
ในศาสตร์แห่งการปรุงอาหาร ดอกไม้หลายคนมักคิดว่าใช้เพียงแค่ตกแต่งจานให้สวยงาม เสริมอาหารหลักให้ดูน่ากิน แต่ไม่ค่อยมีใครจะกล้ากินกลีบดอกไม้เท่าไหร่ แต่รู้หรือไม่ว่า จริงๆ แล้ว ดอกไม้ เป็นวัตถุดิบที่มีบทบาทในวัฒนธรรมอาหารของหลายประเทศ ทั้งในฐานะรสชาติ สมุนไพร และสัญลักษณ์ของฤดูกาล
ดอกไม้กินได้ประเทศไทย คนไทยใช้ดอกไม้ในการประกอบอาหารมาตั้งแต่โบราณ ไม่ว่าจะเป็นดอกแคในแกงส้ม ดอกขจรผัดไข่ หรือดอกอัญชันในข้าวแช่ น้ำสมุนไพรดอกอัญชัน กลีบดอกไม่เพียงเพิ่มรสสัมผัส สร้างสีม่วงสดใสให้น่ากิน แต่ยังช่วยดับพิษตามตำรับยาไทย
ญี่ปุ่น มีเมนู ซากุระดอง (Sakura no Shiozuke) ดอกไม้หมักเกลือที่ชาวญี่ปุ่นใช้ในขนมโมจิหรือชงชาดื่ม กลีบดอกซากุระจะถูกเก็บเกี่ยวอย่างพิถีพิถันในช่วงเวลาสั้นๆ ของปี แล้วนำมาดองในน้ำเกลือและน้ำส้มบ๊วย (umezu) เพื่อรักษาทั้งสี กลิ่น และรสเปรี้ยวเค็มอ่อนๆ อันเป็นเอกลักษณ์
ดอกซากุระดองนี้นิยมนำมาใช้ในขนมหวานญี่ปุ่น เช่น ซากุระโมจิ (ขนมโมจิห่อใบซากุระ) ขนมวาราบิโมจิหน้าดอกไม้ รวมถึงใช้ลอยหน้าใน ชาเขียวหรือชาใส (ซากุระยู) ซึ่งมักเสิร์ฟในพิธีแต่งงานหรือโอกาสพิเศษ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นที่งดงาม
ฝรั่งเศส ดอกลาเวนเดอร์ ดอกกุหลาบถูกนำมาใช้ในขนมฝรั่งเศส เช่นมาการองและชีสเค้ก ดอกไม้เหล่านี้ยังเป็นหนึ่งในส่วนผสมของชา กลิ่นหอมละมุนช่วยเพิ่มมิติให้กับรสชาติอาหาร
8 ดอกไม้กินได้ ตำรับไทยโบราณ ในฐานะสมุนไพร เครื่องปรุง บำรุงร่างกาย
ในตำราแพทย์แผนไทย กลีบดอกไม่ใช่แค่ของประดับฟุ่มเฟือย เหี่ยวแล้วทิ้ง แต่เป็นวัตถุดิบที่มีคุณสมบัติทางยา ตัวอย่างเช่น
1. ดอกอัญชัน: บำรุงสายตา ช่วยให้ผมดกดำ ใช้แต่งสีข้าวและขนมไทย อุดมด้วยสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
2. ดอกเข็ม: แก้พิษไข้ตามตำรา ใช้แต่งหน้าขนมเพื่อเพิ่มความขลังในพิธีกรรม
3. ดอกพุด: มีฤทธิ์เย็น แก้ร้อนใน ใช้ประดับอาหารมงคล เช่น ข้าวแช่ หรือของหวานไทย
4. ดอกแคบ้าน: เช่น แกงส้มดอกแค, ดอกแคชุบแป้งทอด หรือลวกจิ้มน้ำพริก ใช้บรรเทาอาการไข้ที่เกิดจากการเปลี่ยนฤดู ช่วยในการขับถ่าย ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
5. ดอกมะลิ: ใช้ลอยน้ำดื่มให้มีกลิ่นหอมชื่นใจ อบขนมไทยต่างๆ และเป็นส่วนประกอบสำคัญใน “ยาหอม” ตำรับยาไทย
6. บัวหลวง: เกสรตัวผู้ นิยมนำมาตากแห้งแล้วบดเป็นผง ใช้เข้าตำรับยาต่างๆ เช่น ยาหอม และยาลม ช่วยบรรเทาอาการไข้ แก้ลมวิงเวียน ช่วยแก้อาการท้องเสีย
7. ดอกคำฝอย: นิยมนำดอกแก่ที่ตากแห้งแล้วมาชงเป็นชาดื่ม หรือใช้เป็นสีผสมอาหารให้มีสีเหลืองส้ม มีรสหวานอุ่น ช่วยบำรุงเลือด ระบบไหลเวียนโลหิต ช่วยป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด ขับระดู แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ
8. หัวปลี: ส่วนที่เป็นดอกของต้นกล้วย นิยมนำมาปรุงอาหาร เช่น ยำหัวปลี ทานสดกับผัดไทย หรือใส่ในแกงเลียง สารแทนนินในหัวปลีมีส่วนช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหาร มีธาตุเหล็กสูง ช่วยป้องกันภาวะโลหิตจาง
อ่านบทความอื่นๆ : 3 เมนูอาหาร ใกล้ตัว ปนเปื้อน “ไมโครพลาสติก” สูงมาก มีคู่ครัวไทย
10 เมนูฟิวชันสุดสร้างสรรค์จาก ดอกไม้กินได้ เมนู Plant-Based ที่ไม่เพียงสวยแต่กินได้จริง
1. ข้าวไรซ์เบอร์รี่อัญชันกับซอสมะม่วงขมิ้นและดอกไม้กินได้
เมนูนี้ดึงเสน่ห์ของสีธรรมชาติจากดอกอัญชัน ผสานรสเปรี้ยวหวานของมะม่วง และกลิ่นหอมของขมิ้นเข้ากับข้าวไรซ์เบอร์รี่ เสิร์ฟพร้อมดอกกินได้หลากสีสันเพื่อเติมเต็มทั้งรสชาติและความงาม
วัตถุดิบ (สำหรับ 2 ที่)
- ข้าวไรซ์เบอร์รี่ 1 ถ้วย
- น้ำดอกอัญชันเข้มข้น ½ ถ้วย (ใช้อัญชันแห้ง 10 ดอก ต้มกับน้ำร้อน)
- มะม่วงสุก 1 ผล (ปอกเปลือก หั่นเต๋า)
- ขมิ้นสด 1 ช้อนชา (ขูดละเอียด)
- น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำผึ้งหรือน้ำตาลมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ
- เกลือเล็กน้อย
- ดอกไม้กินได้สำหรับตกแต่ง เช่น ดอกดาวเรือง ดอกเข็ม ดอกเฟื่องฟ้า ดอกอัญชันสด อย่างละเล็กน้อย
- ใบสะระแหน่หรือโหระพาสดเล็กน้อย
วิธีทำ
เตรียมข้าวอัญชัน
- ซาวข้าวไรซ์เบอร์รี่ให้สะอาด เติมน้ำดอกอัญชันลงไป (สามารถเติมน้ำเปล่าเพิ่มได้เล็กน้อยให้พอท่วมข้าว)
- หุงในหม้อหุงข้าวตามปกติ เมื่อสุกจะได้ข้าวสีม่วงเข้ม มีกลิ่นอ่อน ๆ ของดอกอัญชัน
ซอสมะม่วงขมิ้น
- ใส่มะม่วงหั่นเต๋า ขมิ้นสด น้ำมะนาว น้ำผึ้ง และเกลือ ลงในโถปั่น
- ปั่นจนเนียนเป็นซอส หากข้นเกินไป ให้เติมน้ำเล็กน้อย
- ชิมรสให้ได้เปรี้ยวหวานกลมกล่อม
จัดจาน
- ตักข้าวไรซ์เบอร์รี่อัญชันใส่จาน ราดด้วยซอสมะม่วงขมิ้น
- ตกแต่งด้วยดอกไม้กินได้สีสันต่าง ๆ จัดเรียงให้สวยงามตามจินตนาการ
- วางใบสะระแหน่หรือโหระพาเพิ่มกลิ่นหอมสดชื่น
2. ยำดอกไม้สมุนไพร กับน้ำยำมะกรูดสด
เมนูไทยประยุกต์ที่ใช้ดอกไม้ไทยแท้ เช่น ดอกอัญชัน ดอกเข็ม ดอกดาหลา และดอกแค ลวกให้พอสุก แล้วคลุกเคล้ากับน้ำยำรสจัดจ้านจากน้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บ น้ำปลา (หรือน้ำซีอิ๊วขาวสำหรับเวอร์ชันวีแกน) และน้ำมะกรูดคั้นสด โรยถั่วลิสงคั่วและพริกแห้งทอดเพื่อเพิ่มมิติของรสสัมผัส
วัตถุดิบหลัก
- ดอกไม้กินได้หลากชนิด 2 ถ้วย
- น้ำมะกรูด 3 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำปลา/ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
- พริกขี้หนูสับ, ถั่วลิสง, หอมเจียว
3. สลัดผักร็อกเก็ตกับดอกลาเวนเดอร์อบแห้งและถั่วพิสตาชิโอ
เมนูสลัดนี้ผสมผสานกลิ่นหอมหวานของ ลาเวนเดอร์ กับรสขมนุ่มของ ผักร็อกเก็ต และความมันกรุบจาก ถั่วพิสตาชิโอ กลายเป็นจานเรียกน้ำย่อยแสนละเมียด เหมาะกับมื้อเบา ๆ หรือเสิร์ฟเป็นจานแรกในมื้อค่ำสุดพิเศษ
วัตถุดิบ
- ผักร็อกเก็ต 2 ถ้วย
- ดอกลาเวนเดอร์อบแห้ง 1 ช้อนชา
- น้ำเลมอน 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
- พิสตาชิโอคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
เตรียมน้ำสลัด
ใส่น้ำเลมอน น้ำมันมะกอก น้ำผึ้ง เกลือ และพริกไทย ลงในถ้วยเล็ก ใช้ตะกร้อมือเล็ก ๆ หรือส้อมตีให้เข้ากันดี จนน้ำสลัดมีลักษณะข้นเล็กน้อยและกลิ่นหอมสดชื่น
เตรียมจานสลัด
- ล้างผักร็อกเก็ตให้สะอาด สะเด็ดน้ำให้แห้งสนิท (แนะนำให้ใช้กระดาษซับน้ำเพื่อให้ไม่เจือจางน้ำสลัด)
- ใส่ผักลงชามผสมใหญ่
- โรยถั่วพิสตาชิโอที่บดหยาบไว้
- ใส่ดอกลาเวนเดอร์อบแห้ง (ควรบดเบา ๆ ด้วยมือก่อน เพื่อกระตุ้นกลิ่นหอม)
คลุกเคล้าและเสิร์ฟ
- ราดน้ำสลัดที่เตรียมไว้ลงบนผัก
- คลุกเบา ๆ ให้ทั่วด้วยมือหรือที่คีบสลัด
- จัดลงจานเสิร์ฟ โรยหน้าด้วยดอกลาเวนเดอร์เพิ่มอีกนิด และพิสตาชิโอเล็กน้อยเพื่อความสวยงาม
เคล็ดลับเพิ่มเติม หากต้องการเพิ่มรสชาติหรือความมัน สามารถเสิร์ฟคู่กับชีสวีแกนแบบครีม หรือใส่อะโวคาโดหั่นเต๋า ใช้ลาเวนเดอร์แบบ edible grade เท่านั้น และไม่ควรใส่เยอะเกินไป เพราะกลิ่นอาจแรงจนกลบรสผัก
4. ซุปเย็นดอกกุหลาบกับอัลมอนด์น้ำนม
เมนูที่ได้แรงบันดาลใจจากอาหารเมดิเตอร์เรเนียน ผสมกลิ่นหอมของกลีบกุหลาบสดกับความมันของนมอัลมอนด์ ปั่นรวมกับขนมปังฝรั่งเศสและน้ำมันมะกอก เสิร์ฟเย็นพร้อมแตงกวาสับและดอกกุหลาบโรยหน้า
วัตถุดิบ (สำหรับ 2 ที่)
- น้ำนมอัลมอนด์ 1 ถ้วย (250 มล.) — เลือกชนิดไม่หวาน
- ดอกกุหลาบอบแห้งเกรดกินได้ (หรือกุหลาบสดปลอดสาร) 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำกุหลาบ (rose water) 1 ช้อนชา
- น้ำผึ้งหรือเมเปิลไซรัป 1 ช้อนชา (ปรับลด-เพิ่มตามชอบ)
- เกลือชมพู เล็กน้อย (ประมาณ 1/8 ช้อนชา)
- อัลมอนด์ขูดหรือบดละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
- กลีบกุหลาบสดสำหรับตกแต่งเล็กน้อย
- น้ำแข็งก้อนเล็กหรือน้ำเย็นจัด สำหรับแช่ซุป
วิธีทำ
เตรียมน้ำนมกลิ่นกุหลาบ
- ต้มน้ำนมอัลมอนด์ให้พออุ่น ๆ (ไม่ต้องเดือด) แล้วใส่ดอกกุหลาบอบแห้งลงไป
- ปิดไฟ แล้วปล่อยให้น้ำนมซึมกลิ่นกุหลาบประมาณ 10 นาทีฃ
- กรองเอาดอกกุหลาบออก เหลือแต่น้ำนมสีชมพูจางและกลิ่นหอมอ่อน ๆ
ปรุงรสซุป
- ใส่น้ำผึ้ง (หรือเมเปิลไซรัป), น้ำกุหลาบ, เกลือ และอัลมอนด์บดละเอียดลงในน้ำนม
คนให้เข้ากันดี - จากนั้นนำเข้าตู้เย็นอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อให้ซุปเย็นจัดและรสเข้าที่
จัดเสิร์ฟ
- เทซุปเย็นลงในถ้วยเสิร์ฟใส
- โรยหน้าด้วยกลีบกุหลาบสด (ปลอดสาร) และอัลมอนด์สไลซ์เพิ่มเล็กน้อย
- สามารถวางถ้วยซุปบนถาดน้ำแข็งเพื่อคงความเย็นระหว่างเสิร์ฟ
เคล็ดลับเสริมความละมุน หากอยากให้ซุปมีเนื้อสัมผัสข้นขึ้นเล็กน้อย ให้ใส่กล้วยหอมแช่แข็งลงปั่นพร้อมอัลมอนด์เล็กน้อยก่อนกรอง เปลี่ยนจากน้ำนมอัลมอนด์เป็น “นมแมคคาเดเมีย” หรือ “นมข้าว” ได้เช่นกัน
ทำไมต้องซุปเย็น?
