สุกี้ เอ็มเค กรุ๊ป เผยผลประกอบการไตรมาส 3/2567 รายได้หดตัว 10.1% จากกำลังซื้อผู้บริโภคลดลง
บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MK ผู้ดำเนินธุรกิจร้านอาหารรายใหญ่ของไทย เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3/2567 โดยรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 3,683 ล้านบาท ลดลง 412 ล้านบาท หรือ 10.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุสำคัญมาจากยอดขายสาขาเดิมที่ปรับลดลง 12.7%
ผลประกอบการ 9 เดือนลดลงต่อเนื่อง
สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 รายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 11,735 ล้านบาท ลดลง 7.0% ขณะที่ยอดขายสาขาเดิมลดลง 9.9% กำไรสุทธิลดลงเหลือ 1,088 ล้านบาท ลดลง 7.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
กำไรสุทธิหดตัว กำไรขั้นต้นในไตรมาส 3 อยู่ที่ 2,495 ล้านบาท ลดลง 8.6% ขณะที่กำไรสุทธิลดลงจาก 389 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2566 เหลือ 341 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ คิดเป็นการลดลง 12.3% สะท้อนความท้าทายด้านการบริหารต้นทุนในช่วงภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา
โครงสร้างรายได้และความหลากหลายของธุรกิจ
เอ็มเค กรุ๊ป มีรายได้หลักจากแบรนด์ MK Suki คิดเป็น 72% ของรายได้รวม รองลงมาคือแบรนด์อาหารญี่ปุ่น ยาโยอิ (18%) และแบรนด์อาหารไทย แหลมเจริญซีฟู้ด (7%) ส่วนที่เหลือมาจากธุรกิจอื่นๆ เช่น การพัฒนาสินค้าสำหรับขายในช่องทางค้าปลีก การบริการโลจิสติกส์ และการผลิตสินค้า OEM
ย้อนดูแนวโน้มผลประกอบการ 5 ปีย้อนหลัง
- ปี 2563 รายได้ 13,655 ล้านบาท กำไรสุทธิ 907 ล้านบาท
- ปี 2564 รายได้ 11,368 ล้านบาท กำไรสุทธิ 130 ล้านบาท
- ปี 2565 รายได้ 15,782 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,439 ล้านบาท
- ปี 2566 รายได้ 16,973 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,681 ล้านบาท
- ปี 2567 (9 เดือน) รายได้ 11,735 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,088 ล้านบาท
แม้จะมีการฟื้นตัวหลังสถานการณ์โควิดในปี 2565 และ 2566 ซึ่งรายได้และกำไรสุทธิเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ในปี 2567 ผลประกอบการของเอ็มเค กรุ๊ป กลับมาชะลอตัวอีกครั้ง โดยเฉพาะในไตรมาส 3 ที่รายได้และกำไรลดลงท่ามกลางแรงกดดันจากเศรษฐกิจและความผันผวนของตลาด
วิเคราะห์สถานการณ์ ทำไมรายได้ของ MK ถึงลดลง
1. สภาพเศรษฐกิจไทยที่กดดันกำลังซื้อของผู้บริโภค
เศรษฐกิจไทยในปี 2567 เผชิญกับปัจจัยลบหลายประการ ได้แก่
- ค่าครองชีพสูงขึ้น ราคาสินค้าและบริการที่จำเป็น เช่น อาหาร น้ำมัน และค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคต้องจัดสรรรายจ่ายอย่างระมัดระวัง
- หนี้ครัวเรือนที่ยังคงสูง จากข้อมูลล่าสุดปี 2566 ระดับหนี้ครัวเรือนไทยอยู่ที่ประมาณ 90% ของ GDP ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคชะลอตัว แม้ว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่การใช้จ่ายยังถูกจำกัดด้วยภาระหนี้ที่ต้องชำระ
2. การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดสุกี้และอาหารนอกบ้าน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ธุรกิจร้านอาหารประเภทสุกี้มีการเติบโตและการแข่งขันที่ดุเดือด โดยเฉพาะกับแบรนด์ใหม่ที่มีจุดเด่นด้านราคาที่เข้าถึงได้ง่าย เช่น
- สุกี้ตี๋น้อย เป็นที่นิยมในกลุ่มลูกค้ารายได้ปานกลางถึงต่ำ ด้วยโมเดลบุฟเฟต์ราคาประหยัด (ประมาณ 199-249 บาทต่อคน) ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่า MK มาก
- สุกี้จินดา อีกหนึ่งคู่แข่งที่เน้นราคาไม่แพงและมีจุดขายในด้านความสะดวกสบายและเมนูที่หลากหลาย
ร้านเหล่านี้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาทางเลือกที่คุ้มค่าในช่วงที่กำลังซื้ออ่อนแอ ส่งผลให้ MK ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการแข่งขันเรื่องราคาและการรักษาฐานลูกค้า
3. การปรับตัวในเชิงกลยุทธ์ของ MK
แม้ MK จะมีจุดแข็งในด้านคุณภาพอาหารและการบริการ แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน การพึ่งพารายได้หลักจากสาขาเดิม (Same Store Sales) ที่ลดลงกว่า 12.7% เป็นอุปสรรคสำคัญ
- MK มีการกระจายธุรกิจผ่านแบรนด์ต่างๆ เช่น ยาโยอิ และ แหลมเจริญซีฟู้ด รวมถึงการพัฒนา สินค้ารีเทล เช่น น้ำจิ้มสุกี้ และชุดสุกี้พร้อมปรุง แต่ยังไม่สามารถชดเชยรายได้ที่ลดลงจากร้านอาหารหลักได้ในระยะสั้น
- การขยายสาขาเพิ่มหรือการใช้กลยุทธ์ส่งเสริมการขายอาจช่วยได้บ้าง แต่ต้องลงทุนสูงและใช้เวลาในการเห็นผล
4. ความเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมผู้บริโภค
หลังจากการระบาดของโควิด-19 ผู้บริโภคจำนวนมากยังคงคุ้นเคยกับการทำอาหารทานเองที่บ้านหรือสั่งอาหารผ่านบริการเดลิเวอรีมากขึ้น ซึ่งเป็นช่องทางที่ MK มีการแข่งขันสูงจากผู้เล่นในตลาด เช่น GrabFood และ LINE MAN ที่นำเสนอโปรโมชั่นจากร้านอาหารคู่แข่ง
ผลประกอบการของเอ็มเค กรุ๊ป ในไตรมาส 3/2567 ชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางของกำลังซื้อในประเทศ ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับธุรกิจร้านอาหาร อย่างไรก็ตาม บริษัทได้พยายามปรับตัวผ่านการพัฒนาสินค้าและการบริหารต้นทุน เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
- ติดตามเราได้ที่ :