
เมื่อความคิดที่จะเปลี่ยนงาน หรือลาออกเริ่มชัดเจน นอกจากเรื่องการเคลียร์งานแล้ว อีกหนึ่งคำถามที่มนุษย์เงินเดือนมักกังวลก็คือ “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ลาออกได้เท่าไหร่” เพราะนี่คือเงินก้อนใหญ่ที่เราสะสมมาตลอดอายุการทำงาน
หลายคนไม่แน่ใจว่าลาออกแล้วจะได้เงินคืนครบทุกบาทหรือไม่ ต้องรอนานแค่ไหนกว่าเงินจะเข้าบัญชี และที่สำคัญคือต้องโดนหักภาษีมากน้อยเพียงใด ในบทความนี้ เราได้สรุปเงื่อนไขการได้รับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหลังลาออกจาก Krungsri The COACH แหล่งรวมความรู้เรื่องการเงินจากธนาคารกรุงศรี มาให้แล้ว ตอบครบทุกข้อสงสัยแน่นอน
เช็กให้ชัวร์ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพลาออกได้เท่าไหร่ ?
เพื่อให้คำนวณยอดเงินที่จะได้รับอย่างแม่นยำ ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund หรือ PVD) ประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก ได้แก่
- เงินสะสม (ส่วนของเรา)
- ผลประโยชน์ของเงินสะสม
- เงินสมทบ (ส่วนของนายจ้าง)
- ผลประโยชน์ของเงินสมทบ
ข่าวดีคือ “ส่วนที่เป็นเงินสะสม และผลประโยชน์ของเงินสะสม” เราจะได้รับคืนครบ 100% เต็มแน่นอน
แต่จุดที่ต้องโฟกัสคือ “ส่วนเงินสมทบ และผลประโยชน์ของเงินสมทบ” เพราะจะได้รับคืนมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข “อายุงาน” ตามข้อบังคับกองทุนของแต่ละบริษัท ซึ่งโดยทั่วไปมักกำหนดเกณฑ์ไว้ดังนี้
| อายุงาน (ปี) | สัดส่วนเงินสมทบที่ได้รับ (%) |
| น้อยกว่า 1 ปี | 0% (อาจไม่ได้เลย) |
| 1 ปี – น้อยกว่า 3 ปี | 50% |
| 3 ปี – น้อยกว่า 5 ปี | 75% – 80% |
| 5 ปี ขึ้นไป | 100% (ได้ครบจำนวน) |
หมายเหตุ : ตารางข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างทั่วไป ควรตรวจสอบข้อบังคับกองทุนของบริษัทปัจจุบันอีกครั้งเพื่อความถูกต้อง
เราจะได้รับเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพภายในกี่วัน ?

หลังจากยื่นเอกสารแจ้งความประสงค์ขอรับเงินคืน และสิ้นสุดสภาพพนักงานแล้ว ตามปกติขั้นตอนการดำเนินการระหว่างฝ่ายบุคคล และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จะใช้เวลาประมาณ 15 – 45 วันทำการ เงินถึงจะถูกโอนเข้าบัญชี หรือได้รับเป็นเช็ค
ดังนั้นใครที่วางแผนจะใช้เงินก้อนนี้ในช่วงรอยต่อระหว่างหางานใหม่ ควรเตรียมเงินสำรองเผื่อไว้สำหรับค่าใช้จ่ายในช่วงที่ต้องรอเงินส่วนนี้ด้วย
เรื่องต้องระวัง เงินที่ได้คืนจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพต้องเสียภาษีหรือไม่ ?
