ข่าวต่างประเทศ

ประวัติ โป๊ปฟรานซิส สมเด็จพระสันตะปาปาองค์ที่ 266 แห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก

เส้นทางชีวิต จากช่างเคมีอาร์เจนตินา สมาชิกเยสุอิต สู่ประมุขคาทอลิกองค์แรกจากละตินอเมริกา เปิดประวัติ ประวัติ โป๊ป ฟรานซิส ผู้ท้าทายขนบด้วยความสมถะและเมตตาธรรม สมเด็จพระสันตะปาปาองค์ที่ 266 แห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส (Pope Francis) ทรงดำรงตำแหน่ง พระสันตะปาปาองค์ที่ 266 แห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก นับตั้งแต่ได้รับเลือกเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 2013 พระองค์เป็นพระสันตะปาปาพระองค์แรกจากทวีปอเมริกาใต้และสมาชิกคณะเยสุอิตคนแรกที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนี้ อีกทั้งยังเป็นพระสันตะปาปาพระองค์แรกจากนอกทวีปยุโรปในรอบหลายศตวรรษ

ด้วยสไตล์ความเป็นผู้นำที่อ่อนน้อมถ่อมตน ห่วงใยผู้ยากไร้ สมณสมัยของโป๊ปฟรานซิสโดดเด่นในด้านการเน้นความเมตตากรุณา การช่วยเหลือสังคมส่วนรวม

พระองค์มีความสนใจในประเด็นปัญหาระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นการทูตระหว่างประเทศหรือการปกป้องสิ่งแวดล้อม โดยได้รับการยกย่องว่าได้นำพาคริสตจักรเข้าสู่ยุคใหม่ของการปฏิรูปและเปิดกว้างมากขึ้น

ภาพถ่ายไฟล์ที่ไม่ได้ระบุวันที่นี้จัดทำโดย Maria Helena Bergoglio แสดงให้เห็น Jorge Mario Bergoglio ในวัยรุ่นในกรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา
ภาพถ่ายไฟล์ที่ไม่ได้ระบุวันที่นี้จัดทำโดย Maria Helena Bergoglio แสดงให้เห็น Jorge Mario Bergoglio ในวัยรุ่นในกรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา

ชีวิตครอบครัววัยเยาว์

โป๊ปฟรานซิส มีพระนามกำเนิดว่า ฮอร์เฮ มาริโอ เบร์โกกลิโอ (Jorge Mario Bergoglio) ซึ่งต่อมาคือ เกิดเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1936 ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา เขาเป็นบุตรคนโตในจำนวนพี่น้องห้าคนของครอบครัวผู้อพยพชาวอิตาลี โดยบิดาเป็นชาวอิตาลีที่ย้ายถิ่นฐานมาจากเมืองปีเอมอนเตทางตอนเหนือของอิตาลี ส่วนมารดาเป็นชาวอาร์เจนตินาที่มีเชื้อสายอิตาลีเช่นกัน

ครอบครัวเบร์โกกลิโอสถาปนาชีวิตเรียบง่ายในย่านฟลอเรสของบัวโนสไอเรส เบร์โกกลิโอในวัยเด็กศึกษาในโรงเรียนเทคนิคด้านเคมี สำเร็จการศึกษาโดยได้รับประกาศนียบัตรเป็นช่างเทคนิคเคมี หลังจากนั้นทำงานในโรงงานแปรรูปอาหารอยู่ระยะหนึ่งก่อนจะค้นพบว่าใจตนเองปรารถนาจะรับใช้ศาสนา

ช่วงวัยหนุ่ม เบร์โกกลิโอต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพอย่างร้ายแรง เมื่ออายุประมาณ 21 ปี เขาป่วยเป็นโรคปอดบวมขั้นรุนแรงจนต้องผ่าตัดนำปอดข้างขวาออกบางส่วนเพื่อรักษาชีวิต

ในช่วงหนุ่ม เบร์โกกลิโอยังเคยผ่านงานมาหลากหลายทั้งงานทำความสะอาด การเป็นนักเคมีในห้องทดลอง และครูสอนวิชาในโรงเรียนมัธยม อีกทั้งยังเคยทำงานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าประตูไนต์คลับมาก่อน ให้เห็นถึงชีวิตที่เรียบง่ายติดดินของเขาในวัยหนุ่ม

การเข้าสู่ชีวิตนักบวชและคณะเยสุอิต

หลังจากค้นพบแรงบันดาลใจในชีวิตนักบวช ฮอร์เฮ มาริโอ เบร์โกกลิโอได้เข้าเป็นนักบวชฝึกหัดในคณะเยสุอิตเมื่อปี ค.ศ. 1958 ขณะมีอายุได้ 22 ปี​

เขาผ่านการศึกษาทางด้านมนุษยศาสตร์ที่ประเทศชิลี จากนั้นสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาในสาขาปรัชญาที่จังหวัดบัวโนสไอเรสบ้านเกิด เริ่มชีวิตการงานด้วยการเป็นครูสอนวิชาวรรณกรรมและจิตวิทยาในโรงเรียนมัธยมควบคู่ไปกับการศึกษาวิชาศาสนศาสตร์

เบร์โกกลิโอได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์ในเดือนธันวาคม ปี 1969 ซึ่งนับเป็นก้าวแรกอย่างเป็นทางการในชีวิตนักบวชของเขา

อีกสี่ปีถัดมา เขาได้ปฏิญาณตนเป็นสมาชิกถาวรของคณะเยสุอิตในปี 1973 และทันทีที่ปฏิญาณตน เขาก็ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิการเจ้าคณะแขวง (Provincial Superior) ของคณะเยสุอิตในประเทศอาร์เจนตินา ระหว่างปี 1973–1979

ช่วงเวลานั้นเขาเป็นผู้นำเยสุอิตที่อายุน้อยและต้องเผชิญกับบททดสอบสำคัญ นั่นคือสถานการณ์บ้านเมืองอันตึงเครียดในยุคเผด็จการทหารของอาร์เจนตินา

ในช่วงปี 1976–1983 รัฐบาลทหารอาร์เจนตินาได้ก่อเหตุปราบปรามกลุ่มต่อต้านและผู้เห็นต่างอย่างรุนแรง หรือที่รู้จักกันว่า “สงครามสกปรก” (Dirty War) โดยมีประชาชนหลายหมื่นคนถูกจับกุมและบางส่วนหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย เบร์โกกลิโอในฐานะผู้นำคณะเยสุอิตต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างระมัดระวังท่ามกลางภัยคุกคามนี้ ภายหลังเขาเปิดเผยว่าได้ให้ที่ซ่อนภัยแก่ผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายของรัฐบาลทหารหลายคน และช่วยให้บางคนหลบหนีออกนอกประเทศเพื่อความปลอดภัย​