ในวัฒนธรรมอาหารยุโรปตอนใต้ เช่น สเปนหรือฝรั่งเศส ซุปเย็น (cold soup) เป็นเมนูเรียกน้ำย่อยที่นิยมในฤดูร้อน ช่วยปลุกประสาทรับรสให้สดชื่นก่อนอาหารจานหลัก และในฉบับนี้ ดอกกุหลาบถูกนำมาแปลงโฉมให้เป็นกลิ่นหอมบำบัดที่กินได้ สะท้อนความงามในจานที่สัมผัสได้ด้วยทั้งตา จมูก และลิ้น
อ่านบทความอื่นๆ : แพทย์หญิงป่วยมะเร็ง 2 หน เผยเป็นเพราะอาหารเช้าเมนูนี้ หลายคนกินทุกวัน
5. ขนมจีนน้ำยาแกงส้มดอกแค
เมนู “ขนมจีนน้ำยาแกงส้มดอกแค” เป็นอาหารไทยพื้นบ้านที่ผสานความกลมกล่อมของเครื่องแกงส้มกับรสขมนิด ๆ และสัมผัสกรอบนุ่มของ “ดอกแค” ได้อย่างลงตัว เหมาะทั้งสำหรับมื้อกลางวันในฤดูหนาวหรือฤดูฝนที่ดอกแคออกดอกชุกชุม และยังให้คุณค่าทางสมุนไพรแก่ร่างกายด้วย
วัตถุดิบ (สำหรับ 3-4 ที่)
สำหรับน้ำแกงส้ม
- พริกแกงส้ม 2 ช้อนโต๊ะ (ตำเองหรือใช้แบบสำเร็จรูปก็ได้)
- น้ำสต๊อกปลา/หมู/ไก่ หรือ น้ำเปล่า 4 ถ้วย
- เนื้อปลาช่อนนึ่งสุก 150 กรัม (แกะเอาแต่เนื้อ)
- น้ำมะขามเปียก 3 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำปลา 2-3 ช้อนโต๊ะ (ตามชอบ)
- เกลือ เล็กน้อย
ส่วนผัก
- ดอกแคเด็ดเอาเกสรออก ล้างสะอาด 1 ถ้วย (ประมาณ 150 กรัม)
- มะละกอดิบขูดฝอย (ถ้ามี เพิ่มรสสัมผัส) ½ ถ้วย
- ถั่วฝักยาวหั่นท่อน ½ ถ้วย (ไม่ใส่ก็ได้)
เส้นและเครื่องเคียง
- ขนมจีนเส้นสด 1 กิโลกรัม
- ผักสด เช่น ถั่วงอก ใบแมงลัก แตงกวา ไข่ต้ม (ตามชอบ)
วิธีทำ
เตรียมน้ำแกงส้ม
- ตั้งหม้อ ใส่น้ำสต๊อก (หรือน้ำเปล่า) พอเดือด ใส่พริกแกงส้มลงไปคนให้ละลาย
- ใส่เนื้อปลาช่อนลงไปต้มจนเดือดอีกครั้ง จากนั้นใช้ทัพพีบดให้เนื้อปลาแตกละเอียดเข้ากับน้ำแกง
- ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ น้ำปลา ชิมรสให้ออกเปรี้ยวนำ เผ็ดตาม หวานเล็กน้อย
ลวกผัก
- ลวกดอกแคในน้ำเดือด (ใส่เกลือเล็กน้อย) ประมาณ 1 นาที แล้วช็อกด้วยน้ำเย็นเพื่อคงความเขียวและไม่ขม
- ถ้าจะใส่มะละกอหรือถั่วฝักยาว ให้นำลงต้มพร้อมน้ำแกงประมาณ 3-5 นาที
ผสมน้ำยา
- ใส่ดอกแคที่ลวกแล้วลงไปในน้ำแกง ต้มต่ออีกประมาณ 2 นาที ปิดไฟ
จัดเสิร์ฟ
- วางขนมจีนลงจาน ราดด้วยน้ำยาแกงส้มดอกแค
- เสิร์ฟพร้อมผักสดหรือไข่ต้มตามชอบ
จุดเด่นของเมนูนี้ ดอกแค เป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้าน ช่วยลดความร้อนในร่างกาย มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง และมีรสขมนิด ๆ ที่ช่วยกระตุ้นน้ำย่อยได้ดี น้ำยาแกงส้มสามารถประยุกต์ใช้กับเนื้อสัตว์อื่น เช่น กุ้ง ปลาทูนึ่ง หรือไม่ใส่เนื้อเลยก็ยังได้กลิ่นรสอร่อยครบถ้วนในแบบ Plant-Based
6. ขนมปังดอกอัญชันกับครีมมะพร้าวสด
ของหวานสายเฮลตี้ที่ผสมผสานความนุ่มของขนมปังโฮมเมดกับกลิ่นหอมและสีม่วงธรรมชาติจากดอกอัญชัน พร้อมราดด้วยครีมมะพร้าวสดหอมมัน ให้รสละมุนชวนฝัน เหมาะสำหรับเสิร์ฟเป็นของหวาน หรือเป็นของว่างยามบ่ายคู่กับชาไทยหรือชาเขียว
วัตถุดิบ (สำหรับขนมปัง 1 ปอนด์ + ครีมราด)
ส่วนผสมขนมปังดอกอัญชัน
- แป้งขนมปัง 250 กรัม
- น้ำอัญชันเข้มข้น (จากดอกอัญชันสดหรือตากแห้ง) 150 มล.
- ยีสต์แห้ง 1 ช้อนชา
- น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
- เกลือ ¼ ช้อนชา
- น้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
ส่วนผสมครีมมะพร้าวสด
- หัวกะทิสด 200 มล.
- น้ำตาลมะพร้าว 1½ ช้อนโต๊ะ
- เกลือ เล็กน้อย
- แป้งข้าวเจ้า 1 ช้อนโต๊ะ (ละลายน้ำ)
- ใบเตย 2 ใบ (มัดเป็นปม)
วิธีทำ
ทำขนมปังดอกอัญชัน
- เตรียมน้ำอัญชัน
- ต้มดอกอัญชัน 10–15 ดอกในน้ำประมาณ 200 มล. พอเดือดแล้วกรองเอาแต่น้ำ ทิ้งไว้ให้เย็น
ผสมแป้ง
- ร่อนแป้งใส่อ่างผสม เติมยีสต์ น้ำตาล และเกลือลงไป คนให้เข้ากัน
- ค่อย ๆ เติมน้ำอัญชันลงไปทีละน้อย ขณะนวดแป้ง ใส่น้ำมันลงตอนท้ายแล้วนวดต่ออีก 10–15 นาที จนแป้งเนียนไม่ติดมือ
พักแป้ง
ปิดอ่างด้วยผ้าชุบน้ำหมาด ๆ พักแป้งไว้ประมาณ 1–1.5 ชั่วโมง หรือจนขึ้นฟูเป็น 2 เท่า
ขึ้นรูป-อบ
- นำแป้งมาชกไล่ลม แล้วขึ้นรูปใส่พิมพ์ พักไว้ 30 นาที
- อบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ประมาณ 25–30 นาที หรือจนสุกและผิวเหลืองหอม
ทำครีมมะพร้าวสด
- เทหัวกะทิใส่หม้อ ใส่น้ำตาลมะพร้าว เกลือ และใบเตย
- ยกขึ้นตั้งไฟกลาง เคี่ยวจนกะทิเริ่มเดือด
- เติมแป้งข้าวเจ้าที่ละลายน้ำไว้ลงไป คนให้เหนียวข้นเป็นครีม
- ปิดไฟ พักไว้ให้เย็นลงเล็กน้อยก่อนราด
เสิร์ฟ
- หั่นขนมปังเป็นแผ่นหนา
- ราดครีมมะพร้าวสดอุ่น ๆ หรือแช่เย็นลงไป
- แต่งจานด้วยกลีบดอกอัญชันสด มะพร้าวขูด หรือถั่วแมคคาเดเมียบดหยาบ
จุดเด่นของเมนูนี้ ดอกอัญชันมีสารแอนโทไซยานินสูง ช่วยต้านอนุมูลอิสระและบำรุงสายตา ขนมปังมีสีฟ้าม่วงจากธรรมชาติ ไม่มีสีผสมอาหาร ครีมมะพร้าวสดให้รสหวานละมุนโดยไม่ต้องพึ่งนมวัว เหมาะกับผู้กิน Plant-Based หรือผู้แพ้นม
7. พิซซ่าดอกไม้กับซอสพริกหวาน
ยกระดับความคิดสร้างสรรค์ของอาหารจานด่วนที่เราคุ้นเคยอย่างพิซซ่า ให้กลายเป็นเมนูที่สวยงาม สดใส เป็นมิตรกับสุขภาพ โดยใช้ดอกไม้กินได้ หลากหลายชนิดแทนหน้าพิซซ่าปกติ ผสมผสานกับซอสพริกหวานโฮมเมดที่มีรสเผ็ดอมหวาน ทำให้เมนูนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับสาย Plant-Based และคนรักอาหารที่มีความงามเป็นส่วนหนึ่งของรสชาติ
วัตถุดิบ (สำหรับพิซซ่าขนาด 10 นิ้ว 1 ถาด)
ส่วนผสมแป้งพิซซ่า
- แป้งสาลีอเนกประสงค์ 250 กรัม
- ยีสต์แห้ง 1 ช้อนชา
- น้ำอุ่น 150 มล.
- น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
- เกลือ ½ ช้อนชา
- น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ
ส่วนผสมซอสพริกหวาน
- พริกหวานแดงหั่นเต๋า 1 ลูก
- กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะฃ
- น้ำส้มสายชูหมักแอปเปิล 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
- เกลือ เล็กน้อย
- น้ำเปล่า 2–3 ช้อนโต๊ะ
ดอกไม้กินได้สำหรับหน้า
- ดอกอัญชัน
- ดอกแคบ้าน
- หัวปลี
- ดอกเข็ม
- ดอกกระเจียว (ฉีกกลีบ)
- ถั่วลันเตาหวานหั่นเฉียง หรือผักสลัดใบอ่อนเสริมสีเขียว
วิธีทำ
เตรียมแป้งพิซซ่า
- ละลายน้ำตาลกับยีสต์ในน้ำอุ่น พักไว้ 10 นาทีให้เกิดฟอง
- เทแป้งลงในอ่าง ใส่เกลือ คนให้เข้ากัน แล้วค่อย ๆ เติมน้ำยีสต์
- นวดจนแป้งเนียน นุ่ม และไม่ติดมือ
- คลุมด้วยผ้าชุบน้ำหมาด ๆ พักไว้ 1 ชั่วโมงจนขึ้นฟูเป็น 2 เท่า
- รีดแป้งให้เป็นแผ่นกลมหนา 0.5 ซม. วางบนถาดที่ทาแป้งหรือน้ำมันไว้
ทำซอสพริกหวาน
- ผัดกระเทียมกับน้ำมันเล็กน้อย ใส่พริกหวานลงไปผัดจนสุก
- เติมน้ำส้ม น้ำผึ้ง และเกลือ เคี่ยวให้ข้น
- ปั่นให้เนียนเป็นซอส หรือตีด้วยเครื่องปั่นมือถือ พักไว้
ประกอบพิซซ่า
- ทาซอสพริกหวานให้ทั่วแป้ง
- โรยถั่วลันเตาหวานหรือผักใบเขียว
- วางกลีบดอกไม้ให้กระจายอย่างสวยงามทั่วหน้า
- ราดน้ำมันมะกอกเล็กน้อยด้านบน
อบ
- นำเข้าเตาอบ 200°C ประมาณ 12–15 นาที หรือจนแป้งขอบกรอบ
- เสิร์ฟร้อนหรืออุ่น ๆ พร้อมเครื่องดื่มเย็น
8. ข้าวตอกน้ำกุหลาบโบราณ
ของหวานไทยในตำนาน สื่อถึงความประณีตของวัฒนธรรมการกินในอดีต เป็นเมนูที่เรียบง่ายแต่ซับซ้อนในกลิ่น รส สัมผัส ใช้วัตถุดิบหลักคือ ข้าวตอก หรือข้าวที่คั่วและดีดให้แตกกรอบ นำมาแช่ใน น้ำลอยดอกไม้ อย่างดอกกุหลาบมอญ พร้อมสมุนไพรหอมเย็น เช่น กระดังงาและมะลิ เป็นเมนูที่นิยมรับประทานในหน้าร้อน หรือใช้ต้อนรับแขกผู้ใหญ่ในงานพิธี
