ตลกร้าย คลิปชม.ศิลปะเด็กยูเครน ตั้งใจวาดรูปรถถัง บาดแผลสงครามที่ยาวนาน

ท่ามกลางความขัดแย้งที่ยังคงดำเนินไปในยูเครน ชีวิตของเด็กๆ ต้องเผชิญกับความยากลำบากเกินกว่าจะจินตนาการได้ เรื่องราวของพวกเขานั้น เปรียบเสมือน “เครื่องเตือนใจ” ถึงผลกระทบอันลึกซึ้งของสงครามที่มีต่อจิตใจและอารมณ์ต่อเด็กๆ เหล่านี้ โดยมีเด็กมากกว่า 50,000 คน ต้องการความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต
รายงานของรอยเตอร์ เมื่อ 20 ก.พ.ที่ผ่านมา บอกเล่าเรื่องราวของนิคิต้า บอนดาเรนโก้ เด็กชายประถมจากเคียฟนั่งอยู่ในชั้นเรียนศิลปะ วาดภาพรถถังอย่างตั้งใจ มีป้อมปืน มีปืนใหญ่ และทหาร 2 คนอยู่ข้างใน
“นิคิต้า” บอกว่าพ่อของเขาเป็นทหารและมักจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามให้เขาฟังอยู่เสมอ
นับตั้งแต่รัสเซียเริ่มการรุกรานยูเครนอย่างเต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 เด็กยูเครนหลายคนต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความวิตกกังวลที่เพิ่มสูงขึ้น
ข้อมูลจากกระทรวงศึกษาธิการและวิทยาศาสตร์ของยูเครน เผยให้เห็นว่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 เด็กมากกว่า 50,000 คนต้องการความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต ซึ่งมากกว่าปีก่อนถึงสามเท่า และน่าเป็นห่วงว่าบาดแผลทางอารมณ์เหล่านี้อาจยังคงอยู่ แม้ว่าการสู้รบจะยุติลงในเร็ววัน

วาเลนตินา มารูเนียค ครูสอนศิลปะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของนักเรียนผ่านงานศิลปะของพวกเขา “ช่วงแรกๆ พวกเขามักจะวาดรถถัง เครื่องบิน การระเบิด แต่ตอนนี้พวกเขากำลังวาดรูปพระอาทิตย์ รุ้ง ดอกไม้ และสิ่งที่สวยงาม แม้แต่ทหารก็บอกว่าเด็กๆ เปลี่ยนไปแล้ว และความปรารถนาของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาต้องการชัยชนะ พวกเขาต้องการความสุข พวกเขาต้องการฤดูใบไม้ผลิ พวกเขาต้องการความสงบ”
โซโลเมีย คารันดา เด็กหญิงอายุ 8 ขวบ วาดภาพทิวทัศน์ที่เธอคิดถึง เป็นภาพเครื่องบินเหนือหมู่บ้านทางตอนใต้ของยูเครน ที่ที่เคยไปเยี่ยมคุณยายซึ่งตอนนี้ต้องอพยพหนีภัยสงครามไปแล้ว การรุกรานนี้กินเวลาไป 1 ใน 3 ของชีวิตคารันดา เธอบอกว่ายังคงรู้สึกไม่สบายใจเมื่ออยู่บ้านคนเดียวในช่วงที่มีการแจ้งเตือนภัยทางอากาศ “ฉันมักจะปิดประตูห้องของตัวเองแล้วขึ้นไปบนเตียงพร้อมกับของเล่น มันทำให้รู้สึกกลัวน้อยลง”

ในช่วงที่สัญญาณเตือนภัยดังขึ้น เด็กๆ จะลงไปหลบภัยในห้องใต้ดินของโรงเรียน ที่นั่นการเรียนการสอนยังคงดำเนินต่อไป ทั้งการเขียน การวาดรูป และการเต้นรำ ขณะที่ ลุยด์มิล่า ยาโรสลาฟต์เซวา ครูใหญ่พยายามที่จะสร้างความรู้สึกสงบและทัศนคติเชิงบวกให้กับเด็กๆ
“เราพยายามที่จะปกป้องพวกเขาในบางทาง แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่สามารถปกป้องพวกเขาจากทุกสิ่งทุกอย่างได้ เราพูดคุยกันเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่บางทีเราอาจไม่ได้พูดคุยกับคนรุ่นก่อน” ครูใหญ่ทิ้งท้าย.
อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ของสถาบัน RLG (รักลูก เลิร์นนิ่ง กรุ๊ป) เคยระบุถึงผลกระทบของ “สมองเด็กในภาวะสงคราม” โดยระบุในช่วงอายุของเด็กปฐมวัย วงจรประสาทตอบสนองต่อ “ความเครียด” ต้องทำงานอย่างหนักและยืดเยื้อ จะส่งผลอย่างถาวรให้วงจรประสาทส่วนนี้ไวต่อความเครียดและความกังวล ซึมเศร้า มีปัญหาเรื่องอารมณ์และพฤติกรรม
ผลกระทบจากวิกฤติความรุนแรงที่ชีวิตได้รับไม่เพียงส่งผลต่อสมองของเด็ก แต่ยังส่งผลกระทบต่อระบบร่างกาย ทำให้มีปัญหาโรคหัวใจ โรคที่เกี่ยวกับตับและปอดในวัยผู้ใหญ่สูงขึ้นอีกด้วย เซลล์ประสาทในสมองมีสภาพคล้ายกล้ามเนื้อ เมื่อถูกกระตุ้นซ้ำๆ อย่างต่อเนื่องจะมีความแข็งแรง
หากไม่ได้ใช้จะค่อยเหี่ยวแห้งตายไปเหมือนต้นไม้ขาดน้ำ สมองที่เติบโตได้ดีจะเกิดจากการกระตุ้นจากสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อแม่ การมีส่วนร่วมและมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น และการได้รับการศึกษา เรียนรู้ ต้องได้เล่น เรียน ผูกสัมพันธ์กับเพื่อนและคนรอบข้าง มีกิจวัตรประจำวันที่ปลอดภัย ถึงเวลากินได้กิน ถึงเวลานอนได้นอน แต่สงครามได้มอบมรดกที่เลวร้ายฝังไว้ในตัวเด็ก นั่นคือการทำให้เด็กขาดโอกาส และเกิดความบกพร่องในการพัฒนาทั้งในสมอง ร่างกาย และจิตใจ.
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- เซเลนสกี ย้ำไม่รับข้อตกลงสงบศึกรัสเซีย-ยูเครน หากไม่ได้ร่วมเจรจาด้วย
- นายกอังกฤษ ประกาศพร้อมส่งทหารลงพื้นที่ยูเครน เพื่อปกป้องสันติภาพ
- ทหารเกาหลีเหนือ รบกับยูเครน ตายเจ็บรวม 4000 นาย สูญเกือบครึ่ง
- ทรัมป์ โวเตรียมคุย ปูติน เจรจายุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน