‘เสรีพิศุทธ์’ เชื่อค้นบ้าน ‘บิ๊กโจ๊ก’ หวังดิสเดรดิต ฝาก ‘เศรษฐา’ คิดดีๆก่อนตั้ง ผบ.ตร.
เสรีพิศุทธ์ เชื่อค้นบ้าน บิ๊กโจ๊ก เป็นวิธีชกใต้เข็มขัด หวังดิสเครดิต ฝาก เศรษฐา คิดให้รอบคอบก่อนแต่งตั้ง ผบ.ตร. คนใหม่
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แถลงข่าวกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถูกค้นบ้านและมีการจับกุมลูกน้องคนสนิทตามที่มีการรายงานไปก่อนหน้านี้นั้น
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ระบุว่า หตุการณ์ครั้งนี้ ถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่มีการเข้าไปตรวจค้นบ้านของนายตำรวจ ระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และในมุมมองของตัวเอง เชื่อว่า มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง และมีสาเหตุมาจาก การแต่งตั้ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในวันที่ 27 ก.ย.นี้ ส่วนจะเกี่ยวข้องกับคดีของ “กำนันนก” หรือไม่ ก็มีความเป็นไปได้ ต้องบอกว่าตัวเองอยู่วงนอกแล้ว ถ้ายังอยู่วงในอาจจะรู้
ในอดีตไม่เคยมีการเข้าค้นบ้านผู้บังคับบัญชาระดับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาก่อน มีเพียงความพยายามล้มล้าง ซึ่งปกติแล้วการจะขอหมายศาลเพื่อเข้าค้นบ้านตำรวจระดับชั้นผู้ใหญ่แบบนี้ จะต้องมีมูลเหตุชัดเจนเพียงพอให้ศาลมีความเชื่อว่ามีการกระทำความผิดจริง ดังนั้นเรื่องนี้ตัวเองเชื่อว่า หากผู้ไปขอหมายศาล ระบุชื่อว่าจะค้นบ้านของพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ศาลคงไม่ออกหมายค้นให้ และคงไม่วินิจฉัยง่ายๆ ครั้งนี้จึงไม่รู้ข้อเท็จจริงว่ามีการระบุรายละเอียดอย่างไรบ้าง
ส่วนที่มีตำรวจบอกว่าไม่รู้มาก่อนว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านพักอาศัยของพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์นั้น ส่วนตัวมองว่าอาจจะมีความเป็นไปได้เพราะตำรวจระดับเล็ก แต่ตำรวจระดับชั้นผู้ใหญ่ที่จะไม่รู้เป็นไปไม่ได้ และการทำหน้าที่ที่เอาตำรวจคอมมานโดเข้ามาบุกตรวจค้นซึ่งปกติแล้วก็ไม่ใช่หน้าที่ของตำรวจคอมมานโด มองว่าไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวงใช้ผิดวัตถุประสงค์
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อยากฝากเตือนไปถึง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะแต่งตั้งใครต้องคิดให้รอบคอบ ไม่อยากให้นำกรณีการบุกค้นบ้านบิ๊กโจ๊ก มาประกอบการพิจารณา เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มองว่าเป็นวิธีที่สกปรก “ชกใต้เข็มขัด” ถือเป็นการข่มขวัญ และ ดิสเครดิต พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ทำให้เสียภาพพจน์
นอกจากนี้ อยากตั้งคำถามไปยังนายกฯเศรษฐา ว่ามีอิทธิพลภายนอกมาครอบงำหรือไม่ เพราะฉะนั้น จะต้องรู้และเข้าใจกฎหมายตำรวจ ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษ ที่มีรายละเอียดถึง 181 มาตรา ซึ่งการแต่งตั้งหากไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม อาจจะถูกดำเนินคดีได้ ตามมาตรา 78 และจะถูกดำเนินคดีในมาตรา 87 ที่มีโทษจำคุก 5 ปี ซึ่งในมาตรา 87 มีข้อกำหนดไว้ชัดเจนว่า
หากตำรวจเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม มีสิทธิร้องทุกข์ตามระบบพัฒนาคุณธรรม ตามกฎ ก.ตร. และยังยื่นร้องต่อศาลปกครองสูงสุดได้ และหากผู้บังคับบัญชาไม่ทำตามหลักเกณฑ์การแต่งตั้ง จะมีความผิดทางวินัย และผู้ใดซื้อขายตำแหน่ง หรือแอบอ้างอำนาจบุคคลใด (มีใครสั่งมา) กรณีที่บุคคลนั้นควรได้ตำแหน่ง แต่ไม่ได้ ผู้ที่แต่งตั้งมีโทษจำคุก 5 ปี
ซึ่งหากนายเศรษฐาพลาด จะโดนข้อกฎหมายตัวนี้ จึงอยากฝากถึงนายเศรษฐา ภายใน 2 วันนี้ อย่าไปรับคำสั่งใครมา แต่หากดำเนินการตามนี้ นายกฯ ก็จะอยู่รอดปลอดภัย ตามกฎหมาย และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็จะสงบ ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน
ส่วนใครเหมาะสมที่จะเป็น ผบ.ตร.คนที่ 14 นั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ความเห็นส่วนตัว มองว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็มีความรู้ความสามารถ แต่คนที่เหมาะจะนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ ควรเป็น พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. เนื่องจากมีทั้งความอาวุโส และผลงานที่ชัดเจน