ข่าวการเมือง

พิธา จ้อ สรยุทธ์ ชงนายกอิ๊ง “ยุบสภา” ล้างไพ่การเมือง ชี้รัฐบาลยิ่งสู้ยิ่งอ่อนแอ

ทางออกเดียว พิธา ชง นายกรัฐมนตรี ยุบสภา ล้างไพ่การเมือง ชี้รัฐบาลยิ่งสู้ยิ่งอ่อนแอ คลิปเสียงเป็นฟางเส้นสุดท้าย ทำความชอบธรรมรัฐบาลติดลบ

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษในรายการ “สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว” วิเคราะห์สถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา หลังหลุดคลิปเสีย บทสนทนาระหว่างนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร กับอังเคิล สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา กังวลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลไทย พร้อมเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างสันติและเป็นมืออาชีพ

นายพิธา มองว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันมีปัญหาด้านเสถียรภาพ ประสิทธิภาพในการรับมือกับศึกใหญ่ๆ เช่น ภูมิรัฐศาสตร์โลกตะวันออกกลาง รวมถึงปมปัญหาไทย-กัมพูชา ที่จากเดิมเคยเป็นจุดแข็งกลับกลายเป็นจุดอ่อน ความย่ำแย่ทั้งหมดเริ่มต้นจากคลิปเสียงที่รั่วไหลออกมา ซึ่งทำให้รัฐบาลยิ่งขาดเสถียรภาพ

อ่านข่าว : อดีตรองผว.สุรินทร์ แปลคำพูดฮุนเซน คำต่อคำ แรงกว่าล่ามแปลเยอะ

วิกฤตจากคลิปเสียง นายกรัฐมนตรีไร้โปรโตคอล ไร้ล่ามทางการ นายพิธาเชื่อว่าคลิปเสียงนี้ไม่ควรเกิดขึ้น ป้องกันได้ หากมีการแยกบทบาทความเป็นส่วนตัวกับความเป็นครอบครัวออกจากหน้าที่การงานอย่างชัดเจน โดยปกติแล้ว กระทรวงการต่างประเทศมีโปรโตคอลสำหรับการเจรจาในระดับผู้นำ ซึ่งควรเริ่มต้นด้วยช่องทางที่เป็นทางการ เช่น การใช้โทรศัพท์สายตรง ไม่ใช่การพูดคุยส่วนตัว เทคโนโลยีในปัจจุบันยังสามารถแจ้งเตือนได้หากมีการบันทึกเสียง ซึ่งอาจช่วยป้องกันเหตุไม่คาดฝันนี้ได้

ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งที่นายพิธาชี้ให้เห็นคือ การขาดล่ามที่เป็นทางการของฝ่ายไทยในการเจรจาภาษาที่ 3 การพึ่งพาล่ามของฝ่ายกัมพูชาเพียงอย่างเดียวทำให้ไม่สามารถมั่นใจได้ว่าการแปลจะถูกต้องครบถ้วน นายพิธาอ้างอิงข่าวจาก BBC และผู้เชี่ยวชาญจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ระบุว่า การแปลไม่ครบถ้วน พี่ฮวด ล่ามของสมเด็จฮุน เซน อาจแปลด้วยความเกรงใจนายกฯ ฝ่ายไทย ทำให้เนื้อหาที่แท้จริงของสมเด็จฮุน เซน ที่รุนแรงกว่านั้นถูกลดทอนลง

จากข้อมูลที่รั่วไหลออกมา สมเด็จฮุน เซน มีความกังวลใจเรื่องการปิดด่านชายแดนของไทย หลังจากที่กัมพูชาถอนกำลังทหารแล้ว ในขณะที่ฝ่ายไทยต้องการให้เปิดด่านพร้อมกัน นายพิธาได้ยกประโยคเด็ดของสมเด็จฮุน เซน ที่กล่าวว่า “เข้าใจความเป็นหลานนะ แต่ประเทศชาติต้องมาก่อน” แสดงให้เห็นว่าสมเด็จฮุน เซน พยายามแยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องของรัฐ การสื่อสารที่ผิดพลาดนี้เป็นผลมาจากการแปลโดยแท้ ประเทศมหาอำนาจต่างๆ มีล่ามของตนเองอยู่เสมอในการเจรจา แม้ว่าผู้นำจะสามารถสื่อสารภาษาเดียวกันได้ก็ตาม

ภาพจาก:
สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว

นายพิธากังวลว่าประเด็นพิพาทนี้เป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าจะอาศัยเพียง “เจตนาดี” เพราะความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่อุบัติเหตุจนถึงขั้นสงครามได้ พร้อมยกตัวอย่างเหตุการณ์ในอดีตที่ข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับนางเอกดังนำไปสู่การเผาสถานทูตกัมพูชาในกรุงพนมเปญ และธุรกิจของคนไทย

อ่านข่าว : ย้อนดราม่า กบ สุวนันท์ เนียงประกายพฤกษ์ เหยื่อข่าวปลอม กัมพูชากุปลุกระดม

การสื่อสารที่ไม่มีความละเอียดอ่อนอาจถูกนำไปขยายผลให้กลายเป็นเรื่องใหญ่และกระทบต่อทรัพย์สินและชีวิตของผู้คน จึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ

นายพิธาเสนอแนะให้ทั้งสองฝ่ายถอนฟืนออกจากกองไฟ กลับสู่สถานการณ์สัมพันธ์ก่อนที่จะมีการปะทะกันจนทหารกัมพูชาเสียชีวิต ควรใช้เวทีการพูดคุยอย่างเป็นทางการ เช่น คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ที่อยู่ใกล้ปัญหา และมองไปข้างหน้าร่วมกัน. การนำเรื่องเก่าที่สิ้นสุดไปแล้วตั้งแต่ปี 1962 และ 2011 ไปสู่ศาลโลก (ICJ) นั้นเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เพราะเป็นคดีที่จบไปแล้ว (res judicata)

นายพิธาชี้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาดำเนินมาอย่างราบรื่นตลอดกว่าทศวรรษที่ผ่านมา แม้จะมีเหตุยั่วยุบ้าง แต่ทั้งสองประเทศแยกขาดออกจากกันไม่ได้ จึงต้องหาทางออกร่วมกันที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย การปะทะกันจนถึงขั้นมีผู้เสียชีวิตทำให้สถานการณ์บานปลาย เราไม่สามารถแบกรับภาระสงครามได้ในสถานการณ์เศรษฐกิจโลกปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัยภายนอก เช่น สถานการณ์ในตะวันออกกลาง

การปิดด่านชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชามีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาลกว่าแสนล้านบาท กระทบต่อการค้าขายอย่างรุนแรง กัมพูชานำเข้าน้ำมันจากไทยมากถึง 60-70%. การปิดด่านในช่วงที่ราคาน้ำมันโลกสูงขึ้น จากการที่อิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซ จะส่งผลให้ค่าครองชีพและอัตราเงินเฟ้อในกัมพูชาพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนกัมพูชา. แม้ไทยจะได้รับผลกระทบไม่เท่ากันเพราะการส่งออกน้ำมันไปยังกัมพูชาเป็นเพียง 10% ของการส่งออกทั้งหมด แต่ก็ยังเจ็บปวดทั้งคู่

อ่านข่าว : รู้จัก ช่องแคบฮอร์มุซ เส้นเลือดหลักส่งน้ำมัน ถ้าอิหร่านปิดจริง พินาศ น้ำมันแพงทั้งโลก

นายพิธา เสนอว่า ควรทำการทูตเชิงรุก ไม่ใช่ลดระดับความสัมพันธ์ ไม่มีฝ่ายใดได้ประโยชน์จากสงคราม ไม่ว่าจะเป็นสงครามทางทหาร จิตวิทยา ประสาท เรื่องเล่า หรือเศรษฐกิจ อดีตนายกรัฐมนตรี เตือนสติว่าอาเซียนเคยพยายามส่งเสริมไมตรีจิตในการแก้ไขปัญหา ไม่ควรปล่อยให้สถานการณ์บานปลาย เวทีอย่าง ASEAN Regional Forum (ARF) ที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 11 กรกฎาคมนี้ เป็นโอกาสสำคัญในการเจรจา ตนไม่เห็นด้วยกับแนวคิดการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา แต่กลับต้องใช้ “การทูตเชิงรุก” ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคีในอาเซียน

รัฐบาลควรออกสื่อต่างประเทศเพื่ออธิบายเหตุผลที่ไทยไม่ต้องการไปศาลโลก บอกสิ่งที่ไทยต้องการ เช่น การเจรจาผ่าน JBC และ ARF ในขณะที่กัมพูชามีกำหนดจะยื่นเรื่องต่อศาลโลกในวันที่ 15 มิถุนายน และมีเรื่องเล่าในระดับนานาชาติที่ชัดเจน ไทยก็ต้องสร้างเรื่องเล่าและจุดยืนที่เป็นสากลและกระชับเพื่อตอบโต้ ไทยไม่ได้พ่ายแพ้ในสมรภูมิทางทหารหรือเศรษฐกิจ แต่พ่ายแพ้ในสมรภูมิเรื่องส่วนตัว ข่าวสาร และเรื่องเล่า. ดังนั้น การทูตเชิงรุกจึงเป็นสิ่งจำเป็น

นายพิธายังกล่าวถึงปรากฏการณ์ “Blackmail Diplomacy” หรือการทูตด้วยการแบล็กเมล์ ซึ่งเกิดขึ้นได้หลายครั้งในการต่างประเทศ อย่างการอัดคลิปเสียง ตนสังเกตว่าการตัดสินใจปิดด่านชายแดนของไทยดำเนินการโดยฝ่ายทหาร ในขณะที่ฝ่ายกัมพูชาดำเนินการโดยนายกรัฐมนตร. สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าผู้มีอำนาจตัดสินใจในแต่ละประเทศแตกต่างกัน ฝ่ายไทยควรให้ผู้บริหารระดับสูงกว่าความมั่นคงตัดสินใจในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประชาชนและการค้า.