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่บาทหลวงเยสุอิตสองรูปถูกลักพาตัวและคุมขังในปี 1976 สร้างข้อกังขาตามมาในเวลาต่อมา นักวิจารณ์บางส่วนตำหนิเบร์โกกลิโอว่าไม่สามารถปกป้องพระสงฆ์ทั้งสองรูปนั้นได้เพียงพอ และบางรายถึงกับกล่าวหาว่าเขาสมรู้ร่วมคิดกับรัฐบาลเผด็จการด้วยซ้ำ ข้อกล่าวหาเหล่านี้ทำให้เกิดการสอบสวนทางกฎหมายหลังยุคเผด็จการ แต่ในท้ายที่สุดศาลได้ยกฟ้องคำร้องที่กล่าวหาว่าเขาพัวพันกับการหายตัวไปของพระสงฆ์ เนื่องจากไม่มีหลักฐานเพียงพอ

เหตุการณ์ครั้งนั้นแม้เป็นเงาสะท้อนด้านมืดในชีวิตของเบร์โกกลิโอ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากและความกล้าหาญที่ต้องใช้ในการยืนหยัดในคุณธรรมท่ามกลางภัยทางการเมือง

หลังพ้นจากตำแหน่งอธิการคณะเยสุอิต เบร์โกกลิโอยังคงเดินหน้ารับใช้ศาสนาอย่างต่อเนื่อง ในช่วงทศวรรษ 1980 เขาทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนในเซมินารี (โรงเรียนสอนนักบวช) และดำรงตำแหน่งอธิการของเซมินารี รวมถึงได้ไปศึกษาต่อด้านเทววิทยาเพิ่มเติมที่ประเทศเยอรมนี เพื่อเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจด้านศาสนาและปรัชญาของตนให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น​

การศึกษาและประสบการณ์หลากหลายในช่วงนี้ช่วยหล่อหลอมให้เบร์โกกลิโอเป็นนักบวชที่รอบรู้ทั้งศาสตร์โลกและศาสตร์ธรรม อันจะเป็นพื้นฐานสำคัญของบทบาทที่ใหญ่ยิ่งขึ้นในเวลาต่อมา

ความก้าวหน้าในศาสนจักร

คาร์ดินัลฮอร์เฮ มาริโอ เบร์โกกลิโอ (ขวา) โดยสารรถรางสาธารณะในกรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา เมื่อเดือนพฤษภาคม 2008 สะท้อนภาพลักษณ์วิถีชีวิตที่สมถะเรียบง่ายของท่านในช่วงดำรงตำแหน่งพระคาร์ดินัล

คาร์ดินัลฮอร์เฮ มาริโอ เบร์โกกลิโอ (ขวา)
คาร์ดินัลฮอร์เฮ มาริโอ เบร์โกกลิโอ (ขวา)

เบร์โกกลิโอได้รับการแต่งตั้งเป็นมุขนายกผู้ช่วย (Auxiliary Bishop) แห่งอัครมุขมณฑลบัวโนสไอเรสในปี ค.ศ. 1992 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของบทบาทในฐานะสังฆราชระดับสูงของอาร์เจนติน

ต่อมาในปี 1998 เขาได้เลื่อนขึ้นดำรงตำแหน่งอาร์ชบิชอป (อัครมุขนายก) แห่งบัวโนสไอเรส ดูแลคริสตจักรคาทอลิกในเมืองหลวงของประเทศบ้านเกิดอย่างเต็มภาคภูมิ และในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2001 สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 ได้ทรงสถาปนาเบร์โกกลิโอขึ้นเป็นพระคาร์ดินัลอย่างเป็นทางการ ส่งผลให้เขากลายเป็นหนึ่งในสมาชิกระดับสูงของคริสตจักรโรมันคาทอลิกที่มีสิทธิ์เลือกพระสันตะปาปา

ตลอดช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งอาร์ชบิชอปและพระคาร์ดินัลแห่งบัวโนสไอเรส เบร์โกกลิโอมีชื่อเสียงโดดเด่นด้านความสมถะเรียบง่ายและการใกล้ชิดกับประชาชนสามัญชน เขาปฏิเสธความหรูหราโดยเลือกที่จะอยู่อาศัยในอพาร์ตเมนต์เล็กๆ ในตัวเมืองแทนที่จะอยู่ในวังของอาร์ชบิชอป และเดินทางไปทำพิธีหรือพบปะสัตบุรุษด้วยรถประจำทางหรือเดินเท้าแทนการใช้รถประจำตำแหน่งที่มีคนขับ

วิถีปฏิบัติเช่นนี้ทำให้ประชาชนมองเห็นภาพของผู้นำศาสนาที่อ่อนน้อมถ่อมตนและเข้าถึงได้ง่าย นอกจากนี้เบร์โกกลิโอยังเป็นที่รู้จักในฐานะนักสังคมสงเคราะห์ผู้เอาใจใส่ต่อความทุกข์ยากของผู้ยากไร้และคนชายขอบ เขามักลงพื้นที่ชุมชนแออัด พบปะพูดคุยกับคนยากจน และวิพากษ์วิจารณ์ความไม่เป็นธรรมในสังคมอย่างเปิดเผย ส่งผลให้ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บาทหลวงของคนจน” ที่ใช้ศาสนาเพื่อส่งเสริมความยุติธรรมทางสังคม​

แม้ท่านจะมีภาพลักษณ์หัวก้าวหน้าในด้านสังคมสงเคราะห์ แต่ทางด้านหลักคำสอนศาสนา เบร์โกกลิโอยังคงยึดมั่นจุดยืนคาทอลิกแบบดั้งเดิมอย่างเหนียวแน่นในหลายประเด็น ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2010 เขาได้แสดงท่าทีคัดค้านการผ่านกฎหมายการสมรสของคู่รักเพศเดียวกันในอาร์เจนตินาอย่างชัดเจน

โดยให้เหตุผลสนับสนุนคำสอนของคริสตจักรที่ว่า “การสมรสควรเกิดขึ้นระหว่างชายและหญิง” ท่าทีนี้ทำให้เขาขัดแย้งกับรัฐบาลสายกลางซ้ายของประธานาธิบดีเนสตอร์ เคิร์ชเนอร์ และคริสตินา เฟร์นานเดซ เด เคิร์ชเนอร์ ซึ่งสนับสนุนสิทธิเพศทางเลือก โดยคริสตินา เคิร์ชเนอร์ถึงกับเคยกล่าวพาดพิงเบร์โกกลิโอว่าเป็น “พวกอนุรักษนิยมขวาจัด” และพยายามโยงเขาเข้ากับมรดกตกทอดของเผด็จการวิดิลา (ผู้นำเผด็จการในยุค Dirty War)

อย่างไรก็ตาม เบร์โกกลิโอยังคงปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยยึดหลักความเชื่อทางศาสนา โดยพยายามประนีประนอมความขัดแย้งกับรัฐผ่านการพบปะหารือกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลในประเด็นสังคมต่างๆ ด้วยความสุขุมรอบคอบ ส่งผลให้เขาสามารถรักษาความน่าเชื่อถือทั้งในหมู่ผู้นำศาสนาแบบดั้งเดิมและในสายตาประชาชนทั่วไปได้

นอกเหนือจากงานในท้องที่แล้ว เบร์โกกลิโอยังมีบทบาทในระดับชาติในฐานะผู้นำศาสนจักรอาร์เจนตินา เขาได้รับเลือกเป็นประธานสภาบิชอปแห่งอาร์เจนตินา (Argentine Episcopal Conference) ระหว่างปี 2005–2011 ทำหน้าที่ประสานงานและนำทิศทางของคริสตจักรคาทอลิกทั่วประเทศ ความโดดเด่นในบทบาทนี้ทำให้ชื่อของเบร์โกกลิโอมักปรากฏในเวทีศาสนจักรโลก จนได้รับการจับตามองว่าอาจเป็นหนึ่งในพระคาร์ดินัลที่มีสิทธิ์ได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปา (เรียกว่า papabile) ในอนาคตด้วย

การได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปา

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013 สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ทรงประกาศสละตำแหน่งอย่างน่าตกใจ โดยให้เหตุผลเรื่องสุขภาพและวัยชรา เป็นเหตุให้มีการเรียกประชุมการเลือกตั้งพระสันตะปาปา (คองเคลฟ) ในเดือนมีนาคมปีเดียวกัน เพื่อหาพระสันตะปาปาองค์ใหม่มาทำหน้าที่โดยเร็ว เนื่องจากขณะนั้นใกล้เทศกาลอีสเตอร์อันสำคัญของคริสตชนเข้ามาทุกขณะ​

ท่ามกลางพระคาร์ดินัลผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงกว่า 100 รูปจากทั่วโลก ชื่อของพระคาร์ดินัลฮอร์เฮ มาริโอ เบร์โกกลิโอจากอาร์เจนตินาได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขัน ในที่สุดที่ประชุมคองเคลฟได้ลงมติเลือกเบร์โกกลิโอขึ้นดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปาองค์ใหม่ในการลงคะแนนรอบที่ห้า เมื่อวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 2013

เมื่อได้รับเลือก เบร์โกกลิโอได้ทรงเลือกพระนามว่า “ฟรานซิส” ตามชื่อของนักบุญฟรานซิสแห่งอัสซีซี (St. Francis of Assisi) นักบุญชาวอิตาลีในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ผู้มีชีวิตอย่างยากจนและอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือคนยากไร้

การเลือกพระนามนี้สะท้อนถึงเจตจำนงของพระองค์ที่จะให้ความสำคัญกับความเรียบง่าย เมตตา และความรักต่อเพื่อนมนุษย์ เช่นเดียวกับนักบุญฟรานซิสผู้เป็นต้นแบบ นอกจากนี้ชื่อ “ฟรานซิส” ยังอาจสื่อถึงนักบุญฟรันซิสซาเวียร์ (St. Francis Xavier) ผู้ร่วมก่อตั้งคณะเยสุอิต ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงถึงรากเหง้าทางคณะนักบวชของพระองค์เองอีกด้วย

นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีพระสันตะปาปาทรงใช้พระนามนี้ และโป๊ปฟรานซิสเองก็ปฏิเสธที่จะใส่หมายเลข “ที่ 1” ต่อท้ายพระนามของพระองค์ (คือไม่เรียกตนเองว่า “ฟรานซิสที่ 1”) โดยให้เหตุผลว่าโดยธรรมเนียมแล้วจะไม่มีการใช้หมายเลขลำดับที่ 1 จนกว่าจะมีพระสันตะปาปาพระองค์ถัดไปที่ใช้พระนามซ้ำกัน

การขึ้นสู่ตำแหน่งของโป๊ปฟรานซิสถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของคริสตจักรคาทอลิก ด้วยความที่พระองค์เป็นพระสันตะปาปาพระองค์แรกจากซีกโลกตะวันตกและซีกโลกใต้ ตลอดจนเป็นชาวละตินอเมริกาคนแรกที่ได้รับบทบาทนี้ วงการสื่อและประชาคมโลกต่างมองว่าพระองค์ได้นำพาความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมุมมองใหม่ๆ เข้ามาสู่ศาสนจักรที่เคยนำโดยชาวยุโรปมาอย่างยาวนาน

ขณะเดียวกัน ภาพลักษณ์อันอ่อนน้อมถ่อมตนและเป็นกันเองของโป๊ปฟรานซิสก็เผยให้เห็นตั้งแต่ก้าวแรกที่พระองค์ปรากฏตัวต่อสาธารณชนบนระเบียงมหาวิหารนักบุญเปโตรในคืนวันเลือกตั้ง พระองค์ไม่ได้สวมใส่เสื้อคลุมพระสันตะปาปาสีแดงดั้งเดิม หากแต่ปรากฏกายในชุดสมณะสีขาวเรียบง่าย พร้อมกับกล่าวทักทายฝูงชนด้วยถ้อยคำสั้นๆ อย่างเป็นกันเองว่า “พี่น้องที่รัก สวัสดีตอนเย็น” ท่ามกลางเสียงโห่ร้องต้อนรับของผู้คนนับแสนในจัตุรัสนักบุญเปโตร เหตุการณ์นี้ถือเป็นสัญญาณแรกที่บ่งบอกว่าสมณสมัยของพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่อาจจะเต็มไปด้วยความเรียบง่ายและเข้าถึงประชาชนมากกว่าที่เคยเป็นมา ซึ่งก็เป็นจริงดังนั้นเมื่อกาลเวลาผ่านไป

