ข่าวกีฬา

สรุปดราม่า เปตองซีเกมส์ โดนแบนห้ามจัด เกิดอะไรขึ้น เกี่ยวอะไรกับทุจริตเลือกตั้ง

สรุปดราม่า เปตองซีเกมส์ 2025 สหพันธ์เปตองโลกสั่งแบนห้ามจัดแข่งในไทย สาเหตุจากปัญหาทุจริตเลือกตั้งนายกสมาคมฯ กระทบนักกีฬาทั้งชาติ ใครถูกใครผิด

วิเคราะห์ประเด็นสำคัญจากข่าว

เรื่องราวที่น่าเศร้าที่สุดเรื่องหนึ่งของวงการกีฬาไทยในรอบปี กีฬาเปตอง ซึ่งเป็นกีฬาความหวังเหรียญทองของไทยมาตลอด กำลังจะถูกถอดออกจากการแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพใน 9-20 ธันวาคม 2568 นี้

ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากความไม่พร้อมของนักกีฬา แต่เกิดจากความขัดแย้งของผู้ใหญ่ในสมาคมฯ ที่บานปลายจนกลายเป็นเรื่องระดับนานาชาติ สุดท้าย คนที่ต้องรับผลกระทบทั้งหมด คือนักกีฬาที่ฝึกซ้อมมาทั้งชีวิต

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นอย่างไร ไทยเกอร์กีฬาจะไล่เรียงให้เข้าใจอย่างชัดเจน

เดือนพฤศจิกายน 2566 สมาคมกีฬาเปตองแห่งประเทศไทยฯ มีการเลือกตั้งนายกสมาคมคนใหม่ ผลปรากฏว่า นาวาโท สุทธิโรจน์ ประพันธ์พัฒ อดีตผู้ฝึกสอนทีมชาติ ได้รับคะแนนเสียงท่วมท้นถึง 72 จาก 90 เสียง ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกสมาคมฯ และได้รับการรับรองจากการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.)

ประวัติ นาวาโท สุทธิโรจน์ ประพันธ์พัฒ อายุ 58 ปี อยู่ในวงการเปตองไทยมา 20 ปี เริ่มมาตั้งแต่เป็นผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย พาทีมเปตองไทยคว้าแชมป์โลก, แชมป์เอเชีย, เหรียญทองซีเกมส์ เหรียญทองกีฬาเอเชียนบีชเกมส์มาแล้ว การันตีผลงาน จนเข้าตาต่างชาติให้เป็นโค้ชกับทีมชาติเมียนมาและฟิลิปปินส์ ทำหน้าที่ผู้ตัดสิน แวิทยากรอบรมให้กับผู้ฝึกสอนและผู้ตัดสินในประเทศไทยมาแล้ว

แต่ชัยชนะครั้งนี้กลับไม่ราบรื่น เมื่อมีกลุ่มบุคคลในวงการเปตอง ออกมาตั้งข้อสังเกตถึงความไม่โปร่งใสของกระบวนการเลือกตั้ง อ้างว่ามี “ชมรมผี” หรือชมรมที่ไม่มีสมาชิก ไม่มีสนามแข่งขัน ขาดการจ่ายค่าบำรุงมานานหลายปี แต่กลับมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงได้

กลุ่มผู้ร้องเรียนไม่ได้หยุดแค่การวิจารณ์ในประเทศ แต่ได้ส่งเรื่องฟ้องร้องไปยัง สหพันธ์เปตองนานาชาติ (FIPJP) โดยตรง พร้อมกล่าวหาว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีการทุจริต นายกสมาคมฯ คนใหม่ได้ตำแหน่งมาอย่างไม่เป็นธรรม

ปรากฎว่า สหพันธ์เปตองนานาชาติรับเรื่องและดำเนินการตรวจสอบ ก่อนจะมีคำตัดสินที่เฉียบขาดออกมาว่า ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ที่กกท.รับรอง อ้างว่าพบความไม่โปร่งใสจริง และมีคำสั่งลงโทษ นาวาโท สุทธิโรจน์ ห้ามยุ่งเกี่ยวกับวงการเปตองตลอดชีวิต

พร้อมกันนั้น สหพันธ์ฯ ได้สั่งระงับสถานภาพสมาชิกของสมาคมกีฬาเปตองแห่งประเทศไทยฯ ส่งผลให้ไทยไม่สามารถส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติ หรือจัดการแข่งขันใดๆ ที่สหพันธ์ฯ รับรองได้

