รู้จัก “โรคมะเร็งอัณฑะ” ภัยเงียบชายไทย แม้ไม่รุนแรง แต่กระทบใจ
ทำความรู้จัก “มะเร็งอัณฑะ” โรคที่พบมากในชายไทย ช่วงอายุ 15-35 ปี อาการรุนแรงต่ำ สามารถรักษาให้หายได้ แม้จะอยู่ในระยะที่โรคแพร่กระจายเชื้อ
มะเร็งอัณฑะ โรคที่ไม่ติด 1 ใน 10 ของมะเร็งที่พบบ่อยของชายไทย รวมถึงยังพบได้น้อยประมาณ 2% ของมะเร็งทั้งหมด อาจฟังดูน่ากลัวไม่แพ้มะเร็งอื่น ๆ แต่โรคนี้ความรุนแรงจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ต่ำ สามารถรักษาให้หายขาดได้ แม้จะอยู่ในระยะที่โรคแพร่กระจายเข้ากระแสโลหิตแล้วก็ตาม ขึ้นอยู่กับขนาดก้อนมะเร็งที่ตรวจพบ อายุ และสุขภาพของผู้ป่วย ถึงกระนั้นก็อาจจะส่งผลกระทบต่อจิตใจคุณผู้ชายไม่ใช่น้อย ลองไปทำความรู้จักและวิธีการรักษา พร้อมตรวจเช็คอาการของโรคในบทความนี้
โรคมะเร็งอัณฑะ
ลูกอัณฑะประกอบด้วยเซลล์หลายประเภท ซึ่งแต่ละเซลล์สามารถพัฒนาเป็นมะเร็งได้ตั้งแต่หนึ่งชนิดขึ้นไป สิ่งสำคัญคือต้องทราบประเภทของเซลล์ที่เป็นมะเร็งและชนิดของมะเร็ง เพราะมันแตกต่างกันในวิธีการรักษาและการพยากรณ์โรค ( แนวโน้ม )
มะเร็งอัณฑะมากกว่า 90% เริ่มต้นในเซลล์ที่เรียกว่าเซลล์สืบพันธุ์ เป็นเซลล์ที่สร้างสเปิร์ม ประเภทหลักของเนื้องอกเซลล์สืบพันธุ์ (GCTs) ในอัณฑะ คือ Seminomas , Non-seminomas และ Teratoma (ลูกผสม)
สำหรับมะเร็งอัณฑะ ถือว่าเป็นโรคที่พบได้น้อยประมาณ 2% ของมะเร็งทั่วไปและอาการของมะเร็งอัณฑะนั้นยังรุนแรงต่ำ รวมไปถึงยังสามารถรักษาให้หายได้ แม้จะอยู่ในระยะที่โรคแพร่กระจายเข้ากระแสโลหิต
มีโอกาสเป็นได้ทั้งด้านซ้ายและขวา หรือทั้ง 2 ด้านเท่า ๆ กัน แต่ส่วนใหญ่มักเกิดเพียงด้านเดียว และพบบ่อยในช่วงอายุ 15 – 35 ปี ทำให้ผู้ป่วยเกิดความวิตกว่าจะส่งผลถึงสมรรถภาพทางเพศ
อาการของมะเร็งอัณฑะ
- มีการคลำพบก้อนเนื้อในลูกอัณฑะ
- ลูกอัณฑะมีขนาดใหญ่ขึ้น หรือบวมขึ้น แต่ไม่มีความรู้สึกเจ็บ ซึ่งลักษณะการบวมจะบวมคล้าย ๆ มีน้ำอยู่ในอัณฑะ
- มีอาการปวดหน่วง ๆ บริเวณขาหนีบหรือท้องนอน
- รู้สึกปวดขัดหรือไม่สบายภายในอัณฑะ
- ความต้องการทางเพศลดลง
ถ้าหาก มะเร็งอัณฑะ มีการแพร่กระจายเข้าสู่อวัยวะต่าง ในร่างกาย อาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มีอการ ปวดหลังส่วนล่าง หรือปวดท้อง ปวดศีรษะ รู้สึกมึนงง เจ็บแปลบ ชา หรืออ่อนแรงบริเวณต้นขา หายใจลำบาก ไอ และแน่นหน้าอก
กลุ่มเสี่ยงมะเร็งอัณฑะ
- พบบ่อยในผู้ชายช่วงอายุ 15 – 35 ปี
- ผู้ชายที่เป็นหมันแต่กำเนิด
- ผู้ที่มีอัณฑะฝ่อ
- ชายผิวขาวมีโอกาศเป็นมากกว่าชายผิวดี
- ผู้ที่เคยบาดเจ็บหรือมีการอักเสบบริเวณอัณฑะ จากสาเหตุต่าง ๆ
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันโรคบกพร่อง เช่น การติดเชื้อไวรัสเอชไอวี
- เพศชายที่อัณฑะไม่เคลื่อนลงมาอยู่ในถุงอัณฑะ พบว่ามีโอกาสเป็นมะเร็งอัณฑะมากขึ้นประมาณ 10 -40 %
- โครโมโซม (Chromosome) คู่ที่ 1 หรือคู่ที่ 12 ผิดปกติ
การป้องกัน
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันและตรวจคัดกรองมะเร็งอัณฑะตั้งแต่เริ่มต้น ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการเฝ้าสังเกตลองคลำหาความผิดปกติที่ลูกอัณฑะให้เป็นประจำ จะสามารถบอกความผิดปกติได้ทันที เมื่อเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง
การตรวจอัณฑะด้วยตนเอง
การตรวจอัณฑะด้วยตนเองเดือนละครั้ง เมื่ออยู่ในวัยเจริญพันธุ์ เพื่อคัดกรองโรคมะเร็งอัณฑะได้ตั้งแต่ระยะแรก โดยเฉพาะในผู้มีปัจจัยเสี่ยง การตรวจอัณฑะที่ดีที่สุดควรทำเมื่อถุงอัณฑะอยู่ในสภาวะผ่อนคลาย เช่น หลังจากการอาบน้ำอุ่น
ขณะตรวจควรจับองคชาติออกไป จากนั้นค่อย ๆ ใช้นิ้วโป้งและนิ้วอื่น ๆ ไล่คลำบริเวณอัณฑะทั้ง 2 ข้าง เพื่อดูว่ามีก้อนเนื้อหรือไม่อย่างไรก็ตามถือเป็นเรื่องปกติ หากพบว่าอัณฑะทั้ง 2 ข้างมีขนาดต่างกัน อยู่ในระดับไม่เท่ากัน และอาจพบรอยนูนเล็ก ๆ ที่ด้านนอกของอัณฑะส่วนบนและส่วนกลาง หรือสามารถปรึกษาแพทย์หากมีอาการดังกล่าว ด้วยการตรวจอัลตราซาวด์บริเวณถุงอัณฑะ แพทย์จะไม่มีการตัดชิ้นเนื้อออกมาพิสูจน์อย่างเด็ดขาด เนื่องจากการผ่าตัดจะต้องทำโดยผ่านถุงอัณฑะ ซึ่งจะยิ่งทำให้มะเร็งลุกลามเข้าถุงอัณฑะได้ ส่งผลให้การรักษาซับซ้อนและยุ่งยากมากขึ้น
ระยะของโรคมะเร็งอัณฑะ
แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่
- ระยะที่ 1 มะเร็งเกิดขึ้นเฉพาะในอัณฑะ ยังไม่ลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลือง ซึ่งมีโอกาสรักษาหายได้สูงถึง 90 – 100%
- ระยะที่ 2 มะเร็งลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองบริเวณช่องท้อง โอกาสรักษาหายได้ ประมาณ 80 – 90%
- ระยะที่ 3 มะเร็งลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองบริเวณช่องท้อง รวมทั้งมีสารมะเร็งปริมาณสูงในเลือด ซึ่งมักแพร่กระจายมักเข้าสู่สมองและปอด ยังมีโอกาสรักษาหายประมาณ 50 – 70%
การรักษา
การรักษามะเร็งอัณฑะขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของมะเร็งเป็นหลัก
- การผ่าตัด ซึ่งเป็นการผ่าตัดเฉพาะอัณฑะข้างที่เป็นโรคเท่านั้น โดยแพทย์มีการประเมินเซลล์มะเร็งและระยะของโรค รวมถึงสุขภาพของผู้ป่วย เพื่อให้การรักษาต่อเนื่อง
- รักษาด้วยรังสี อาจทำการฉายรังสีต่อมน้ำเหลืองบริเวณช่องท้อง ช่องอก หรือบริเวณที่มะเร็งแพร่กระจาย
- เคมีบำบัด หลังจากผ่าตัดแล้ว แพทย์อาจพิจารณาให้ใช้เคมีบำบัดต่อเนื่อง หรือทำพร้อมกับการรักษาด้วยรังสี
อย่างไรก็ตามหากผู้ป่วยดื้อต่อรังสีรักษาหรือยาเคมีบำบัด ส่งผลให้รักษาไม่หายอยู่ที่ประมาณ 5 – 10%
ผลข้างเคียงจากการรักษา
การรักษามะเร็งอัณฑะ อาจมีผลข้างเคียง โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง รวมถึงในผู้สูงอายุ เช่น
- จากการผ่าตัด อาจสูญเสียอัณฑะ แผลผ่าตัดติดเชื้อ หรือผลจากการดมยาสลบ
- รักษาด้วยรังสี อาจมีผลข้างเคียงกับผิวหนัง หรือเนื้อเยื่อบริเวณที่ได้รับการฉายรังสี
- เคมีบำบัด ผลข้างเคียงที่พบบ่อยคือ ผมร่วง คลื่นไส้ อาเจียน และภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
แม้มะเร็งอัณฑะจะถูกพบได้น้อยและความรุนแรงของโรคนั้นค่อนข้างต่ำ แต่ก็ถือว่าเป็นโรคใกล้ตัวที่เราควรเฝ้าสังเกตอาการของตัวเอง หากพบก้อนเนื้อหรือสิ่งผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาที่ถูกต้องในทันที
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง