมณ์ในการส่งต่อความรัก และความห่วงใยของคุณไปถึงทายาทได้อย่างสมบูรณ์ โดยไม่สร้างภาระทางการเงินทิ้งไว้ให้คนข้างหลัง และยังเป็นการวางรากฐานความมั่นคงให้กับครอบครัวได้อย่างยั่งยืน

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

Thaiger

The Thaiger นำเสนอข่าวสารล่าสุดและอัปเดตจากทั่วประเทศไทย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button