การเงินเศรษฐกิจ

ถอดบทเรียน เนเธอร์แลนด์ “น้ำท่วมทั้งประเทศ” สู้ยังไง จนรอดภัยพิบัติ

เนเธอร์แลนด์ จากดินแดนที่ 60% เสี่ยงจมน้ำ สู่ประเทศวางระบบป้องกันน้ำท่วมยั่งยืนที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ถอดบทเรียน “สู้–ถอย–อยู่ร่วมกับน้ำ” ที่ไทยเอาไปปรับใช้ได้ แต่ไม่ยอมทำ

ทำไม เนเธอร์แลนด์เสี่ยงน้ำท่วมทั้งประเทศ

ชื่อ Netherlands แปลตรงตัวได้ว่า “ดินแดนต่ำ” ซึ่งเป็นคำอธิบายลักษณะภูมิศาสตร์ที่ถูกต้องที่สุด เพราะพื้นที่ประมาณ 26% ของประเทศอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล หากนับรวมพื้นที่ลุ่มแม่น้ำที่เสี่ยงน้ำท่วมด้วย ตัวเลขจะพุ่งสูงถึง 60% ของพื้นที่ทั้งประเทศ นี่คือความเสี่ยงระดับชาติที่ครอบคลุมทั้งแม่น้ำ ทะเลสาบ กับทะเล

เนเธอร์แลนด์ตั้งอยู่บนดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ จุดรวมของแม่น้ำสายใหญ่ในยุโรป 4 สาย ได้แก่ ไรน์, เมิวส์, สเกลด์ กับเอมส์ ไหลมารวมกันเพื่อออกสู่ทะเลเหนือ เปรียบเสมือนปลายน้ำของทวีปยุโรป ต้องรับน้ำจากประเทศเพื่อนบ้านไหลบ่าลงมา

สิ่งที่น่ากังวลคือ พื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ เมืองใหญ่ สนามบิน Schiphol หรือท่าเรือระดับโลกอย่างรอตเทอร์ดาม ล้วนตั้งอยู่ในเขตเสี่ยงน้ำท่วมนี้ ปัญหาหลักที่ชาวดัตช์ต้องเจอมาจาก 3 ด้านใหญ่

1. น้ำทะเลหนุนและพายุ ฤดูหนาวจะมีพายุรุนแรงจากทะเลเหนือ ดันน้ำทะเลให้หนุนสูงซัดเข้าชายฝั่งทางตะวันตก

2. ฝนตกหนักหรือหิมะละลายบนเทือกเขาแอลป์ จะส่งมวลน้ำมหาศาลไหลลงแม่น้ำไรน์–เมิวส์ เข้าสู่เนเธอร์แลนด์ หากคันกั้นน้ำรับไม่ไหว น้ำจะทะลักท่วมพื้นที่ลุ่มทันที

3. พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นดินอ่อน เมื่อมีการสูบน้ำออกเพื่อทำเกษตรหรือสร้างเมือง ดินจะทรุดตัวต่ำลง ขณะที่เมืองขยายตัวเข้าไปในเขตเสี่ยงภัยมากขึ้น ความเสียหายหากเกิดน้ำท่วมจึงทวีคูณ

หากปราศจากระบบป้องกันน้ำท่วม ชาวเนเธอร์แลนด์ในปัจจุบันแทบจะใช้ชีวิตปกติไม่ได้

เนเธอร์แลนด์เสี่ยงน้ำท่วมทั้งประเทศ เพราะเป็นพื้นที่ปลายน้ำ รับน้ำจากประเทศอื่นในยุโรป

วิกฤต 1953 น้ำท่วมทะเลเหนือ เปลี่ยนโฉมหน้าประเทศ

แม้ชาวดัตช์จะสร้างคันกั้นน้ำมาตั้งแต่ยุคกลาง จุดเปลี่ยนครั้งประวัติศาสตร์คือเหตุการณ์ น้ำท่วมใหญ่ทะเลเหนือปี 1953