นายพิธามองว่าการที่รัฐบาลไทยไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ อาจเป็นเพราะถูกกดดันจากคลิปที่รั่วไหล ทำให้เกิดคำถามในหมู่ประชาชนถึงบทบาทของนายกรัฐมนตรีว่า ตกลงเป็นเพราะเกรงใจ กลัวถูกแบล็กเมล์ หรือกังวลเรื่องส่วนตัว การแบล็กเมล์ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะมันทำลายความน่าเชื่อถือของทั้งสองฝ่ายในการเจรจาต่อรอง ผู้นำประเทศต้องคิดเสมอว่าตนเองอาจถูกบันทึกเสียงได้ และต้องตัดความสัมพันธ์ส่วนตัวออกจากความเป็นมืออาชีพตั้งแต่แรก

คลิปเสียงที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะจริงหรือไม่ ก็ยิ่งลดความน่าเชื่อถือ ความชอบธรรม และเสถียรภาพของรัฐบาลไทย ซึ่งเดิมก็มีปัญหาอยู่แล้วจากการเป็นรัฐบาลข้ามขั้วและไม่สามารถแก้ไขปัญหาตามที่สัญญาไว้กับประชาชนได้. ในสถานการณ์เช่นนี้ ประเทศไทยต้องการผู้นำที่มีความชอบธรรมสูงมาก เพื่อรับมือกับความท้าทายจากต่างประเทศและปัญหาภายในประเทศ

นายพิธาเสนอทางออกที่อาจฟังดูสุดโต่งในสถานการณ์ปัจจุบัน แต่เขาเชื่อว่าเป็นทางที่สร้างความชอบธรรมสูงสุด นั่นคือ “การยุบสภา” และคืนอำนาจให้ประชาชน. เขาให้เหตุผลว่า หากปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป อาจนำไปสู่สถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่พึงประสงค์ได้หลายรูปแบบ เช่น นายกฯ ลาออก, ยุบสภา, ถูกโหวตคว่ำในสภา (มาตรา 151), หรือการใช้ “นิติสงคราม”. ทุกทางเลือกล้วนทำลายระบอบประชาธิปไตย

นายพิธาย้ำว่า การยุบสภาจะช่วยลดความเสี่ยงจากสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน และแม้จะมีรัฐบาลรักษาการ 45-60 วัน แต่ก็ไม่เกิดสุญญากาศ. การที่ผู้นำได้รับอาณัติจากประชาชนอีกครั้งด้วยคะแนนเสียงที่แข็งแกร่งจะทำให้ผู้นำมีน้ำหนักและอำนาจในการเจรจาต่อรองกับนานาชาติมากขึ้น. นอกจากนี้ การเปลี่ยนผู้นำจากการเลือกตั้งใหม่ จะทำให้การเจรจากับกัมพูชาดำเนินไปอย่างราบรื่นขึ้น เพราะปัญหา “มลทิน” จากคลิปเสียงจะหายไป

ท้ายที่สุด นายพิธากล่าวทิ้งท้ายว่า ถ้าหากผู้มีอำนาจในปัจจุบันยังคงต่อสู้ในลักษณะเดิมโดยที่ความน่าเชื่อถือและอำนาจลดน้อยลงเรื่อยๆ ทั้งอำนาจแข็งและอำนาจอ่อน ก็จะยิ่งจัดการกับความท้าทายต่างๆ ได้ยาก. เขาเชื่อว่าการยุบสภาและคืนอำนาจให้ประชาชน เป็นหนทางที่จะทำให้รัฐบาลที่กลับมา “แกร่งพอ” ที่จะรับมือกับความท้าทายทั้งจากกัมพูชา อิหร่าน อเมริกา ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (Call Center) และปัญหา PM2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

0 0 โหวต
Article Rating
สมัครรับข้อมูล
แจ้งเตือนเกี่ยวกับ
0 Comments
เก่าแก่ที่สุด
ใหม่ล่าสุด ถูกโหวตมากที่สุด
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

Aindravudh

นักเขียนประจำ Thaiger มีประสบการณ์เขียนข่าวมากกว่า 5 ปี จบการศึกษาด้านภาษาและประวัติศาสตร์ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความสนใจ ประเด็นความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง เจาะประเด็นข่าวทางสังคม ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องแบบย่อยง่าย อย่างงานเขียนสร้างสรรค์ สั้น กระชับ จับทุกประเด็น หัวข้อที่เชียวชาญคือเรื่องไลฟ์สไตล์ เลขเด็ด หวยรัฐบาลไทย หวยลาว ช่องทางติดต่อ vajara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button
0
เราอยากทราบความคิดเห็นของคุณ โปรดแสดงความคิดเห็นx