แน่นอนว่า นาวาโท สุทธิโรจน์ ยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเอง ปฏิเสธที่จะลาออกจากตำแหน่ง โต้แย้งว่าเรื่องนี้เป็นความขัดแย้งภายในของกลุ่มอำนาจเก่าที่ไม่พอใจผลการเลือกตั้ง การนำเรื่องภายในประเทศไปฟ้ององค์กรระดับโลกเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม สถานการณ์จึงเข้าสู่ทางตัน

เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้กีฬาเปตองสามารถจัดการแข่งขันในซีเกมส์ได้ คณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ ได้จัดตั้ง คณะกรรมการกลาง ขึ้นมา โดยมี พล.อ.มังกร โกสิทธรเสนีย์ เป็นประธาน เพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการและคัดเลือกนักกีฬาแทนสมาคมฯ ที่ถูกแบนชั่วคราว ในตอนแรกดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ดี สหพันธ์ฯ ก็เห็นชอบด้วย

แต่ปัญหาใหม่ก็เกิดขึ้น เมื่อมาถึงเรื่อง “เงินเบี้ยเลี้ยงนักกีฬา”

ตามกฎหมายของการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) การเบิกจ่ายเงินสนับสนุนหรือเบี้ยเลี้ยงนักกีฬา จะต้องทำผ่านสมาคมกีฬาที่จดทะเบียนอย่างเป็นทางการเท่านั้น ไม่สามารถโอนให้คณะกรรมการกลาง หรือตัวนักกีฬาโดยตรงได้ นั่นหมายความว่า หากจะจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้นักกีฬาเปตอง เงินจะต้องผ่านสมาคมฯ ที่มี นาวาโท สุทธิโรจน์ เป็นนายกสมาคมฯ อยู่ ซึ่งเป็นบุคคลที่สหพันธ์เปตองนานาชาติสั่งแบนตลอดชีวิต

จดหมายฉบับสุดท้าย ปิดฉากเปตองในซีเกมส์

ล่าสุด นายโคลด อาเซมา ประธานสหพันธ์เปตองนานาชาติ ได้ส่งจดหมายตรงถึงคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ ยืนยันชัดเจนว่า ไม่อนุญาตให้มีการจัดการแข่งขันกีฬาเปตองในซีเกมส์ ครั้งที่ 33

เนื้อหาในจดหมายระบุว่า สหพันธ์ฯ ไม่สามารถทนให้กีฬาเปตองถูกนำไปใช้ประโยชน์โดยบุคคลที่ขาดความชอบธรรมได้อีกต่อไป และเพื่อเป็นการป้องกันขั้นเด็ดขาด สหพันธ์ฯ ได้ประกาศคาดโทษว่า หากชาติใดในอาเซียนส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันเปตองในซีเกมส์ครั้งนี้ จะถูกลงโทษแบนจากการแข่งขันระดับนานาชาติทุกรายการเป็นเวลา 2 ปี

คำประกาศนี้ถือเป็นการปิดประตูการแข่งขันเปตองในซีเกมส์อย่างสิ้นเชิง เพราะไม่มีชาติใดอยากเสี่ยงถูกแบนจากรายการใหญ่ระดับโลก

ท้ายที่สุดแล้ว มหากาพย์ความขัดแย้งที่เกิดจากการต่อสู้ทางการเมืองและผลประโยชน์ภายในสมาคมฯ ได้ส่งผลกระทบที่รุนแรงที่สุดต่อนักกีฬา พวกเขาฝึกซ้อมอย่างหนักมานานหลายปี เพื่อหวังจะสร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาติในการแข่งขันซีเกมส์บนแผ่นดินเกิด แต่ความฝันทั้งหมดกลับต้องพังทลายลง เพราะปัญหาที่พวกเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแม้แต่น้อย

นี่คือบทเรียนราคาแพงของวงการกีฬาไทย ที่แสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งของผู้มีอำนาจ สามารถทำลายอนาคตของนักกีฬาทั้งชาติได้ในพริบตา ตราบใดที่ปัญหานี้ยังไม่ถูกแก้ไข วงการเปตองไทยก็ยังคงต้องอยู่ในความมืดมนต่อไป

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

Aindravudh

นักเขียนประจำ Thaiger มีประสบการณ์เขียนข่าวมากกว่า 5 ปี จบการศึกษาด้านภาษาและประวัติศาสตร์ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความสนใจ ประเด็นความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง เจาะประเด็นข่าวทางสังคม ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องแบบย่อยง่าย อย่างงานเขียนสร้างสรรค์ สั้น กระชับ จับทุกประเด็น หัวข้อที่เชียวชาญคือเรื่องไลฟ์สไตล์ เลขเด็ด หวยรัฐบาลไทย หวยลาว ช่องทางติดต่อ vajara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button