สมเด็จพระสันตปาปาฟรานซิสทรงหมุนลูกฟุตบอลที่สมาชิกคณะละครสัตว์แห่งคิวบามอบให้ ในระหว่างการให้พรประจำสัปดาห์ที่ห้องโถงสมเด็จพระสันตปาปาปอลที่ 6 ณ นครวาติกัน เมื่อวันพุธที่ 2 มกราคม 2562 (ภาพเอพี/แอนดรูว์ เมดิชินี, แฟ้มภาพ)
สมเด็จพระสันตปาปาฟรานซิสทรงหมุนลูกฟุตบอลที่สมาชิกคณะละครสัตว์แห่งคิวบามอบให้ ในระหว่างการให้พรประจำสัปดาห์ที่ห้องโถงสมเด็จพระสันตปาปาปอลที่ 6 ณ นครวาติกัน เมื่อวันพุธที่ 2 มกราคม 2562 (ภาพเอพี/แอนดรูว์ เมดิชินี, แฟ้มภาพ)

เหตุการณ์สำคัญ บทบาทระดับนานาชาติ

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเริ่มต้นสมณสมัยในช่วงที่คริสตจักรโรมันคาทอลิกกำลังเผชิญกับปัญหาหลายด้าน แม้จำนวนศาสนิกชนทั่วโลกยังมีอยู่มาก แต่คริสตจักรในยุโรปและอเมริกาได้รับผลกระทบจากคดีล่วงละเมิดทางเพศที่สะสมมายาวนาน โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพระสงฆ์ ส่งผลให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยสูญเสียความเชื่อมั่น

พระองค์จึงวางแนวทางให้คริสตจักรกลับไปให้ความสำคัญกับจิตวิญญาณและพันธกิจดั้งเดิม เน้นการดูแลผู้ยากไร้และผู้ที่เดือดร้อน ทรงกล่าวในหลายโอกาสว่าคริสตจักรไม่ควรให้ความสำคัญกับโครงสร้างและวัตถุมากเกินไป เพราะอาจทำให้หลงลืมหน้าที่หลักในการรับใช้ประชาชนและพระเจ้า

ภายหลังเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นาน พระองค์ทรงเชิญผู้นำทางการเมืองที่เคยเห็นต่าง อย่างประธานาธิบดีคริสตินา เคิร์ชเนอร์ แห่งอาร์เจนตินา เข้าร่วมกิจกรรมในวาระสำคัญ แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างความร่วมมือกับทุกฝ่าย

ในปี 2013 ทรงริเริ่มตั้งสภาที่ปรึกษาพระคาร์ดินัล ประกอบด้วยพระคาร์ดินัลจากภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อให้คำปรึกษาและช่วยพัฒนาแนวทางการบริหารคริสตจักร การจัดตั้งสภานี้เปิดโอกาสให้เสียงจากคริสตจักรในท้องถิ่นมีส่วนร่วมมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำอย่างเป็นระบบมาก่อน

พระองค์ยังเรียกร้องให้พระสงฆ์ทั่วโลกใกล้ชิดกับประชาชนมากขึ้น ลดระยะห่างระหว่างนักบวชกับฆราวาส ทรงแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในพิธีล้างเท้าประจำวันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์ โดยเลือกล้างเท้าให้กับกลุ่มที่มักถูกมองข้าม เช่น นักโทษ ผู้สูงอายุ หรือสตรี แทนที่จะจำกัดเฉพาะชายตามประเพณีเดิม

ในเวทีระหว่างประเทศ โป๊ปฟรานซิสทรงใช้สถานะผู้นำทางจิตวิญญาณขับเคลื่อนบทบาททางการทูตและสังคมอย่างแข็งขัน พระองค์ทรงเป็นผู้ไกล่เกลี่ยคนสำคัญในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและคิวบาในปี 2014 ช่วยละลายน้ำแข็งแห่งยุคสงครามเย็น ผ่านจดหมายส่วนพระองค์และการเปิดพื้นที่วาติกันสำหรับการเจรจาลับ นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงพยายามสานสัมพันธ์กับรัฐบาลจีน บรรลุข้อตกลงชั่วคราวว่าด้วยการแต่งตั้งพระสังฆราชในปี 2018 แม้จะมีเสียงวิจารณ์ แต่ถือเป็นก้าวย่างสำคัญในความพยายามปกป้องเสรีภาพทางศาสนาของคาทอลิกในจีน

บทบาทนานาชาติของพระองค์ยังปรากฏผ่านการเสด็จเยือนต่างประเทศอย่างไม่หยุดหย่อน รวมแล้วกว่า 50 ประเทศ ครอบคลุมทุกทวีป หลายครั้งเป็นการเดินทางสู่พื้นที่ความขัดแย้งหรือภูมิภาคที่พระสันตะปาปาไม่เคยเสด็จเยือนมาก่อน การเสด็จเยือนประเทศไทยในปี 2019 ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและทรงเน้นย้ำการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างศาสนา ปี 2015 ทรงสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกที่กล่าวสุนทรพจน์ต่อรัฐสภาสหรัฐอเมริกา เรียกร้องความร่วมมือในประเด็นระดับโลก ทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การช่วยเหลือผู้อพยพ และการยุติโทษประหารชีวิต

สมณสมัยของโป๊ปฟรานซิสยังหมายถึงการเผชิญหน้าโดยตรงกับวิกฤตภายในศาสนจักร โดยเฉพาะกรณีอื้อฉาวเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ พระองค์ทรงแสดงความกล้าหาญในการยอมรับความผิดพลาดในอดีต กล่าวขออภัยต่อเหยื่ออย่างเป็นทางการหลายครั้ง ทรงจัดประชุมสุดยอดผู้นำบาทหลวงโลกในปี 2019 เพื่อหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหา พร้อมทั้งออกกฎเกณฑ์ใหม่เพื่อการรายงานกรณีต่าง ๆ อย่างโปร่งใส ความพยายามเหล่านี้สะท้อนความมุ่งมั่นในการเยียวยาบาดแผลและฟื้นฟูความไว้วางใจที่มีต่อศาสนจักร

แนวคิดทางศาสนาและสังคม

โป๊ปฟรานซิสมีปรัชญาและแนวคิดในการนำคริสตจักรที่ผสมผสานระหว่างการยึดมั่นหลักความเชื่อดั้งเดิมกับการเปิดใจกว้างและเห็นอกเห็นใจต่อผู้คนยุคใหม่

คำสอนที่พระองค์เน้นย้ำบ่อยครั้งคือเรื่อง “ความเมตตากรุณา” โดยพระองค์ชี้ให้เห็นว่าพระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและคริสตชนควรเอื้ออาทรยกโทษให้แก่กัน เช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงยกโทษบาปให้มนุษย์อยู่เสมอ พระองค์ปรารถนาให้คริสตจักรเป็นเสมือน “โรงพยาบาลสนาม” ที่คอยรักษาเยียวยาความทุกข์ร้อนของผู้คน มากกว่าจะเป็นสถาบันที่มัวแต่พิพากษาตัดสินความผิดของผู้อื่น

ความคิดนี้สะท้อนให้เห็นผ่านท่าทีที่โป๊ปฟรานซิสแสดงต่อกลุ่มคนหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคนยากไร้ ผู้ต้องขัง ผู้อพยพ หรือนักโทษ ในวันสำคัญทางศาสนาเราจึงเห็นพระองค์ล้างเท้าและจูบเท้าผู้ต้องขังหรือผู้ป่วย เพื่อสื่อสารว่าทุกคนล้วนมีคุณค่าและสมควรได้รับความรักใคร่เมตตาอย่างเสมอภาค

ในด้านวิถีการดำรงตำแหน่ง พระสันตะปาปาฟรานซิสมีแนวทางที่ไม่ถือตัวและลดแบบแผนพิธีรีตองลงจากอดีต พระองค์เลือกที่จะไม่พำนักใน พระราชวังอัครสังฆราช (Apostolic Palace) อันโอ่อ่าหรูหรา ซึ่งเป็นที่ประทับของพระสันตะปาปาสืบมาหลายยุคหลายสมัย

แต่กลับเลือกพักอาศัยในเรือนรับรองแขกนักบุญมาร์ธา (Domus Sanctae Marthae) ภายในนครรัฐวาติกันแทน เพื่อจะได้ใช้ชีวิตเรียบง่ายและใกล้ชิดกับผู้อื่นมากขึ้น​

พระองค์ยังลดการใช้ยานพาหนะส่วนพระองค์และสิ่งอำนวยความสะดวกฟุ่มเฟือย เช่น ทรงเลือกรถยนต์คันเล็กธรรมดาในการเดินทาง หรือแม้แต่เคยโดยสารรถเมล์ร่วมกับพระคาร์ดินัลองค์อื่นๆ ในที่ประชุมสงฆ์โดยไม่ถือพระองค์ วิถีปฏิบัติเช่นนี้สอดคล้องกับคติพจน์ประจำพระองค์ที่ว่า “อยู่อย่างสมถะ เรียบง่าย และรับใช้ผู้อื่น” ทำให้ได้รับคำชมเชยจากสาธารณชนอย่างกว้างขวางว่าเป็นผู้นำศาสนาที่ติดดินอย่างแท้จริง

แม้โป๊ปฟรานซิสจะรักษาจุดยืนตามหลักคำสอนคาทอลิกในหลายประเด็น แต่พระองค์ก็สื่อสารหลักธรรมเหล่านั้นด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่อ่อนโยนและปรานี ซึ่งบางครั้งถูกมองว่า “เสรีนิยม” กว่าพระสันตะปาปาพระองค์ก่อนๆ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือท่าทีต่อบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ

ในปีแรกของการดำรงตำแหน่ง เมื่อทรงถูกผู้สื่อข่าวถามเกี่ยวกับมุมมองต่อบาทหลวงที่เป็นเกย์ พระองค์ได้ตอบกลับด้วยประโยคที่กลายเป็นคำกล่าวระดับตำนานว่า “ถ้าคนๆ หนึ่งเป็นเกย์และแสวงหาพระเจ้าและมีความตั้งใจดี เราจะเป็นใครเล่าที่จะไปตัดสินเขา”​

คำพูด “เราเป็นใครเล่าที่จะตัดสิน” นี้สะท้อนถึงท่าทีไม่ติเตียนตัดสินและพร้อมยอมรับตัวบุคคล แม้คำสอนทางศาสนายังคงยืนยันว่าการรักร่วมเพศเป็นบาปอยู่ก็ตาม ท่าทีดังกล่าวสร้างความยินดีให้กับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศและผู้สนับสนุนสิทธิของพวกเขา ที่มองว่าอย่างน้อยคริสตจักรก็เปิดประตูแห่งความเมตตาและการพูดคุย มากกว่าจะปฏิเสธหรือประณามอย่างเดียว

อย่างไรก็ตาม โป๊ปฟรานซิสก็ไม่ได้ละทิ้งหลักการเดิมของคริสตจักรไปเสียทั้งหมด ในปี 2020 มีสารคดีที่เผยว่าพระองค์สนับสนุนการมีกฎหมายรับรอง “การอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยา” ของคู่รักเพศเดียวกันในทางแพ่ง (civil unions) เพื่อคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของพวกเขา

ซึ่งถือเป็นก้าวที่ก้าวหน้ามากสำหรับผู้นำคาทอลิก แต่พระองค์ยังคงยืนยันเช่นกันว่าพิธีสมรสศักดิ์สิทธิ์ตามหลักศาสนาคริสต์นั้นยังคงสงวนไว้ระหว่างชายและหญิงเท่านั้น และไม่อนุญาตให้ประกอบพิธีหรือให้ศีลสมรสแก่คู่รักเพศเดียวกันในโบสถ์​

นอกจากนี้ ในปี 2023 วาติกันภายใต้การนำของพระองค์ได้ชี้แจงว่าแม้พิธีเสกพรเป็นทางการให้กับคู่รักเพศเดียวกันจะยังไม่ได้รับอนุญาตตามหลักศาสนา แต่ก็ไม่ปิดกั้นการให้พระสงฆ์อวยพรหรือภาวนาให้ปัจเจกบุคคลที่เป็น LGBTQ ในบริบทนอกพิธีกรรมทางศาสนา นโยบายนี้สะท้อนหลักการของโป๊ปฟรานซิสที่เน้นการโอบอ้อมอารีต่อทุกคน แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ล้มล้างหลักคำสอนดั้งเดิมโดยสิ้นเชิง

ในด้านบทบาทของสตรีในคริสตจักร โป๊ปฟรานซิสได้สร้างความเปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อยเพื่อยกระดับบทบาทของผู้หญิง พระองค์ได้แต่งตั้งสตรีให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในวาติกันหลายตำแหน่ง ซึ่งอดีตเคยสงวนไว้เฉพาะบุรุษ เช่น การแต่งตั้งสตรีเป็นปลัดหรือเลขาธิการในสภาวาติกัน (เทียบเท่ารัฐมนตรีช่วย) และสมาชิกเต็มขั้นในสภาสมณกระทรวงต่างๆ ของโรมันคูเรีย​

นอกจากนี้ พระองค์ยังแก้กฎหมายพระศาสนจักรเปิดทางให้สตรีสามารถรับบทบาทบางอย่างในพิธีกรรมได้ เช่น เป็นผู้อ่านพระคัมภีร์ (lector) หรือผู้ช่วยในพิธีมิสซา (acolyte) อย่างเป็นทางการ ซึ่งแต่เดิมเป็นหน้าที่สงวนสำหรับผู้ชายที่เตรียมบวช พระองค์ทรงชี้ว่าการเปิดโอกาสให้สตรีมีส่วนร่วมมากขึ้นจะช่วยให้คริสตจักรสะท้อนภาพลักษณ์ “ประชากรของพระเจ้า” ได้ครบถ้วนยิ่งขึ้น และเป็นการใช้พรสวรรค์ของมนุษย์ทุกคนอย่างเต็มที่ไม่แบ่งแยกเพศ

อีกด้านหนึ่งที่โป๊ปฟรานซิสให้ความสำคัญคือการสนทนาระหว่างศาสนา (interreligious dialogue) พระองค์เชื่อว่าความขัดแย้งและความรุนแรงจำนวนมากในโลกมักมีชนวนมาจากการขาดความเข้าใจระหว่างผู้คนต่างศรัทธา พระองค์จึงมุ่งมั่นที่จะสร้างสะพานเชื่อมระหว่างศาสนาต่างๆ เพื่อความสมานฉันท์

ตัวอย่างเช่น พระองค์ได้พบปะกับผู้นำศาสนาอิสลามสำคัญๆ อย่างแกรนด์อิหม่ามแห่งอัลอัซฮัร และร่วมลงนามในเอกสารว่าด้วยภราดรภาพมนุษย์ที่กรุงอาบูดาบีในปี 2019 ซึ่งประกาศหลักการของสันติภาพและการอยู่ร่วมกันโดยสันติระหว่างศาสนา

นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีเอกสารร่วมระหว่างวาติกันกับสถาบันอิสลามชั้นนำในลักษณะนี้ นอกจากนี้ พระองค์ยังเป็นพระสันตะปาปาพระองค์แรกที่พบกับพระสังฆราชแห่งมอสโก (พระประมุขคริสตจักรออร์โธดอกซ์รัสเซีย) ในปี 2016 หลังจากที่ผู้นำสองฝ่ายไม่ได้พบกันมานานกว่าพันปี

การพบปะดังกล่าวช่วยลดความตึงเครียดระหว่างสองคริสตจักรเก่าแก่และเปิดโอกาสใหม่ในการร่วมมือกันช่วยเหลือผู้ยากไร้และส่งเสริมสันติภาพในโลก

โป๊ปฟรานซิส พระราชกรณียกิจ
ภาพจาก britannica.com

ท่าทีต่อปัญหาของโลก

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเป็นกระบอกเสียงสำคัญในเวทีโลกต่อประเด็นปัญหาสากลหลายด้าน พระองค์ไม่เพียงทำหน้าที่ผู้นำทางจิตวิญญาณของศาสนิกชนคาทอลิก แต่ยังเปรียบเสมือน “มโนธรรมแห่งโลก” ที่เรียกร้องให้มนุษยชาติใส่ใจในคุณค่าความดีและความยุติธรรม ดังจะเห็นได้จากการที่พระองค์ออกแถลงการณ์และดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อกระตุ้นเตือนประชาคมโลกในเรื่องต่อไปนี้

1. การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โป๊ปฟรานซิสทรงให้ความสำคัญกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างยิ่ง และถือเป็นพระสันตะปาปาพระองค์แรกที่ออกสมณสาสน์พิเศษว่าด้วยสิ่งแวดล้อมโดยตรง ในปี 2015 พระองค์ได้เผยแพร่สมณสาสน์ Laudato si’ (“สรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า”) ซึ่งเน้นย้ำว่าการปกปักรักษาโลกธรรมชาติคือความรับผิดชอบทางศีลธรรมของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็ตาม​

พระองค์ทรงเตือนถึงอันตรายของภาวะโลกร้อน การทำลายป่าไม้ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และการบริโภคอย่างฟุ่มเฟือยเกินพอดี สมณสาสน์ฉบับนี้ถือเป็นการจุดประกายจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมในหมู่คริสตชนทั่วโลก และได้รับการยกย่องจากนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมว่าเป็นหมุดหมายสำคัญที่ผู้นำศาสนาใหญ่หันมาร่วมต่อสู้กับวิกฤตโลกร้อนอย่างจริงจัง

นอกจากนี้ โป๊ปฟรานซิสยังใช้เวทีระหว่างประเทศ เช่น การกล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมสหประชาชาติในปี 2015 เพื่อกระตุ้นให้บรรดาผู้นำโลกลงมือแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังและเร่งด่วน โดยย้ำว่าการปกป้องโลกใบนี้คือการปกป้อง “บ้านส่วนรวมของมนุษยชาติ” และเป็นการรับผิดชอบต่อคนยากจนและคนรุ่นหลังที่จะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดจากวิกฤตนี้

2. ความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางสังคม

ด้วยพื้นเพที่เติบโตมาในประเทศกำลังพัฒนา โป๊ปฟรานซิสเข้าใจถึงปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำในสังคมอย่างลึกซึ้ง พระองค์มักวิพากษ์วิจารณ์ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่ไร้การควบคุม (unbridled capitalism) ว่าก่อให้เกิดการบูชาเงินตรา (“การเทิดทูนเงินทองเป็นรูปเคารพ”) และนำไปสู่การละเลยคนยากจนข้นแค้นในสังคม​

พระองค์กล่าวว่าระบบเศรษฐกิจที่เน้นกำไรสูงสุดโดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นั้นเป็นระบบที่บกพร่อง คำสอนที่พระองค์เน้นย้ำคือเศรษฐกิจควรจะรับใช้มนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์เป็นทาสของเศรษฐกิจ พระองค์ชี้ให้เห็นว่าความเหลื่อมล้ำที่ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนถ่างกว้างขึ้นทุกวันคือระเบิดเวลาที่บ่อนทำลายสังคมโลก และเรียกร้องให้นานาชาติร่วมกันแก้ไขด้วยการสร้างระบบเศรษฐกิจที่ยุติธรรมและมีเมตตาธรรมมากขึ้น โป๊ปฟรานซิสยังสนับสนุนแนวคิดเรื่อง “เศรษฐกิจแห่งการแบ่งปัน”

