การเงินสปอนเซอร์เศรษฐกิจ

แนะนำ 5 กลยุทธ์การเทรดคริปโต ปี 2024 เพื่อกำไรที่ยั่งยืน

ตลาดคริปโตเป็นเหมือนดินแดนมหัศจรรย์ที่ทำให้นักลงทุนตื่นเต้นประหลาดใจได้เสมอ เต็มไปด้วยความผันผวนทั้งขาขึ้นและขาลงที่น่าตื่นเต้น ถึงแม้ว่าการทำกำไรอย่างรวดเร็วจะเป็นสิ่งที่น่าดึงดูด แต่ความสำเร็จที่ยั่งยืนในตลาดที่ผันผวนเช่นนี้ต้องอาศัยวิธีการที่มีระบบระเบียบมากกว่า ในฐานะเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ ผมได้เรียนรู้ว่าการทำกำไรระยะยาวในตลาดคริปโตนั้นขึ้นอยู่กับการคิดเชิงกลยุทธ์ การจัดการความเสี่ยง และความอดทน มาดูกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยคุณนำทางในโลกคริปโตและสร้างกระแสกำไรที่ยั่งยืนกัน

1. รู้จักพลังของการ “HODL”

คำว่า ‘HODL’ (คำที่ตั้งใจสะกดผิดแบบขำๆ ของคำว่า ‘hold’) มีต้นกําเนิดมาจากโพสต์ออนไลน์ปี 2013 ในฟอรัม Bitcointalk ที่มีการพิมพราคาของบิตคอยน์ในปี 2556 ซึ่งมีความผันผวนในขณะนั้นผิด เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 950 ดอลลาร์ จากของจริงทเพิ่มขึ้นจากเพียง 130 ดอลลาร์

“รอ” คำนี้ได้กลายเป็นเหมือนคาชาบูชาในชุมชนคริปโต แสดงถึงปรัชญาการลงทุนระยะยาวที่ให้ความสำคัญกับการรับมือกับความผันผวนของตลาด ซื้อเหรียญที่เราศรัทธา แล้วถือมันไว้ยาว ๆ ไม่ขาย ไม่ว่าราคาจะขึ้นหรือลงแค่ไหน

จากประวัติศาสตร์กระดานลทุน คริปโตเคอร์เรนซีหลักๆ เช่น Bitcoin มีแนวโน้มขาขึ้นตามระยะเวลาแม้จะมีความผันผวน การอดทนถือเหรียญให้ผ่านช่วงขาลงจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการขายอย่างตื่นตระหนก ตัดสินใจที่ผิดพลาดจากอารมณ์ชั่ววูบ เช่น การขายเหรียญทิ้งในช่วงที่ราคาตกต่ำ (panic sell) และพลาดโอกาสในการทำกำไรเมื่อราคาดีดตัวกลับขึ้นมา

นอกจากนี้ยังช่วยให้เรารอดพ้นจากความผันผวนระยะสั้นของตลาด เช่น ถ้าเราซื้อเหรียญแล้วขายทำกำไรทุกครั้งที่ราคาขึ้น เราอาจจะพลาดโอกาสทำกำไรก้อนใหญ่ในระยะยาว เพราะราคาคริปโตบางตัวสามารถพุ่งขึ้นสูงมากในระยะเวลาหลายปี

ตัวอย่าง หากคุณซื้อ Bitcoin ในปี 2017 และ HODL มาจนถึงปัจจุบัน คุณจะเห็นว่ามูลค่าของมันเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล แม้ว่าจะต้องผ่านช่วงเวลาที่ราคาตกต่ำหลายครั้งก็ตาม หรือไม่ก็รีบขายเสียก่อน ก็จะพลาดที่ทำไรได้มากกว่าในอนาคต

2. Dollar-Cost Averaging ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม

DCA หรือ Dollar-Cost Averaging แปลเป็นไทยง่าย ๆ ก็คือ “ทยอยลงทุน” หลักการแบ่งเงินลงทุนเป็นก้อนเล็ก ๆ แล้วทยอยซื้อเหรียญที่เราเล็งไว้เป็นประจำ เช่น ทุกสัปดาห์ หรือทุกเดือน ไม่ต้องสนใจว่าราคาเหรียญตอนนั้นจะขึ้นหรือลง

แล้ว DCA ช่วยอะไรเรา? ข้อดีหลัก ๆ เลยคือ ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด ลองนึกภาพตามนะครับ ถ้าเราซื้อเหรียญทีเดียวตอนราคาสูง แล้วราคาดันร่วงลงมา เราจะขาดทุนหนักเลย แต่ถ้าเรา DCA ทยอยซื้อเรื่อย ๆ บางครั้งเราซื้อตอนราคาถูก บางครั้งซื้อตอนราคาแพง ต้นทุนเฉลี่ยของเราก็จะสมดุลขึ้น ไม่ขาดทุนหนักเหมือนซื้อทีเดียว

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัด ๆ สมมติเรามีเงิน 12,000 บาท อยากซื้อบิทคอยน์ ถ้าซื้อทีเดียวตอนราคา 600,000 บาท เราจะได้ 0.02 BTC แต่ถ้าเรา DCA ซื้อเดือนละ 1,000 บาท เป็นเวลา 12 เดือน บางเดือนราคาอาจจะ 500,000 บาท ได้ 0.002 BTC บางเดือนราคา 700,000 บาท ได้ 0.0014 BTC รวม 12 เดือน เราอาจจะได้บิทคอยน์มากกว่าซื้อทีเดียว แถมยังสบายใจ ไม่ต้องลุ้นว่าซื้อถูกจังหวะหรือเปล่า

DCA เหมาะมากสำหรับมือใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ หรือคนที่ไม่ค่อยมีเวลาเฝ้าตลาด เพราะไม่ต้องคอยจับจังหวะให้วุ่นวาย แค่มีวินัยในการลงทุนสม่ำเสมอ เท่านี้ก็ช่วยให้เราเข้าใกล้เป้าหมายทางการเงินได้ง่ายขึ้นแล้วครับ

3. ใช้เทคนิคความเสี่ยงต่ำ

การวิเคราะห์ทางเทคนิคเกี่ยวข้องกับการศึกษาแผนภูมิราคา รูปแบบทางประวัติศาสตร์ และตัวชี้วัดเพื่อระบุโอกาสในการเทรดที่อาจเกิดขึ้น การเรียนรู้การอ่านแผนภูมิแท่งเทียน ทำความเข้าใจแนวโน้ม และการรับรู้ระดับแนวรับและแนวต้าน จะช่วยให้คุณได้รับข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าว่าตลาดอาจมุ่งหน้าไปทางไหน แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การวิเคราะห์ทางเทคนิคมีกรอบสำหรับการตัดสินใจเทรดที่มีการคำนวณมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีวิธีการหาเงินเพิ่มจากการถือคริปโตเคอร์เรนซี 2 วิธี ที่เหมาะกับคนที่ไม่อยากเสี่ยงสูงกับความผันผวน

  1. Staking (การสเตค)

เหมือนกับการฝากเงินกินดอกเบี้ย คุณนำเหรียญคริปโตของคุณไป “ฝาก” ไว้ในระบบของเหรียญนั้นๆ เพื่อช่วยให้ระบบทำงานได้ราบรื่น โดยได้ผลตอบแทนเป็นเหรียญ เปรียบเทียบคล้ายการฝากประจำที่ได้ดอกเบี้ย แต่ในที่นี้คุณจะได้ผลตอบแทนเป็นเหรียญคริปโตเพิ่มขึ้น

เหมาะสำหรับคนที่ถือเหรียญนั้นอยู่แล้ว และอยากได้ผลตอบแทนเพิ่มโดยไม่ต้องทำอะไรมาก

  1. DeFi Yield Farming (การฟาร์มผลตอบแทนในระบบ DeFi)

เหมือนกับการลงทุนในตลาดเงิน คุณนำเหรียญคริปโตของคุณไปให้คนอื่นยืม หรือไปลงทุนในระบบ DeFi ต่างๆ ได้ผลตอบแทนสูงกว่าการสเตค แต่ก็มีความเสี่ยงที่สูงกว่าด้วย

ทั้งนี้ ต้องศึกษาให้ดีก่อน ระบบ DeFi มีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงหลายอย่าง เช่น ความผันผวนของราคา การถูกแฮ็ก หรือระบบล่ม ไม่เหมาะสำหรับมือใหม่ ควรศึกษาให้เข้าใจก่อนลงทุน

4. กระจายพอร์ตการลงทุนของคุณ

การกระจายพอร์ต (Portfolio Diversification) คือ การแบ่งเงินลงทุนของเราไปลงในสินทรัพย์หลาย ๆ ประเภท ไม่ใช่ใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว เพราะถ้าเสียตะกร้านี้แค่ใบเดียว เราเสียทุกอย่าง เช่นเดียวเหมือนเราทำอาหาร ควรกินหลากหลายไม่ใช่กินแต่ผัดกะเพราทุกมื้อ

การกระจายพอร์ตช่วยลดความเสี่ยงจากการที่สินทรัพย์ตัวใดตัวหนึ่งราคาตก ลองนึกภาพ ถ้าเราลงทุนบิทคอยน์อย่างเดียว แล้วราคาดันร่วงลงมา เราก็จะขาดทุนย่อยยับเลย แต่ถ้าเราแบ่งเงินไปลงทุนในเหรียญอื่น ๆ ด้วย เช่น Ethereum, BNB หรือเหรียญอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เมื่อบิทคอยน์ร่วง เหรียญอื่นอาจจะขึ้นมาช่วยพยุงพอร์ตเราได้

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัด ๆ สมมติเรามีเงินลงทุน 100,000 บาท ถ้าเราใส่หมดหน้าตักในบิทคอยน์ แล้วราคาบิทคอยน์ดันร่วง 50% เราก็จะเหลือเงินแค่ 50,000 บาท แต่ถ้าเราแบ่งเงินไปลงทุนใน Ethereum 50% และ BNB 50% แล้วบิทคอยน์ร่วง 50% แต่ Ethereum ขึ้น 20% และ BNB ขึ้น 100% พอร์ตเราก็อาจจะยังไม่ขาดทุน หรือขาดทุนน้อยลง

การกระจายพอร์ตเหมาะกับนักลงทุนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมือเก๋า เพราะช่วยให้เรานอนหลับสบายขึ้น ไม่ต้องกังวลว่าสินทรัพย์ตัวใดตัวหนึ่งจะทำให้เราหมดตัว แถมยังช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรอีกด้วย เพราะเราได้ลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย

แต่การกระจายพอร์ตก็ไม่ใช่แค่แบ่งเงินไปลงทุนในเหรียญหลาย ๆ ตัว เราควรกระจายไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ด้วย เช่น หุ้น ฟอเร็กซ์ อสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่ทองคำ เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรให้มากยิ่งขึ้น

5. ใช้สติ สถิติ อย่าใช้อารมณ์

ต้องเข้าธรรมชาติว่าตลาดคริปโตขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนรถไฟเหาะ ถ้าเราปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ไม่คิดคำนวณตามหลักการ เราอาจจะตัดสินใจผิดพลาดได้ง่าย ๆ เช่น เห็นราคาร่วงก็ตกใจขายขาดทุน หรือเห็นราคาขึ้นก็โลภอยากซื้อเพิ่ม ทั้งที่จริง ๆ อาจจะไม่ใช่จังหวะที่เหมาะสม

การควบคุมอารมณ์และสติ ช่วยให้เราเทรดได้อย่างมีระบบ มีวินัย ไม่หลงไปกับกระแสข่าวหรือความผันผวนของตลาด ถ้าเรามีแผนการเทรดที่ชัดเจน และมีสติรู้ตัวอยู่เสมอว่ากำลังทำอะไร เราจะไม่ตัดสินใจซื้อขายตามความรู้สึกชั่ววูบ ทำให้ลดความเสี่ยงในการขาดทุนได้เยอะ และถ้าได้ศึกษาเครื่องมือเทรดจาก FXGT.com ก็ช่วยได้เยอะ

ยกตัวอย่างสถานการณ์จริง สมมติเราซื้อเหรียญไว้ แล้วราคาดันร่วงลงมา ถ้าเราตกใจกลัวขาดทุน รีบขายทันที เราอาจจะพลาดโอกาสที่ราคาจะเด้งกลับขึ้นมาในภายหลัง แต่ถ้าเรามีสติ ค่อย ๆ วิเคราะห์สถานการณ์ ดูแนวโน้มตลาดประกอบ เราอาจจะตัดสินใจถือเหรียญไว้รอจังหวะที่ดีกว่า หรืออาจจะซื้อเพิ่มตอนราคาถูกก็ได้

ควบคุมอารมณ์และสติคือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้เราเทรดได้อย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่หวังพึ่งดวง นักเทรดที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ ล้วนแต่มีวินัยในการเทรด และสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดี

เส้นทางสู่กำไรคริปโตที่ยั่งยืน

การสร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืนในคริปโตเคอร์เรนซีไม่ใช่เรื่องของการรวยเร็ว มันต้องการความคิดเชิงกลยุทธ์ การมุ่งเน้นไปที่การสร้างมูลค่าระยะยาว และวินัยในการจัดการทั้งความเสี่ยงและอารมณ์ ด้วยการเข้าใจกลยุทธ์ที่ระบุไว้ข้างต้นและปรับปรุงวิธีการของคุณอย่างต่อเนื่อง คุณจะอยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่งขึ้นเพื่อประสบความสำเร็จในโลกของการเทรดคริปโตที่พัฒนาตลอดเวลา

Thaiger

The Thaiger นำเสนอข่าวสารล่าสุดและอัปเดตจากทั่วประเทศไทย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button