คืนวันที่ 31 มกราคม ต่อเนื่องถึง 1 กุมภาพันธ์ พายุรุนแรงพัดถล่ม ด้วยความเร็วลมกว่า 144 กม./ชม. ทิศทางลมนี้อันตรายที่สุดสำหรับเนเธอร์แลนด์ เพราะมันกวาดน้ำจากมหาสมุทรแอตแลนติกเข้าไปอัดแน่นอยู่ในกรวยของทะเลเหนือ

พร้อมกับภาวะน้ำทะเลหนุนสูง แนวเขื่อนหลายจุดในภาคตะวันตกเฉียงใต้พังทลาย มวลน้ำทะเลทะลักเข้าท่วมพื้นที่กว้างใหญ่ คร่าชีวิตผู้คนในเนเธอร์แลนด์ไปกว่า 1,800 ราย บ้านเรือนเสียหายยับเยิน

ในช่วงนั้น เนเธอร์แลนด์เพิ่งฟื้นตัวจากสงครามโลกครั้งที่ 2 งบประมาณส่วนใหญ่ถูกทุ่มไปกับการซ่อมแซมประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ กับการเกษตร ทำให้การบำรุงรักษาเขื่อนและคันกั้นน้ำถูกละเลย คันกั้นน้ำจำนวนมากอยู่ในสภาพเก่า ทรุดโทรม และต่ำกว่ามาตรฐานความปลอดภัย

ภัยพิบัติเกิดขึ้นในคืนวันเสาร์ต่อเช้าวันอาทิตย์ ขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่หลับใหล สถานีวิทยุปิดทำการตอนเที่ยงคืน ระบบเตือนภัยยังล้าสมัย (ใช้การตีระฆังโบสถ์หรือไซเรนมือหมุน) ประกอบกับพายุพัดเสาโทรเลขล้ม ทำให้พื้นที่ประสบภัยถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง วงเวลาตี 2 ถึงตี 4 คือช่วงวิกฤตที่สุด คันกั้นน้ำหลักและย่อยกว่า 400 กิโลเมตรพังทลายลงพร้อมกัน น้ำทะเลเย็นจัดอุณหภูมิเกือบจุดเยือกแข็งทะลักเข้าท่วมหมู่บ้านขณะที่ชาวบ้านกำลังนอนหลับ

ผู้คนต้องหนีขึ้นไปอยู่บนหลังคาบ้าน หรือเกาะต้นไม้ ท่ามกลางพายุหิมะและความมืดมิด บ้านเรือนจำนวนมากที่โครงสร้างไม่แข็งแรงถูกกระแสน้ำซัดพังพาบไปทั้งหลังพร้อมผู้อยู่อาศัย

ท่ามกลางความสูญเสีย มีวีรกรรมที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ดัตช์ ณ เมือง Nieuwerkerk aan den IJssel คันกั้นน้ำกำลังจะขาด ซึ่งถ้าจุดนี้พัง น้ำจะท่วมทะลักเข้าสู่พื้นที่เศรษฐกิจสำคัญอย่าง รอตเทอร์ดาม กับ เดลฟต์

กัปตันเรือนามว่า Arie Evegroen ตัดสินใจนำเรือของเขาชื่อ “De Twee Gebroeders” (The Two Brothers) ขับพุ่งชนเข้าไปอุดตรงรอยแตกของเขื่อน แล้วหมุนตัวเรือขวางทางน้ำไว้ แรงดันน้ำกดเรือให้จมลงและกลายเป็นจุกอุดเขื่อนชั่วคราว ความกล้าหาญนี้ช่วยชะลอน้ำและรักษาชีวิตคนนับล้านในพื้นที่ตอนในไว้ได้

กัปตันเรือนามว่า Arie Evegroen ช่วยป้องกันน้ำท่วม

ตัวเลขความเสียหายประเมินค่าไม่ได้

  • ผู้เสียชีวิต: 1,836 ราย (ส่วนใหญ่เสียชีวิตจากการจมน้ำหรือหนาวตาย)
  • สัตว์เลี้ยง: วัว หมู ม้า และสัตว์เศรษฐกิจตายกว่า 200,000 ตัว
  • บ้านเรือน: เสียหายและถูกทำลายกว่า 47,000 หลัง
  • พื้นที่เกษตร: 9% ของพื้นที่การเกษตรทั้งประเทศจมอยู่ใต้น้ำเค็ม ซึ่งต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะฟื้นฟูดินให้กลับมาเพาะปลูกได้

หลังโศกนาฏกรรม รัฐบาลตั้ง “คณะกรรมการ Delta Works Commission” เพื่อออกแบบมาตรการป้องกันระยะยาวในชื่อ “Deltaplan” เริ่มต้นอภิมหาโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ทั่วโลกยกให้เป็นต้นแบบการจัดการน้ำ

Delta Works ปราการยักษ์สู้ทะเล ออกแบบเพื่อ 100 ปีข้างหน้า

Delta Works คือชุดโครงการป้องกันน้ำท่วมจากทะเล ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานกว่า 40 ปี ประกอบด้วยเขื่อน กำแพงกันคลื่น ประตูระบายน้ำ กับแนวกั้นทะเลรวม 13 ส่วน ครอบคลุมพื้นที่ปากแม่น้ำทางตะวันตกเฉียงใต้

ความสำคัญทางวิศวกรรม ได้แก่

  • Oosterscheldekering ประตูป้องกันคลื่นพายุยาวเกือบ 9 กิโลเมตร ปกติจะเปิดให้กระแสน้ำทะเลไหลเข้า–ออกตามธรรมชาติเพื่อรักษาระบบนิเวศ แต่จะปิดทันทีเมื่อมีพายุรุนแรงเพื่อกันน้ำหนุน

  • Maeslantkering ประตูกันคลื่นขนาดยักษ์ใกล้ท่าเรือรอตเทอร์ดาม โครงสร้างเหล็กมหึมานี้จะปิดกั้นปากแม่น้ำเฉพาะเวลาวิกฤต

เป้าหมายของ Delta Works คือการเซตมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ พื้นที่เศรษฐกิจสำคัญต้องป้องกันน้ำท่วมได้ในระดับ โอกาสเกิด 1 ครั้งใน 10,000 ปี ซึ่งเป็นมาตรฐานที่สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น

ยุทธศาสตร์คือต้องเอาชนะทะเล รัฐบาลทุ่มงบประมาณมหาศาลสร้างโครงสร้างแข็งเพื่อบล็อกน้ำทะเลไม่ให้เข้ามาทำลายแผ่นดิน

แต่แม้จะสู้กับทะเลได้ดี แต่เนเธอร์แลนด์กลับเจอบททดสอบใหม่จากแม่น้ำ ในปี 1993 กับ 1995 ระดับน้ำในแม่น้ำไรน์และเมิวส์สูงจนน่ากลัว คันกั้นน้ำเกือบพังทลาย ทางการต้องอพยพประชาชนกว่า 2.5 แสนคนออกจากพื้นที่เสี่ยง

วิธีคิดเดิมคือต้องยกคันกั้นน้ำให้สูงขึ้นอีก แต่ผู้เชี่ยวชาญพบว่า ยิ่งสร้างเขื่อนสูง แม่น้ำยิ่งแคบ พื้นที่ระบายน้ำยิ่งน้อย ความรุนแรงของกระแสน้ำจะยิ่งมาก รัฐบาลจึงเปลี่ยนแนวคิดครั้งใหญ่

