เปิดเนื้อหา ธนาธร ขอโทษประชาชน ชี้ถ้าพิธาเป็นนายกฯ ไม่มีรบเขมร
ก่อนหน้านี้ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า “ผมและอดีตหัวหน้าพรรคทุกคนจะไปขอโทษประชาชนด้วยตัวเอง เจอกันนะครับ” โดยยังได้แชร์โพสต์เปิดรับฟังความเห็นของประชาชนด้วย
ล่าสุด ธนาธร กล่าวปราศรัยที่สนามหญ้า มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร วานนี้ (13 ธ.ค.) ในกิจกรรม ปิกนิก พรรคประชาชนพบประชาชน ขอโทษจากใจขอไปต่อด้วยกัน โดยเริ่มจากประเด็นสถานการณ์ความขัดแย้งและสันติภาพนั้น
ธนาธร กล่าวว่า ตนยอมรับว่าที่ผ่านมาเราทำได้ไม่ดีพอที่จะหยุดยั้งสถานการณ์ไม่ให้ลุกลามมาถึงจุดนี้ แต่เชื่อว่าไม่มีใครกระหายเลือดหรือกระหายสงคราม ทุกคนต้องการสันติภาพ
ธนาธร กล่าวแสดงความเชื่อมั่นว่า หากวันนั้น พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สถานการณ์จะไม่มีทางมาถึงจุดวิกฤตเช่นนี้เด็ดขาด หากพวกตนได้เป็นรัฐบาล เครื่องมือต่างๆ ทั้งมาตรการทางการค้า การทูต และกลไกการต่างประเทศ จะถูกนำมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อยับยั้งความขัดแย้ง ไม่ปล่อยให้ประชาชนต้องเดือดร้อนจากการสู้รบ
สำหรับกรณีการฉีกสัญญาและกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ไม่สำเร็จ ธนาธรชี้แจงว่า สถานการณ์วันนั้นมีความยากลำบาก และพรรคได้ตั้งโจทย์เรื่องเงื่อนไข MOA ไว้ตั้งแต่กลางปี เมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจ พรรคเลือกที่จะเสี่ยงและทำอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา แม้ผลลัพธ์คือความล้มเหลว แต่นี่คือสปิริตของผู้นำทั้ง 4 คน ที่มาร่วมเวทีเดียวกันในวันนี้ เพื่อขอโทษประชาชนอย่างยืดอก ไม่มีการอิดออด เหมือนกับตอนทำ MOA ที่ทำอย่างสง่าผ่าเผย
ธนาธร กล่าวถึงบทเรียนทางการเมืองว่า หากจะให้พรรคต้องปรับเปลี่ยนไปทำการเมืองแบบเขี้ยวลากดิน ที่ต้องหักหลังเป็น หลอกลวงเป็น กลับกลอก หรือมีดีลลับที่เปิดเผยไม่ได้ ตนขอยืนยันว่าทำไม่เป็นและจะไม่ทำ หากต้องทำเช่นนั้นขอไม่ทำดีกว่า เพราะไม่เชื่อว่าจะนำไปสู่เส้นชัยได้ เนื่องจากพรรคไม่มีอำนาจอื่นใดไปบังคับผลการเจรจา อำนาจเดียวที่มีคือประชาชน หากเปลี่ยนไปเล่นการเมืองแบบเก่าก็จะสูญเสียมวลชน และสุดท้ายจะไม่เหลืออะไรเลย
ธนาธร ระบุว่า บทเรียนสำคัญที่สุดจากเหตุการณ์นี้คือ เราไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะต้องเป็นรัฐบาลพรรคเดียวให้ได้ 250 เสียงเท่านั้น
ธนาธร ยังได้กล่าวถึงภาพรวมความขัดแย้งทางการเมืองไทยที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2548 ซึ่งนำไปสู่การรัฐประหารปี 2549 ว่า ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีถึง 10 คน มีรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ และการเลือกตั้ง 2 ครั้งล่าสุด (ปี 2562 และ 2566) ผลการจัดตั้งรัฐบาลก็ไม่สอดคล้องกับเจตจำนงของประชาชน ทำให้คนรุ่นใหม่ที่เกิดปี 2548 ไม่เคยสัมผัสการเมืองที่ปกติและเป็นประชาธิปไตย
ธนาธร เสนอว่า สังคมไทยต้องหาคำตอบเรื่องจุดสมดุลระหว่างอำนาจที่มาจากการเลือกตั้ง กับ อำนาจที่มาจากจารีต ว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างไร ซึ่งนี่คือความหมายของ Grand Compromise คือการหาทางออกเพื่อกลับสู่การเมืองปกติ แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน และส่งเสริมสันติภาพ โดยต้องสร้างกติกาที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ ไม่มีใครได้ทั้งหมดหรือเสียทั้งหมด.
ที่มา : The Standard , เฟซบุ๊ก Thanathorn Juangroongruangkit ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- น็อต วรฤทธิ์ แชร์คลิปสรยุทธ หลุดถามแรงถึงพรรคส้ม
- ประธาน กกต. คาดเลือกตั้ง 8 ก.พ. 69 หลังอนุทินยื่นยุบสภา
- ภูมิธรรม ลั่นไม่เคยตระบัดสัตย์ ยืนยันยกมือโหวตหนุน “พิธา” ทั้งสองครั้ง
ติดตาม The Thaiger บน Google News:





