
เปิดประวัติ พิธีกร Miss Universe 2025 ณ ประเทศไทย สตีฟ เบิร์น (Steve Byrne) คอมเมเดียน–นักแสดง–ผู้เขียนบทชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลี–ไอริช
ถ้าพูดถึงคอมเมเดียนอเมริกันที่หน้าตาเอเชียหน่อย ๆ แต่อารมณ์ขันแรงระดับขำท้องแข็งทั้งห้อง ชื่อหนึ่งที่ถูกพูดถึงเสมอ คือ สตีฟ เบิร์นคอมเมเดียนลูกครึ่งเกาหลี–ไอริช ที่ฝันใหญ่ เริ่มต้นบนเวทีไมโครโฟนเดียว ก่อนขยายโลกของตัวเองไปถึงการสร้างซิตคอมและกำกับหนังยาวเต็มเรื่องด้วยตัวเอง
สตีฟ เกิด 21 กรกฎาคม 1974 เมือง Freehold รัฐนิวเจอร์ซีย์ โตที่ Pittsburgh เพนซิลเวเนีย จบ Kent State University ก่อนย้ายมานิวยอร์ก ไปทำงานเป็นพนักงานในคลับตลก Carolines โดดขึ้นเวทีครั้งแรกในวันที่ 30 กันยายน 1997 ที่ Stand Up New York แล้วไม่เคยหันหลังกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมอีกเลย
ครอบครัวของสตีฟมี “ดีเอ็นเอเรื่องเล่า” เต็มบ้านอยู่แล้ว เพราะพ่อเป็นชาวไอริชอารมณ์ดี ส่วนแม่เป็นชาวเกาหลีที่ย้ายมาอเมริกาด้วยมือเปล่า หอบความขยันกับทัศนคติสายเอาตัวรอดล้วน ๆ มาสร้างชีวิตใหม่ ในหลาย ๆ เวที สตีฟเล่าว่า แม่เป็นคนจริงจังเรื่องเงินมาก รักลูก รักสามี และรักกระเป๋าสตางค์ของตัวเองที่สุด ใครดูซีรีส์ Sullivan & Son แล้วขำกับแม่เกาหลีสุดแสบในเรื่อง บอกได้เลยว่า นั่นคือ “เวอร์ชั่นดัดแปลงจากแม่จริง ๆ” แบบแทบจะก๊อบมาวางทั้งบุคลิก
หลังจบมหาวิทยาลัย Kent State University เขาย้ายเข้านิวยอร์กแบบมนุษย์ลูกที่ยังเกาะบ้านอยู่ นอนโซฟาบ้านพ่อแม่ หาเงินใช้รายวัน จนไปได้งานในคลับตลกชื่อดังอย่าง Caroline’s ซึ่งกลายเป็นจุดที่เขาเริ่มหมกมุ่นกับสแตนด์อัพ รวมถึงเปลี่ยนสถานะจากพนักงานในคลับมาเป็นคนถือไมค์บนเวทีเองในที่สุด

จากเด็กในคลับ มาราธอน 13 โชว์ ขึ้นแท่นตัวท็อปสายสแตนด์อัพ
พอขึ้นเวทีครั้งแรกแล้วรู้สึกว่า “นี่แหละ ใช่เลย” สตีฟก็เดินหน้าสายฮาแบบเต็มเวลา เขาออกตระเวนเล่นแทบทุกคลับในแมนฮัตตัน จนถึงปี 2003 เขาตัดสินใจทำอะไรบ้า ๆ คือถ่ายทำสารคดีชื่อ 13 or Bust ท้าทำโชว์ 13 รอบในคืนเดียวให้ครบทุกคลับตลกในนิวยอร์ก เพื่อทำลายสถิติตัวเองและประกาศให้รู้ว่า “ผมเอาจริงนะครับ”
จังหวะนี้เองที่ชื่อของสตีฟเริ่มโผล่บนเรดาร์สื่อใหญ่ เขาได้ทำ Comedy Central Presents แบบครึ่งชั่วโมง ซึ่งภายหลังกลายเป็นหนึ่งในเอพิโสดที่แฟน ๆ โหวตว่าชอบที่สุดอันดับต้น ๆ ใน Standup Showdown ของ Comedy Central จากนั้นก็ถึงยุคการพูดเต็มชั่วโมง
ปี 2008: Steve Byrne’s Happy Hour – สเปเชียลชั่วโมงแรกที่รวบรวมมุกตั้งแต่ชาติพันธุ์ครึ่งเอเชียครึ่งฝรั่ง ไปจนถึงชีวิตประจำวันสไตล์คนอเมริกันยุคใหม่ ออกอากาศทาง Comedy Central และปล่อยในรูปแบบดีวีดี
ปี 2010: The Byrne Identity – ชั่วโมงที่สอง เน้นถามคำถามใหญ่ ๆ ว่า “ตกลงเราเป็นใครกันแน่” ผ่านมุกเรื่องการนิยามตัวตนคนอเมริกันหลากเชื้อชาติ
ปี 2014: Champion – สเปเชียลที่ขึ้นไปอยู่บน Netflix พร้อมรีวิวดี ๆ ว่าเป็นงานที่ส่วนตัวที่สุดของเขาในตอนนั้น
ภายหลังเขายังปล่อยสเปเชียลชุดใหม่ ๆ ต่อเนื่อง รวมถึงงานทดลองอย่าง The Last Late Night ที่ทำ hour special ให้หน้าตาเหมือนทอล์กโชว์ตอนดึกทั้งชุด ถือเป็นการเล่นกับรูปแบบการเล่าเรื่องบนเวทีคอมเมดี้แบบสนุกมากสำหรับสายดูเยอะ ๆ

Sullivan & Son: เมื่อคอมเมเดียนเขียนเรื่องครอบครัวตัวเองให้กลายเป็นซิตคอม 3 ซีซัน
เมื่อเริ่มอิ่มตัวสตีฟเริ่มอยากเล่าชีวิตตัวเองในแบบที่ไม่จำกัดแค่ 1 เวที 1 ชั่วโมง เขาเลยหันไปเขียนบทซิตคอม ตามคำเชียร์ของเพื่อนสนิทอย่าง Vince Vaughn เขาใช้เวลาศึกษาโครงสร้างซิตคอมอยู่หลายเดือน ก่อนจะพัฒนาสคริปต์ที่ในตอนแรกวางให้เกิดในร้านอาหาร แต่พอทีมโปรดิวเซอร์ร่วมอย่าง Rob Long และ Peter Billingsley เข้ามาช่วยขัดเกลา ก็เปลี่ยนโลเกชันให้กลายเป็น “บาร์ของครอบครัว” กลางย่านชนชั้นแรงงานพิตส์เบิร์ก และนั่นคือจุดกำเนิดของ Sullivan & Son
ซีรีส์เล่าเรื่องทนายเชื้อสายไอริช–เกาหลีจากนิวยอร์กที่กลับบ้าน แล้วตัดสินใจทิ้งงานเงินดีมาดูแลบาร์ของพ่อแม่ พ่อในเรื่องเป็นเจ้าของบาร์สายชิล ยิ้มง่าย ขี้เล่น ส่วนแม่เป็นหญิงเกาหลีสายโหด รักเงิน รักครอบครัว และไม่ได้มานั่งเอ็นดูใครง่าย ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้สตีฟบอกตรง ๆ ว่า ก็อปแม่กับพ่อเกือบทั้งดุ้น
Sullivan & Son ได้ออกอากาศบนช่อง TBS ยาว 3 ซีซัน ระหว่างปี 2012–2014 รวม 33 ตอน แม้คะแนนวิจารณ์จะกลาง ๆ แต่เรตติ้งตอนพีกแตะราว 2 ล้านคนต่อเอพิโซด ถือว่าไม่ธรรมดาสำหรับซิตคอมที่เล่าเรื่องครอบครัวลูกครึ่งเอเชียโดยคนเอเชียเองในยุคนั้น
สำหรับคนที่อินกับประเด็นตัวแทนเอเชียในฮอลลีวูด สตีฟคืออีกตัวอย่างของคนเชื้อสายเอเชียที่ “ไม่รอคิว” แต่ลงมือสร้างงานเอง เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าเวลาไปแคสต์บท “เอเชีย” ก็โดนมองว่าไม่เอเชียพอ พอไปบทฝรั่งขาวก็โดนว่าไม่ขาวพอ เลยเลือกทำโปรเจกต์ที่เล่าเรื่องแบบที่เขาเป็นจริง ๆ แทน
บุ๋ม ปนัดดา เคาะ Top 3 มิสยูนิเวิร์ส 2025 วีนา ปวีนา ตัวแทนไทยติดโผเข้าชิง
The Opening Act: จดหมายรักถึงอาชีพสแตนด์อัพ
หลังจากเล่นตลกบนเวทีมานานกว่า 20 ปี สตีฟขยับไปสู่บทบาทใหม่ในปี 2020 กับการเป็นผู้กำกับหนังยาว ครั้งแรกในเรื่อง The Opening Act
เรื่องนี้เขาทำทั้งเขียนบทและกำกับ เล่าเรื่อง วิล ชู ชายหนุ่มสายออฟฟิศที่ฝันอยากเป็นคอมเมเดียนเต็มตัว แล้วได้โอกาสไปเป็นเอ็มซีเปิดโชว์ให้ฮีโร่ในดวงใจ ความวุ่นวายจึงเริ่มตั้งแต่เวทีที่เต็มไปด้วยเฮคเลอร์ ขี้เมา ไปจนถึงดีเจรายการวิทยุเช้าสายหน้างอที่เอาใจอยากได้แต่มุกแรง ๆ
หนังได้ Jimmy O. Yang, Cedric the Entertainer, Bill Burr, Whitney Cummings, Ken Jeong, Russell Peters ฯลฯ มารวมตัวกันอย่างกับงานเลี้ยงรุ่นวงการคอมเมดี้ และได้คำวิจารณ์จากหลายสำนักว่าเป็นหนึ่งในหนังที่เล่า “ชีวิตจริงหลังไมค์ของคอมเมเดียน” ได้ตรงและเจ็บจี๊ดที่สุดเรื่องหนึ่งในยุคหลัง ๆ
สื่อสายหนังบางเจ้าเรียกมันว่า “จดหมายรักถึงสแตนด์อัพ” เพราะสตีฟไม่ได้แต่งเติมความสำเร็จให้ดูสวยงามเกินจริง แต่พาไปดูความอึดอัด เขิน เป๋ และการต้องหาเสียงของตัวเองท่ามกลางเวทีที่พร้อมโห่คุณได้ทุกวินาที

ติดตาม The Thaiger บน Google News:





