ข่าวดาราบันเทิง

ชีวิตแสนเศร้า ‘ต้าร์ ดร.คิดส์’ ซุปตาร์ยุค 90 ตกเป็นทาสยาเสพติด จนจบชีวิตสลด

ย้อนบันทึกชีวิต ‘ต้าร์ ดร.คิดส์’ บทเรียนราคาแพงของวงการเพลงยุค 90 สู่จุดจบแสนเศร้า

หากเอ่ยชื่อเพลง “ข่าวร้าย” แฟนเพลงยุค 90 ต่างจดจำท่อนฮุก น้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของ ต้าร์-บัณฑิต เดชกุญชร หรือ ต้าร์ ดร.คิดส์ (Dr. Kids) ได้เป็นอย่างดี ทว่าเบื้องหลังความสำเร็จบนเวทีคอนเสิร์ต ชีวิตจริงกลับไม่สวยงามเหมือนหน้าจอ ดั่งบทละครโศกนาฏกรรมที่สอนใจคนรุ่นหลัง เมื่อดาวรุ่งพุ่งแรงต้องร่วงหล่นสู่จุดต่ำสุดของชีวิตด้วยวัยเพียง 25 ปี

ต้าร์บัณฑิต เดชกุญชร เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2520 กรุงเทพมหานคร โด่งดังถึงขีดสุดในฐานะสมาชิกนักร้องนำวงบอยแบนด์ Dr. Kids ด้วยภาพลักษณ์สดใส ทั้งการร้อง การแต่งเพลง และการทำดนตรี เพลงฮิตอย่าง “ข่าวร้าย”, “แอบรัก”, “อย่าประชด” และ “อาอียา” ส่งผลให้ตาร์กลายเป็นวัยรุ่นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์สินครบครันทั้งบ้าน รถยนต์หรู คอนโดมิเนียม และห้องอัดเสียงส่วนตัว ชีวิตช่วงนั้นของต้าร์เปรียบเสมือนความฝันที่หลายคนปรารถนา

แต่ใครจะคาดคิดว่า หลังวง Dr. Kids ยุบวงไปประมาณ 5 ปี ชีวิตของต้าร์ บัณฑิตเริ่มเข้าสู่จุดหักเห ทำให้เขาตัดสินใจผิดพลาดหันไปพึ่งพายาเสพติด ทั้งยาบ้ากับยาอี เพื่อหวังผลในการลดน้ำหนัก

ต้าร์ เคยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ “มายา แชนแนล” ฉบับต้นสัปดาห์ วันพุธที่ 25-31 ธ.ค. 2545 ยอมรับว่า สาเหตุที่ติดยาเพราะต้องการผอม ตามกระแสความนิยมจากเมืองนอก ซึ่งเพื่อนเคยแนะนำให้ทดลองทั้งยาบ้า ยาอี แต่ยังไม่ถึงขั้นฉีดเข้าเส้นจนทำให้เส้นประสาทส่วนหนึ่งตาย

แม้ภายหลังจะเลิกยาได้เด็ดขาดนานถึง 4 ปี แต่ผลกระทบจากสารเคมีได้ทำลายระบบประสาทไปแล้วบางส่วน ส่งผลให้เขามีอาการป่วยเรื้อรัง ทั้งความเครียด ประสาทหลอน และไม่สามารถควบคุมสติได้หากขาดยารักษา

“ทุกวันนี้ผมต้องใส่แว่นตาดำอำพราง เพราะกลัวสายตาคนมอง และไม่กล้าสู้หน้าคน ผมจึงไม่เคยถอดแว่นเลย” เขาเล่าอีกว่า ถ้าหมดฤทธิ์ยาที่เคยกิน จะทำให้เกิดอาการเครียด ประสาทจะหลอน ไม่สามารถควบคุมสติได้ แต่ก็ไม่เคยไปทำร้ายคนอื่น

ทรัพย์สินมหาศาลที่เคยหามาได้ ถูกนำออกมาขายจนหมดสิ้นเพื่อรักษาตัว บัณฑิตต้องย้ายไปอาศัยอยู่กับแม่ที่บ้านญาติย่านพระราม 7 ในสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบากถึงขีดสุด บ้านไม่มีไฟฟ้าใช้ ประทังชีวิตด้วยอาหารแห้งที่เพื่อนบ้านแบ่งปันให้

อดีตซูเปอร์สตาร์ต้องดิ้นรนทำงานทุกอย่างเพื่อหาเงินมาซื้อยาและประทังชีวิต ตั้งแต่รับงานเบื้องหลัง แต่งเมโลดี้ให้ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ เป็นคอรัส ไปจนถึงการขับวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างย่านพระราม 6 เมื่อถึงทางตัน เขาจำใจนำตุ๊กตาของสะสมสุดรักไปวางขายที่สะพานพุทธ แลกเงินเพียง 100-200 บาท โดยต้องสวมแว่นดำอำพรางใบหน้าตลอดเวลาด้วยความหวาดกลัวต่อสายตาผู้คนและความละอายใจ

ความเจ็บป่วยทางกายผสมโรงกับโรคซึมเศร้า ผลักดันให้เขาพยายามจบชีวิตตัวเองมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการกระโดดสะพานพระราม 7 การกินยาเกินขนาด หรือการทำร้ายตัวเองด้วยวิธีต่างๆ แต่ก็รอดชีวิตมาได้ทุกครั้ง

จนกระทั่งวันที่ 3 พฤษภาคม 2546 บัณฑิต เดชกุญชร ตัดสินใจครั้งสุดท้ายด้วยการผูกคอเสียชีวิตภายในบ้านพัก จบชีวิตลงในวัยเพียง 25 ปี หลือไว้เพียงบทเพลงและอุทาหรณ์เตือนใจสังคมถึงพิษภัยของยาเสพติดที่พรากทุกอย่างไปจากชีวิตมนุษย์

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

Aindravudh

นักเขียนประจำ Thaiger มีประสบการณ์เขียนข่าวมากกว่า 5 ปี จบการศึกษาด้านภาษาและประวัติศาสตร์ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความสนใจ ประเด็นความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง เจาะประเด็นข่าวทางสังคม ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องแบบย่อยง่าย อย่างงานเขียนสร้างสรรค์ สั้น กระชับ จับทุกประเด็น หัวข้อที่เชียวชาญคือเรื่องไลฟ์สไตล์ เลขเด็ด หวยรัฐบาลไทย หวยลาว ช่องทางติดต่อ vajara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button