นี่คือหลุมพรางที่หลายคนพลาด เพราะเข้าใจว่าเงินที่ได้คืนทั้งหมดเป็นเงินเก็บของเรา แต่ในทางภาษี กรมสรรพากรให้ยกเว้นภาษีเฉพาะ “เงินสะสม” (ส่วนที่เราจ่ายเอง) เท่านั้น
ส่วนเงินที่เหลืออีก 3 ก้อน คือ ผลประโยชน์เงินสะสม เงินสมทบ และผลประโยชน์เงินสมทบ จะถูกนับเป็นรายได้เพื่อนำไปคำนวณภาษี โดยมีเงื่อนไขตามอายุสมาชิกกองทุน ดังนี้
- อายุสมาชิกกองทุน น้อยกว่า 5 ปี : ต้องนำเงินทั้ง 3 ส่วนไปรวมคำนวณกับเงินเดือน และโบนัสเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามปกติ ซึ่งอาจทำให้ฐานภาษีพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ
- อายุสมาชิกกองทุน 5 ปีขึ้นไป : สามารถเลือก “แยกยื่นภาษี” (ใบแนบ) ได้ ซึ่งจะได้รับสิทธิหักค่าใช้จ่ายส่วนแรก และหักลดหย่อนได้อีกครึ่งหนึ่ง ทำให้เสียภาษีน้อยกว่ากรณีแรกมาก
- เกษียณอายุ (อายุ 55 ปี + เป็นสมาชิก 5 ปี) : ได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุด คือ ยกเว้นภาษีทั้งจำนวน ได้รับเงินก้อนเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ไม่อยากเสียภาษีแพง มีทางออกไหม ?

หากคุณยังไม่ถึงวัยเกษียณ และไม่อยากให้เงินก้อนใหญ่ถูกหักภาษีไปอย่างน่าเสียดาย ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ “อย่าเพิ่งเอาเงินออกจากระบบ” โดยสามารถใช้วิธีบริหารจัดการได้ 3 รูปแบบ เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ทางภาษี และให้เงินทำงานต่อเนื่อง ดังนี้
1. คงเงินไว้ที่เดิม
วิธีนี้คือการขอฝากเงินกองทุนไว้กับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทเดิม (แม้ตัวจะลาออกแล้ว) โดยเงินจะยังคงถูกนำไปลงทุนตามนโยบายเดิมต่อไป เหมาะสำหรับคนที่ยังหางานใหม่ไม่ได้ หรือที่ทำงานใหม่ไม่มีสวัสดิการ PVD ข้อควรระวังคืออาจมีค่าธรรมเนียมในการคงเงินรายปี ประมาณ 500 บาท
2. โอนย้ายไปที่ทำงานใหม่
หากที่ทำงานใหม่มีสวัสดิการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สามารถแจ้งความประสงค์ขอโอนเงินจากกองทุนเดิมไปยังกองทุนใหม่ได้ทันที วิธีนี้มีข้อดีคือช่วยให้ “นับอายุสมาชิกกองทุนต่อเนื่อง” ไม่ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ ซึ่งเป็นผลดีอย่างมากต่อการคำนวณภาษีในอนาคต และส่วนใหญ่ไม่มีค่าธรรมเนียมในการดำเนินการ
3. โอนไปกองทุน RMF for PVD
สำหรับคนที่เปลี่ยนไปทำธุรกิจส่วนตัว เป็นฟรีแลนซ์ หรือที่ทำงานใหม่ไม่มี PVD การโอนเงินไปยัง “กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่รองรับ PVD (RMF for PVD)” ถือเป็นทางเลือกที่ Krungsri The COACH แนะนำ เพราะนอกจากจะช่วยให้เงินลงทุนเติบโตต่อเนื่อง และนับอายุสมาชิกต่อได้แล้ว ยังมีนโยบายการลงทุนให้เลือกหลากหลายตามความเสี่ยงที่รับได้ อีกทั้งเมื่อปฏิบัติตามเงื่อนไขครบกำหนด ก็สามารถขายคืนหน่วยลงทุนโดยได้รับยกเว้นภาษีเช่นเดียวกับการเกษียณอายุปกติ
การลาออกจากงานไม่ได้หมายความว่าต้องลาออกจากความมั่งคั่ง การรู้เท่าทันว่ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพลาออกได้เท่าไหร่ และเข้าใจกลไกภาษี จะช่วยให้ตัดสินใจได้ถูกต้องว่าควรนำเงินออกมาใช้ หรือควรเก็บไว้ลงทุนต่อ เพราะเป้าหมายสำคัญของเงินก้อนนี้คือหลักประกันในวัยเกษียณ การเลือกโอนย้ายไป RMF หรือกองทุนใหม่ จึงมักเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่าการนำออกมาเสียภาษีระหว่างทาง เพื่อให้ปลายทางวัยเกษียณของคุณมั่นคงอย่างที่ตั้งใจไว้
ติดตาม The Thaiger บน Google News:





