เศรษฐกิจ

สิงคโปร์โมเดล ถอดบทเรียน “จัดการภัยออนไลน์” ที่ไทยควรเอาอย่าง กฎหมายไทยพร้อมหรือยัง

คิดว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะรอด? ภัยออนไลน์คุกคามทุกวัย ผลสำรวจชี้ผู้ใหญ่ก็เป็นเหยื่อได้ง่าย ส่องมาตรการสิงคโปร์เทียบกฎหมายไทย ใครพร้อมกว่ากันในการรับมือภัยไซเบอร์

ภัยคุกคามออนไลน์ ไม่ได้เกิดกับแต่วัยรุ่นเท่านั้น ผลสำรวจของ AsiaOne ในต้นปี 2025 ชี้ว่า 38 % ของคนสิงคโปร์ ทุกช่วงวัยเคยถูกคุกคามทางออนไลน์ (หรือเห็นคนใกล้ชิดถูกคุกคาม) ภายใน 2 ปีที่ผ่านมา และ “แทบทุกคน” ให้คะแนนผลกระทบทางอารมณ์ระดับ 4–5 จาก 5 คะแนนเต็ม ตัวเลขนี้ทำลายมายาคติที่ว่า วัยทำงาน มักเชื่อว่าตนโตพอจะรับมือ ก็ยังเป็นเหยื่อได้ง่ายพอ ๆ กับเยาวชน

ตัวเลขชี้ชัด วัยทำงานก็ตกเป็นเหยื่ออื้อ สิงคโปร์ทำอะไรไปแล้ว

  • กลุ่มอายุ 18–34 ปี ยอมรับว่าโพสต์เรื่องส่วนตัวเป็นสาธารณะอย่างน้อย “หลายครั้งต่อเดือน” ถึง 3 ใน 4 ของกลุ่มตัวอย่าง
  • รูปแบบภัยที่ผู้ตอบกังวลมากที่สุดคือ การนำข้อมูลส่วนตัวไปใช้ผิด / การคุกคาม / การปลอมแปลงตัวตน / สื่อปลอมแบบ deepfake
  • ถึง 86 % บอกว่า “ยอมฟ้อง” ในบางกรณี หากขั้นตอนกฎหมายไม่ยุ่งยากและค่าใช้จ่ายไม่สูง

ปี 2024 กระทรวงกฎหมายและกระทรวงดิจิทัลฯ ของสิงคโปร์ เปิดประชาพิจารณ์มาตรการ “Online Safety & Harms” เตรียมออกกฎหมายลูกและตั้ง One-Stop Centre ภายในครึ่งแรกของ 2026 เพื่อช่วยเหยื่อกรณีไซเบอร์บูลลี่ deepfake และการเผยแพร่ภาพลับ

นอกจากช่องทางแจ้งลบที่รวดเร็ว รัฐยังเสนอให้

  1. ยกระดับกฎหมายข้อมูลส่วนบุคคล และเพิ่มบทลงโทษแพลตฟอร์มที่ไม่จัดการคอนเทนต์อันตราย
  2. ติดฉลากสื่อ deepfake และแบนผู้กระทำผิดซ้ำ
  3. เดินหน้า “ให้ความรู้สาธารณะ” ต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ใหญ่ตระหนักว่าตนก็เสี่ยงไม่แพ้เด็ก
สถิติสำรวจประชาชนสิงคโปร์ที่เคยตกเป็นเหยื่อคุกคามในโลกออนไลน์
สถิติสำรวจประชาชนสิงคโปร์ที่เคยตกเป็นเหยื่อคุกคามในโลกออนไลน์

ย้อนมองกลับมาประเทศไทย ออกกฎหมายอะไรไปแล้วบ้าง เพื่อปกป้องประชาชนจากภัยคุกคามออนไลน์ เจอปัญหาอะไร

พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์

ไทยได้ออก พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 (แก้ไข 2560) ครอบคลุมความผิดคุกคามออนไลน์ที่พบบ่อย เช่น การเผยแพร่ภาพลับโดยไม่ได้รับความยินยอม (มาตรา 16) การสร้างหรือแชร์ข้อมูลปลอมที่ทำให้ผู้อื่นเสียหาย (มาตรา 14 (1)) และการปลอมแปลงตัวตนบนโลกออนไลน์ (มาตรา 17) แต่ขั้นตอนเอาผิดและขอลบเนื้อหายังคงยึด “กระบวนการอาญาเต็มรูป” เป็นหลัก จึงกินเวลาหลายวัน หรือหลายสัปดาห์ กว่าผู้เสียหายจะเห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม

ผู้เสียหายต้องเดินทางไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวนเพื่อให้เปิดคดีอาญา จากนั้นตำรวจจึงรวบรวมพยานหลักฐาน (เช่น ไฟล์ภาพ แชท ลิงก์) และส่งสำนวนให้อัยการพิจารณาฟ้อง กระบวนการนี้มักใช้เวลาอย่างน้อย 7–30 วัน ขึ้นอยู่กับภาระงานของพื้นที่นั้น

แม้จะมีช่องให้กระทรวงดิจิทัลฯ (DES) ร้องต่อศาลให้สั่งปิดกั้นหรือลบข้อมูลที่ “กระทบความมั่นคง ศีลธรรม หรือประชาชนในวงกว้าง” แต่การคุกคามรายบุคคล เช่น ไซเบอร์บูลลี่ หรือ โพสต์ภาพลามกแก้แค้น มักไม่เข้าเกณฑ์ “ภัยสาธารณะ” ทำให้เจ้าทุกข์ต้องพึ่งช่องทางอาญาปกติหรือยื่นฟ้องคดีแพ่งเอง

ไม่มี “ฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง” ต่างจากโมเดลสิงคโปร์ที่เตรียมเปิด One-Stop Centre ให้เหยื่อมายื่นคำร้องออนไลน์และรับคำสั่งศาลภายในไม่กี่ชั่วโมง ระบบไทยยังไม่มีกลไก “คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวแบบ ex parte” (เฉพาะฝ่ายเดียว) ผ่านศาลอีเล็กทรอนิกส์ ผู้เสียหายจึงไม่สามารถหยุดการแพร่กระจายของข้อมูลอันตรายได้ทันที

เปิดโทษ พ.ร.บ.คอมฯ โพสต์เฟคนิวส์ 1 เม.ย. คุก 5 ปี ปรับ 1 แสน

กฎหมาย PDPA

ขณะที่ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2562 หลังจากมีการขยายเวลาบังคับใช้หลายครั้ง พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจึงมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2565 หลังจากการจัดตั้งคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและการออกกฎเกณฑ์รอง

กฎหมายฉบับนี้ครอบคลุมการกระทำใดๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลธรรมดาที่ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งการเก็บรวบรวม การใช้ และการเปิดเผยข้อมูล โดยกำหนดให้องค์กรหรือผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล และผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ต้องปฏิบัติตามหลักการและหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด

แม้ว่า PDPA จะมีเจตนารมณ์ที่ดี แต่ในการบังคับใช้จริงยังคงล้มเหลว เห็นได้จาก พบข้อมูลรั่วไหลจากทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง แม้กฎหมายจะมีผลบังคับใช้แล้วก็ตาม กรณีเหล่านี้มักเกิดจากช่องโหว่ในระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์ ไม่มีมาตรการกำกับดูแลการเข้าถึงข้อมูลที่รัดกุม หรือแม้แต่การกระทำโดยอดีตพนักงาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก

การตีความและการบังคับใช้กฎหมายยังไม่ชัดเจน จนอาจใช้เป็นช่องโหว่ กฎหมายมีข้อยกเว้นบางประการ เช่น เพื่อประโยชน์สาธารณะ, การปฏิบัติตามกฎหมาย หรือเพื่อกิจการสื่อมวลชน ซึ่งอาจเปิดช่องให้เกิดการตีความอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะการใช้อำนาจรัฐในการเข้าถึงข้อมูลประชาชนโดยอ้างเหตุความมั่นคง ซึ่งสร้างความกังวลเรื่องการสอดส่องโดยรัฐ (Big Brother)

แม้จะมีช่องทางให้ร้องเรียนผ่านสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) แต่กระบวนการอาจยังมีความล่าช้า และยังไม่ปรากฏกรณีการลงโทษหรือคำพิพากษาที่เป็นบรรทัดฐานชัดเจนมากนัก ทำให้การบังคับใช้กฎหมายยังไม่น่าเกรงขามเท่าที่ควร

พ.ร.ก.ป้องกันอาชญากรรมไซเบอร์ ทำลายข่าวเท็จบนโซเชียลใน 24 ชั่วโมง

พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป สั่งให้แพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Facebook, TikTok, X (Twitter) ต้องระงับการเผยแพร่ข้อมูลปลอมหรือข้อมูลเท็จภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

หน่วยงานของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) จะเป็นผู้แจ้งไปยังผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อตรวจพบข้อมูลปลอมหรือข้อมูลเท็จที่อาจนำไปสู่การก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี

เมื่อผู้ให้บริการฯ ได้รับแจ้งแล้ว จะต้องระงับการเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวทันที แต่ต้องไม่เกิน 24 ชั่วโมงนับจากเวลาที่ได้รับแจ้ง

หลังจากดำเนินการแล้ว ผู้ให้บริการฯ ต้องแจ้งผลกลับไปยังหน่วยงานของกระทรวงดีอีเอสโดยเร็ว

มาตรการนี้ออกมาเพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการสกัดกั้นข้อมูลที่เป็นภัยต่อประชาชน เป็นส่วนหนึ่งของการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นผ่านช่องทางออนไลน์

คุ้มครองเด็กบนโลกออนไลน์ ช่วยเหยื่อจากบูลลี่ ล่วงละเมิด

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สถิติการล่วงละเมิดคุกคามเด็กบนสื่อสังคมออนไลน์พุ่งสูงขึ้นจนกลายเป็นวาระแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรมจึงหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา เสนอ “หมวดคุ้มครองเด็กในโลกดิจิทัล” ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อมีนาคม 2568 จะมีผลบังคับใช้ได้ในต้นปี 2569

หัวใจของร่างแก้ไขอยู่ที่การนิยามความผิดใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับสภาพสังคมออนไลน์ “ไซเบอร์บูลลี่” ถูกกำหนดให้เป็นความผิดอาญาอย่างชัดเจน ใครก็ตามที่ใช้ข้อความ ภาพ หรือคลิปวิดีโอล้อเลียน ด่าทอ หรือประจานเด็กในลักษณะที่ทำให้เหยื่อหวาดกลัวหรืออับอาย อาจถูกจำคุกสูงสุดหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท และถ้าการกระทำเกิดขึ้นในพื้นที่สาธารณะ เช่น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ หรือช่องยูทูบ โทษจะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งในสาม เพื่อสะท้อนผลกระทบที่ขยายวงกว้างอย่างรวดเร็ว

ถัดมาเป็นความผิดฐาน คุกคามก่อความเดือดร้อน ครอบคลุมพฤติกรรมราวีเด็กอย่างต่อเนื่องจนบั่นทอนการใช้ชีวิตประจำวันหรือทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยในร่างกายและทรัพย์สิน ผู้กระทำผิดอาจเผชิญโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับสูงสุดหกหมื่นบาท หากการคุกคามบานปลายจนเด็กได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต ศาลสามารถเพิ่มโทษตามเกณฑ์หนักได้ทันที

อีกประเด็นสำคัญคือการล่อลวงทางเพศและการเผยแพร่สื่ออนาจารเด็กออนไลน์ ร่างแก้ไขระบุชัดทั้ง “ออนไลน์กรูมมิง” “การส่งภาพลามกถึงกัน” และ “การขู่เผยแพร่ภาพลับเพื่อเรียกรับผลประโยชน์” พิจารณาโทษสูงสุดถึงสิบปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท ทั้งนี้ผู้กระทำไม่สามารถอ้างได้ว่า “ไม่รู้ว่าผู้เสียหายเป็นเด็ก” เพื่อหลีกเลี่ยงความผิด

นอกจากปรับปรุงเนื้อหากฎหมาย ร่างฉบับนี้ยังออกแบบกระบวนการยุติธรรมให้เอื้อต่อเด็กมากขึ้น คดีทั้งหมดจะอยู่ภายใต้อำนาจศาลเยาวชนและครอบครัว พิจารณาแบบปิดลับเพื่อปกป้องตัวตนของเหยื่อ เอกสารดิจิทัล เช่น ภาพหน้าจอหรือไฟล์ล็อก ถูกยอมรับเป็นหลักฐานได้ง่ายขึ้น ลดภาระการพิสูจน์ให้สอดคล้องกับวิธีที่ข้อมูลถูกสร้างและแพร่กระจายในยุคออนไลน์

อย่างไรก็ตาม กรอบคุ้มครองใหม่นี้จำกัดอยู่แค่ เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ผู้ใหญ่ที่ถูกคุกคามทางดิจิทัลยังต้องพึ่งกฎหมายทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น ข่มขู่ หรือมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งมุ่งลงโทษผู้กระทำ มากกว่าสร้างกลไกป้องกันและเยียวยาแบบเร่งด่วน ผลที่ตามมาคือคดีของผู้ใหญ่มักเดินช้าและไม่เอื้อต่อการสั่งลบเนื้อหาที่สร้างบาดแผลทางจิตใจในทันที

ท้ายที่สุด “สิงคโปร์โมเดล” เตือนเราว่าโลกออนไลน์หมุนเร็วกว่าใบกฎหมายอยู่หนึ่งจังหวะเสม เมื่อประเทศเล็กอย่างสิงคโปร์ยังทุ่มทรัพยากรสร้างทางด่วนลบเนื้อหา วัน-สต็อปเซ็นเตอร์ และนิยามความผิดใหม่ให้สอดรับเทคโนโลยี สังคมไทยก็จำเป็นต้องก้าวให้ทัน ไม่ใช่เพียงเพื่อปราบปรามผู้กระทำผิด แต่เพื่อเยียวยาเหยื่อทุกวัยอย่างทันท่วงที

หากเรายังปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมเดินอืด เกราะคุ้มครองกระจัดกระจายอยู่ตามพระราชบัญญัติคนละเล่ม ยุทธการ “ไซเบอร์เซฟตี้” ย่อมกลายเป็นแค่ความฝันบนหน้ากระดาษ บทเรียนจากสิงคโปร์จึงไม่ใช่คำถามว่า “พร้อมหรือไม่” แต่คือคำท้าให้ไทยกล้าปรับโครงสร้าง กฎหมาย และวัฒนธรรมดิจิทัลไปพร้อมกัน เพื่อให้พื้นที่ออนไลน์เป็นที่ซึ่งทุกคนกล้าสร้างสรรค์โดยไม่ต้องกลัวถูกทำร้ายอีกต่อไป

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

0 0 โหวต
Article Rating
สมัครรับข้อมูล
แจ้งเตือนเกี่ยวกับ
0 Comments
เก่าแก่ที่สุด
ใหม่ล่าสุด ถูกโหวตมากที่สุด
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

Aindravudh

นักเขียนประจำ Thaiger มีประสบการณ์เขียนข่าวมากกว่า 5 ปี จบการศึกษาด้านภาษาและประวัติศาสตร์ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความสนใจ ประเด็นความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง เจาะประเด็นข่าวทางสังคม ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องแบบย่อยง่าย อย่างงานเขียนสร้างสรรค์ สั้น กระชับ จับทุกประเด็น หัวข้อที่เชียวชาญคือเรื่องไลฟ์สไตล์ เลขเด็ด หวยรัฐบาลไทย หวยลาว ช่องทางติดต่อ vajara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button
0
เราอยากทราบความคิดเห็นของคุณ โปรดแสดงความคิดเห็นx