โดยสนับสนุนโครงการการกุศล การบริจาคเพื่อสังคม และการลดหนี้ให้ประเทศยากจน นอกจากนี้ พระองค์ได้แสดงสัญลักษณ์เชิงปฏิบัติหลายครั้ง เช่น การเปิดวาติกันให้คนไร้บ้านเข้ามานอนได้ การจัดตั้งห้องอาบน้ำและคลินิกสำหรับคนจรจัดในนครรัฐวาติกัน และการบริจาครายได้ส่วนพระองค์ให้แก่การกุศล สิ่งเหล่านี้ตอกย้ำข้อความที่พระองค์เคยกล่าวว่า “ข้าพเจ้าปรารถนาให้คริสตจักรที่ยากจน และเพื่อคนยากจน” (“a poor Church for the poor”) นั่นเอง

3. ผู้อพยพและผู้ลี้ภัย

ในยุคที่ปัญหาผู้อพยพย้ายถิ่นและผู้ลี้ภัยกลายเป็นวิกฤตระดับนานาชาติ โป๊ปฟรานซิสเป็นกระบอกเสียงสำคัญที่เรียกร้องให้โลกปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยด้วยมนุษยธรรม พระองค์กล่าวว่าการช่วยเหลือผู้อพยพและผู้ลี้ภัยคือ “หน้าที่พื้นฐานของความเป็นอารยธรรม” และวิพากษ์วิจารณ์กระแสการเมืองที่สร้างความเกลียดชังหรือหวาดกลัวต่อคนต่างชาติว่าเป็นสิ่งที่ขัดกับคุณค่าคริสเตียนและคุณธรรมพื้นฐาน

ตัวอย่างเชิงสัญลักษณ์ที่โดดเด่นคือในเดือนกรกฎาคม 2013 เพียงไม่กี่เดือนหลังขึ้นดำรงตำแหน่ง โป๊ปฟรานซิสได้เดินทางไปยังเกาะลัมเปดูซา (Lampedusa) ทางตอนใต้ของอิตาลี ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางหลักของผู้อพยพล่องเรือจากแอฟริกาและตะวันออกกลางเพื่อหวังเข้าสู่อิตาลี พระองค์ทรงประกอบพิธีมิสซาเล็กๆ อย่างเรียบง่ายกลางแจ้งและขว้างช่อดอกไม้ลงทะเลเพื่อไว้อาลัยแก่ผู้อพยพที่เสียชีวิตระหว่างทาง พร้อมทั้งตรัสประณาม “โลกแห่งความเฉยเมย” ที่ปล่อยให้โศกนาฏกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำๆ โดยเรียกร้องให้ทุกคนยุติความเพิกเฉยต่อความทุกข์ยากของผู้อพยพ

ภายหลังจากนั้นพระองค์ยังได้เยี่ยมค่ายผู้ลี้ภัยในหลายประเทศ รวมถึงจูงมือเด็กผู้ลี้ภัยขึ้นเครื่องบินพระที่นั่งเพื่อนำมามอบชีวิตใหม่ในอิตาลี การกระทำเหล่านี้ส่งสารชัดเจนถึงผู้นำยุโรปและทั่วโลกว่า ควรให้ความช่วยเหลือและต้อนรับผู้ลี้ภัยที่หนีสงครามและความยากจนอย่างมีมนุษยธรรม ไม่ใช่ผลักไสหรือสร้างกำแพงกั้นแบ่งผู้คน

โป๊ปฟรานซิส (กลาง) พบปะกลุ่มผู้อพยพในเกาะลัมเปดูซา ประเทศอิตาลี เดือนกรกฎาคม 2013
โป๊ปฟรานซิส (กลาง) พบปะกลุ่มผู้อพยพในเกาะลัมเปดูซา ประเทศอิตาลี เดือนกรกฎาคม 2013

โป๊ปฟรานซิส (กลาง) พบปะกลุ่มผู้อพยพในเกาะลัมเปดูซา ประเทศอิตาลี เดือนกรกฎาคม 2013 ซึ่งพระองค์ทรงเรียกร้องให้โลก “อย่าเพิกเฉย” ต่อชะตากรรมของผู้ลี้ภัยและผู้อพยพ​

โป๊ปฟรานซิสยังใช้สถานะของตนผลักดันในเชิงนโยบายระดับโลก พระองค์เรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ยกเลิกนโยบายที่ขัดขวางหรือลงโทษผู้อพยพอย่างไม่เป็นธรรม และส่งเสริมการออกกฎหมายที่ปกป้องสิทธิและศักดิ์ศรีของผู้ลี้ภัย ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงแสดงความเห็นใจต่อครอบครัวผู้อพยพที่ต้องพลัดพราก พร้อมทั้งย้ำว่าประเทศที่มั่งคั่งควรแบ่งปันภาระในการช่วยเหลือ ตั้งแต่การจัดหาที่พักพิง ไปจนถึงการส่งเสริมให้ผู้อพยพสามารถปรับตัวและพึ่งพาตนเองได้ในสังคมใหม่

4. การเมืองโลกและสันติภาพ

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงติดตามเหตุการณ์ความขัดแย้งและวิกฤตการเมืองทั่วโลกอย่างใกล้ชิด และมักส่งสารเรียกร้องสันติภาพอยู่เสมอ พระองค์เคยวิจารณ์การเพิ่มขึ้นของลัทธิประชานิยมขวาจัด (right-wing populism) และชาตินิยมสุดโต่งในหลายประเทศว่าเป็นภัยคุกคามต่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของมนุษยชาติ พระองค์เปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันกับทศวรรษที่ 1930 ซึ่งความคิดชาตินิยมสุดขั้วนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่สอง และเตือนให้ผู้คนระมัดระวังไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

นอกจากนี้ พระองค์ยังแสดงจุดยืนสนับสนุนการปลดอาวุธและการแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยการเจรจาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นกรณีสงครามกลางเมืองซีเรีย ความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลี หรือวิกฤตการณ์ในยูเครน พระองค์จะกล่าวประณามความรุนแรงและเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหันหน้าเจรจาหาทางออกอย่างสันติอยู่เนืองๆ พระองค์ยังได้จัดพิธีสวดภาวนาเพื่อสันติภาพโลกหลายครั้ง เช่น ในปี 2013 ได้จัดพิธีภาวนาครั้งใหญ่ที่จัตุรัสนักบุญเปโตรเพื่อสันติภาพในซีเรีย โดยเชิญชวนคริสตชนและผู้หวังดีทั่วโลกร่วมภาวนาให้ยุติสงคราม นับเป็นบทบาทเชิงสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าศาสนจักรสามารถใช้พลังแห่งความศรัทธาเพื่อส่งเสริมสันติภาพได้

5. สิทธิมนุษยชนและหลักการยุติธรรม

โป๊ปฟรานซิสมีจุดยืนที่ชัดเจนในประเด็นสิทธิมนุษยชนหลายด้าน พระองค์เรียกร้องให้ยุติโทษประหารชีวิตทั่วโลก โดยกล่าวว่าการประหารชีวิตเป็นสิ่งที่ “ยอมรับไม่ได้โดยเนื้อแท้” ไม่ว่าสถานการณ์ใด ๆ​

ในปี 2018 พระองค์ได้แก้ไขคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก (Catechism) ให้ระบุว่าโทษประหารชีวิตเป็นสิ่งที่ผิดศีลธรรมและคริสตจักรจะพยายามผลักดันให้มีการเลิกใช้ทั่วโลก นอกจากนี้ พระองค์ยังวิจารณ์การทำแท้งอย่างหนักแน่นโดยเปรียบเทียบว่าการทำแท้งคือการ “จ้างมือปืนมาฆ่าชีวิต” ซึ่งสะท้อนจุดยืนคาทอลิกดั้งเดิมในการปกป้องชีวิตตั้งแต่ปฏิสนธิ แม้ว่าท่าทีนี้จะถูกวิจารณ์จากกลุ่มสิทธิสตรี แต่โป๊ปฟรานซิสก็พยายามอธิบายด้วยภาษาที่เห็นใจว่าเราควรช่วยเหลือสตรีที่ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากให้หาทางออกอื่นแทนการทำแท้ง และมอบความรักเมตตาแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสได้ใช้เวทีของศาสนจักรเรียกร้องความสนใจไปยังประเด็นความทุกข์ยากของมนุษยชาติ พระองค์ทรงเน้นย้ำคุณค่าพื้นฐานอย่างความเมตตา ความยุติธรรม และสันติภาพ ทั้งในระดับบุคคล สังคม และระดับโลก คำสอนและการกระทำของพระองค์ไม่เพียงส่งผลต่อชาวคาทอลิก 1,300 ล้านคนเท่านั้น หากแต่ยังสะท้อนก้องไปไกลถึงหูของผู้นำรัฐบาลและประชาชนทั่วไปทั่วโลก ทำให้โป๊ปฟรานซิสได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้นำทางจิตวิญญาณที่มีอิทธิพลที่สุดในศตวรรษที่ 21 ผู้มีบทบาทในการชี้นำสังคมให้เดินบนเส้นทางแห่งคุณธรรมและความเป็นมนุษย์

สมเด็จพระสันตปาปาฟรานซิส (ขวา) และคิริลล์ อัครบิดรแห่งคริสตจักรออร์โธดอกซ์รัสเซีย สนทนากันระหว่างการพบปะกันที่สนามบินนานาชาติโฮเซ มาร์ติ ในกรุงฮาวานา ประเทศคิวบา เมื่อวันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2016 (ภาพถ่ายเอพี/เกรโกริโอ บอร์เกีย, แฟ้มภาพ)
สมเด็จพระสันตปาปาฟรานซิส (ขวา) และคิริลล์ อัครบิดรแห่งคริสตจักรออร์โธดอกซ์รัสเซีย สนทนากันระหว่างการพบปะกันที่สนามบินนานาชาติโฮเซ มาร์ติ ในกรุงฮาวานา ประเทศคิวบา เมื่อวันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2016 (ภาพถ่ายเอพี/เกรโกริโอ บอร์เกีย, แฟ้มภาพ)

ช่วงปลายสมณสมัยและมรณกรรม

ในช่วงปลายของชีวิต สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสต้องต่อสู้กับปัญหาสุขภาพที่ถาโถมเข้ามาตามวัยที่มากขึ้น พระองค์เคยเข้ารับการผ่าตัดลำไส้ใหญ่อย่างฉุกเฉินในปี 2021 และในต้นปี 2023 ก็ทรงเข้ารักษาอาการติดเชื้อทางเดินหายใจในโรงพยาบาลอยู่ระยะหนึ่ง แม้พระพลานามัยจะอ่อนแอลง แต่โป๊ปฟรานซิสยังคงปฏิบัติภารกิจทางศาสนาด้วยความมุ่งมั่นจนวาระสุดท้ายของชีวิต กระทั่งวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 2025 นครรัฐวาติกันได้ออกแถลงการณ์ผ่านสื่อว่า สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเสด็จสวรรคตแล้วด้วยพระชนมายุ 88 พรรษา

การมรณกรรมของพระองค์ได้ปิดฉากสมณสมัยที่ยาวนาน 12 ปี ซึ่งเต็มไปด้วยทั้งความก้าวหน้าปฏิรูปและความท้าทายภายใน พระองค์ทรงจากโลกนี้ไปโดยทิ้งมรดกแห่งความเมตตา ความสมถะ และเสียงเรียกร้องเพื่อความยุติธรรมทางสังคมไว้เบื้องหลัง สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสจะได้รับการจดจำในฐานะพระสันตะปาปาผู้กล้าเปลี่ยนแปลงและใกล้ชิดประชาชน ผู้ทรงนำพาคริสตจักรให้ก้าวข้ามกำแพงเก่าแก่และเปิดประตูออกสู่โลกกว้างด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยรักและเมตตาธรรม

สมเด็จพระสันตปาปาฟรานซิสทรงโบกพระหัตถ์ขณะเสด็จมาเข้าเฝ้าฯ เป็นประจำทุกสัปดาห์ ณ ห้องโถงปอลที่ 6 ในนครวาติกัน เมื่อวันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2025 (ภาพเอพี/อเลสซานดรา ทารันติโน, แฟ้มภาพ)
FILE – Pope Francis waves as he arrives for his weekly general audience in the Paul VI Hall, at the Vatican, Wednesday, Feb. 12, 2025. (AP Photo/Alessandra Tarantino, file)

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

Thosapol

นักเขียนบทความที่ Thaiger จบการศึกษาจากคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เชี่ยวชาญเรื่องบทความท่องเที่ยว บันเทิง ไลฟ์สไตล์ ผ่านการค้นหาข้อมูลโดยละเอียดพร้อมด้วยประสบการณ์ตรงของตัวเอง งานอดิเรกมีความสนใจในกระแสข่าวรอบตัวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ สังคม การเมือง และที่สำคัญคือเป็นทาสแมวร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ ช่องทางติดต่อ thospol@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button