จากกันน้ำไม่ให้เข้า เปลี่ยนเป็นเปิดพื้นที่ให้น้ำมีที่ไป

เกิดเป็นโครงการ Room for the River (พื้นที่ให้แม่น้ำ) ตั้งแต่ปี 2007 มีเป้าหมายหลักคือคืนพื้นที่ให้แม่น้ำล้นตลิ่งได้อย่างปลอดภัย ด้วยวิธีการ ขยับแนวเขื่อนให้ห่างจากตลิ่ง เพื่อขยายพื้นที่ทุ่งรับน้ำเดิมให้กว้างขึ้น ขุดดินและทรายออกจากพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำ (Floodplain) เพื่อเพิ่มความจุในการรับน้ำ สร้างร่องน้ำหรือแก้มลิงธรรมชาติเพื่อแบ่งเบามวลน้ำช่วงน้ำหลาก พื้นที่เกษตรบางแห่งที่เคยถมที่รุกล้ำแม่น้ำ รัฐจะเวนคืนและจ่ายชดเชย เพื่อเปลี่ยนกลับเป็นพื้นที่รับน้ำ

โครงการนี้ทำในกว่า 30 พื้นที่ทั่วประเทศ จุดเด่นคือการออกแบบให้พื้นที่รับน้ำเหล่านี้กลายเป็น สวนสาธารณะ หรือเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ ในช่วงเวลาปกติ ทำให้ประชาชนยอมรับได้ง่ายขึ้น เพราะได้พื้นที่นันทนาการเพิ่มขึ้นแลกกับความปลอดภัย

Multi-layer Safety ความปลอดภัย 3 ชั้น ไม่พึ่งแค่เขื่อน

หลังปี 2000 เนเธอร์แลนด์ยกระดับการจัดการด้วยโมเดล Multi-layer Safety หรือความปลอดภัยหลายชั้น เพื่อลดความเสี่ยงให้เหลือน้อยที่สุด

ชั้นที่ 1 การป้องกัน เขื่อน ประตูระบายน้ำ กับระบบสูบน้ำ ยังคงเป็นปราการด่านหน้าสำคัญที่สุด

ชั้นที่ 2 ผังเมืองรับน้ำ จัดโซนนิ่งที่ดิน กำหนดเขตห้ามสร้างสิ่งปลูกสร้างถาวรในทางน้ำหลาก ส่งเสริมการสร้างบ้านยกพื้นสูง หรือใช้วัสดุทนน้ำ รวมถึงการทำแก้มลิงในเมือง

ชั้นที่ 3 การเตรียมพร้อมรับเหตุ แผนรับมือเมื่อระบบป้องกันล้มเหลว ระบบเตือนภัยล่วงหน้า เส้นทางอพยพ และการดูแลกลุ่มเปราะบางอย่างคนชราหรือโรงพยาบาล

บูรณาการกรมชลประทาน เทศบาล ผังเมือง และหน่วยกู้ภัย ต้องวางแผนร่วมกันเป็นภาพใหญ่ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำเหมือนในอดีต อนาคตคือการ “อยู่กับน้ำ” อย่างยั่งยืน

เมื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและฝนตกหนักคาดเดายาก เนเธอร์แลนด์จึงปรับตัวจาก mindset ผู้พิชิตสู่ผู้อยู่ร่วม

เราเริ่มเห็นนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น บ้านลอยน้ำ หรือฟาร์มลอยน้ำในเมืองรอตเทอร์ดาม เพื่อทดลองการใช้ชีวิตที่ปรับระดับตามน้ำได้ หรือโครงการ Zandmotor ที่ใช้การถมทรายจำนวนมหาศาลหน้าชายฝั่ง แล้วปล่อยให้กระแสคลื่นลมพัดพาให้ทรายกระจายตัวสร้างแนวชายหาดป้องกันตามธรรมชาติ

เนเธอร์แลนด์ไม่ได้มองน้ำเป็นศัตรูที่ต้องกำจัด แต่เป็นธรรมชาติที่ต้องออกแบบเมืองให้ยืดหยุ่นพอที่จะอยู่ด้วยกันได้

บ้านลอยน้ำ เนเธอร์แลนด์

ถอดบทเรียนน้ำท่วมไทย ถ้าไม่อยากจมซ้ำซาก ต้องเปลี่ยนวิธีคิด

1. มองลุ่มน้ำเป็นระบบเดียวกัน

เนเธอร์แลนด์บริหารจัดการแม่น้ำตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำเป็นภาพเดียว ไทยจำเป็นต้องมองแม่น้ำเจ้าพระยา–ท่าจีน–ป่าสัก–แม่กลอง เชื่อมโยงกันทั้งระบบ ไม่ใช่แก้ปัญหาเฉพาะจุดแบบน้ำท่วมกรุงเทพฯ ก็แก้แค่กรุงเทพฯ แผนชลประทาน ผังเมือง และการตัดถนน ต้องสอดคล้องกัน

2.คืนที่ให้น้ำก่อนจะสายเกินไป

บทเรียน Room for the River ชี้ชัดว่า การถมที่สร้างเมืองจนเต็มแน่นแล้วหวังพึ่งแค่กำแพงกั้นน้ำ คือความเสี่ยงมหาศาล ไทยควรเร่งรักษาทุ่งรับน้ำ หรือแก้มลิงธรรมชาติที่เหลืออยู่ เช่น ทุ่งบางระกำ หรือพื้นที่ชุ่มน้ำต่าง ๆ การพัฒนาเมืองใหม่ต้องกันพื้นที่ไว้สำหรับให้น้ำล้นโดยเฉพาะ

3. ใช้ผังเมืองคุมกำเนิดสิ่งปลูกสร้าง

ต้องกล้ากำหนดเขตห้ามก่อสร้างถาวร ในพื้นที่เสี่ยงสูง หรือหากจำเป็นต้องสร้าง ต้องมีมาตรฐานอาคารที่รองรับน้ำท่วม เช่น บังคับยกพื้นสูง ย้ายระบบไฟไว้ชั้นบน เพื่อลดความเสียหายเมื่อภัยมา

7.4 เลิกพึ่งกรมชลประธานหน่วยงานเดียว

ความปลอดภัยต้องมีหลายชั้น นอกจากสร้างเขื่อน (หน้าที่ชลประทาน) แล้ว ต้องมีผังเมืองที่เข้มแข็ง (หน้าที่มหาดไทย/ท้องถิ่น) และระบบเตือนภัย–อพยพที่ซ้อมจริงจัง (หน้าที่ ปภ.) ทุกหน่วยงานต้องทำงานบนแผนที่แผ่นเดียวกัน

5. การลงทุนระยะยาวต้องต่อเนื่อง

โครงการ Delta Works กับ Room for the River ใช้เวลาทำต่อเนื่องหลายสิบปี ข้ามผ่านรัฐบาลหลายสมัย นี่คือโจทย์ใหญ่ของการเมืองไทย ว่าเราพร้อมจะลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐานระยะยาว เพื่อแลกกับความมั่นคงของลูกหลานในอีก 50 ปีข้างหน้าหรือไม่

การแก้ปัญหาน้ำท่วมไม่มีสูตรสำเร็จรูป แต่เนเธอร์แลนด์พิสูจน์แล้วว่า การหยุดสู้กับธรรมชาติแล้วหันมาจัดสรรพื้นที่ให้ธรรมชาติ คือทางรอดที่ยั่งยืนที่สุด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

Aindravudh

นักเขียนประจำ Thaiger มีประสบการณ์เขียนข่าวมากกว่า 5 ปี จบการศึกษาด้านภาษาและประวัติศาสตร์ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความสนใจ ประเด็นความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง เจาะประเด็นข่าวทางสังคม ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องแบบย่อยง่าย อย่างงานเขียนสร้างสรรค์ สั้น กระชับ จับทุกประเด็น หัวข้อที่เชียวชาญคือเรื่องไลฟ์สไตล์ เลขเด็ด หวยรัฐบาลไทย หวยลาว ช่องทางติดต่อ vajara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button