วัตถุดิบ (สำหรับเสิร์ฟ 2 ถ้วย)
ข้าวตอกคั่ว ½ ถ้วยตวง
น้ำสะอาด 1 ลิตร
ดอกกุหลาบมอญสด (ปลอดสาร) 3 ดอก
ดอกมะลิสด 10 ดอก
ดอกกระดังงา (หรือใบเตยหอม) 3 กลีบ
เทียนอบสำหรับรมกลิ่น (เทียนอบไทย) 1 เล่ม
น้ำเชื่อมจากน้ำตาลทราย ¼ ถ้วย (หรือปรับตามชอบ)
น้ำแข็งบด (ใส่ตอนเสิร์ฟ)
วิธีทำ
เตรียมน้ำอบลอยดอกไม้
- ต้มน้ำสะอาดให้เดือดแล้วพักไว้ให้เย็น
- ใส่ดอกกุหลาบ ดอกมะลิ และกระดังงาในโถที่ปิดสนิทได้
- วางเทียนอบจุดไฟไว้ที่ปากโถ (ระวังไฟ) แล้วปิดฝาทันทีเพื่อให้กลิ่นควันเทียนรมเข้าไปในน้ำ
- ทิ้งไว้ข้ามคืน น้ำจะมีกลิ่นหอมแบบโบราณ
เตรียมข้าวตอก
- ใช้ข้าวเหนียวเก่า นำไปคั่วบนกระทะแห้งจนแตกเป็นข้าวตอก
- ใส่ตะแกรงเขี่ยเศษข้าวที่ไหม้ออก ให้ได้แต่เม็ดที่สวยและกรอบ
- ล้างเบา ๆ เพื่อขจัดฝุ่น แล้วตากให้แห้งสนิท
ประกอบเมนู
- ผสมน้ำอบลอยดอกไม้กับน้ำเชื่อมตามชอบ
- ใส่น้ำแข็งบดในถ้วย
- โรยข้าวตอกลงไปตามชอบ แล้วเทน้ำหอมลงไปจนเต็มถ้วย
- แต่งหน้าด้วยกลีบดอกไม้บางเบาเพื่อเพิ่มความหรูหรา
9. ดอกไม้ชุบแป้งทอด กับ ซอสโยเกิร์ตถั่วลันเตา
จับคู่ระหว่างความกรอบหอมของดอกไม้กินได้ที่นำไปชุบแป้งแล้วทอด กับซอสโยเกิร์ตถั่วลันเตาเนื้อเนียนนุ่มที่มีรสเปรี้ยวสดชื่นแบบเมดิเตอร์เรเนียน เป็นเมนู Plant-Based ที่ให้สัมผัสหลากหลายทั้งกลิ่น รส และเนื้อสัมผัส เหมาะสำหรับเสิร์ฟเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย หรือจัดใส่จานรวมในเมนูฟิวชันสมัยใหม่
วัตถุดิบ (สำหรับ 2-3 ที่)
ดอกไม้ชุบแป้งทอด
- ดอกอัญชัน, ดอกโสน, ดอกเข็ม หรือดอกเฟื่องฟ้า (ที่กินได้) รวมกัน 1 ถ้วย
- แป้งทอดกรอบ ½ ถ้วย
- น้ำเย็นจัด ⅓ ถ้วย
- เกลือเล็กน้อย
- น้ำมันพืชสำหรับทอด
ซอสโยเกิร์ตถั่วลันเตา
- ถั่วลันเตาต้มสุก ½ ถ้วย
- โยเกิร์ตแบบ Plant-Based (เช่นจากมะพร้าวหรืออัลมอนด์) ½ ถ้วย
- น้ำเลมอน 1 ช้อนโต๊ะ
- กระเทียมบด 1 กลีบ
- เกลือและพริกไทยเล็กน้อย
- ใบมิ้นต์สดเล็กน้อย (ถ้ามี)
วิธีทำ
ดอกไม้ชุบแป้งทอด
- ล้างดอกไม้ให้สะอาดเด็ดเอาเฉพาะกลีบหรือส่วนที่รับประทานได้ แล้วผึ่งให้แห้ง
- ผสมแป้งทอดกรอบกับเกลือ และเติมน้ำเย็นจัดลงไป คนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อข้น
- ตั้งน้ำมันให้ร้อน (180°C) นำดอกไม้ชุบแป้งลงทอดให้เหลืองกรอบ
- ตักขึ้นพักบนกระดาษซับน้ำมัน
ซอสโยเกิร์ตถั่วลันเตา
- นำถั่วลันเตาต้มสุก โยเกิร์ต น้ำเลมอน กระเทียม และใบมิ้นต์ใส่เครื่องปั่น
- ปั่นจนเนื้อเนียนละเอียด ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทยตามชอบ
- แช่เย็นให้ซอสเซตตัวเล็กน้อยก่อนเสิร์ฟ
เสิร์ฟอย่างไรให้น่ากิน
- จัดดอกไม้ทอดบนจานแบบเรียงชั้น หรือเสียบไม้เล็ก ๆ ก็ได้
- เสิร์ฟพร้อมถ้วยซอสเย็นข้างจาน หรือราดเบา ๆ บนดอกไม้ทอด
- ตกแต่งด้วยถั่วลันเตาสด มะเขือเทศเชอร์รีผ่าครึ่ง และใบสมุนไพรเล็กน้อย
10. ซากุระชาเย็นกับน้ำเชื่อมบ๊วย
เครื่องดื่มเย็นสไตล์ฟิวชันที่ผสมผสานกลิ่นหอมอ่อนหวานของดอกซากุระหมักเกลือจากญี่ปุ่น เข้ากับความเปรี้ยวหวานซ่อนเค็มของน้ำเชื่อมบ๊วยแบบไทย ๆ ให้รสชาติที่ซับซ้อน นุ่มลึก ดื่มแล้วสดชื่น เหมาะกับฤดูร้อนหรือเสิร์ฟในช่วงบ่ายระหว่างมื้อ เป็นการจับคู่ของดอกไม้กับผลไม้หมักอย่างลงตัว และยังถ่ายรูปออกมาสวยงามอีกด้วย
วัตถุดิบ (สำหรับ 2 แก้ว)
- ดอกซากุระดองเกลือ (Sakura no Shiozuke) 2-3 ดอก
- น้ำร้อน 1 ถ้วย (250 มล.)
- ใบชาเขียวเซนฉะ หรือชาเขียวญี่ปุ่นชนิดอื่น 1 ช้อนชา (หรือใช้ถุงชาก็ได้)
- น้ำแข็งก้อนตามชอบ
- น้ำเชื่อมบ๊วย 3 ช้อนโต๊ะ
- บ๊วยดอง 1-2 ผล (ถ้ามี)
- น้ำเปล่าเล็กน้อย (สำหรับแช่ล้างดอกซากุระ)
- ดอกไม้กินได้หรือลูกพลัมสด (สำหรับตกแต่ง)
วิธีทำ
เตรียมดอกซากุระ
- ล้างเกลือออกจากดอกซากุระดองด้วยน้ำเย็น 1 รอบ แล้วแช่น้ำไว้ 10 นาที เพื่อให้รสชาติเกลือเบาลง
สะเด็ดน้ำแล้วผึ่งไว้
ชงชา
- ต้มน้ำให้ร้อนประมาณ 80°C แล้วนำใบชาเขียวลงแช่ 2-3 นาที กรองเอาแต่น้ำชา
- พักชาไว้จนเย็น จากนั้นนำไปแช่เย็นหรือใส่น้ำแข็งทันที
ผสมน้ำเชื่อมบ๊วย
- ผสมน้ำเชื่อมบ๊วยกับน้ำเปล่านิดหน่อย เพื่อให้เจือจางพอเหมาะ
- เทใส่แก้วตามชอบ แล้วเติมน้ำแข็งลงไป
จัดเสิร์ฟ
- เทชาเขียวเย็นลงในแก้วน้ำเชื่อมบ๊วยอย่างช้า ๆ ให้เกิดเป็นชั้นสี
- ใส่ดอกซากุระลอยด้านบน พร้อมบ๊วยดอง และตกแต่งด้วยดอกไม้กินได้หรือลูกพลัม
- เสิร์ฟพร้อมช้อนคนให้กลิ่นและรสชาติเข้ากันก่อนดื่ม
แม้ ดอกไม้กินได้ จะงดงาม เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจในงานอาหาร แต่ก็ต้องไม่ลืมข้อเท็จจริงสำคัญว่า ไม่ใช่ดอกไม้ทุกชนิดจะปลอดภัยสำหรับการกิน บางสายพันธุ์แม้จะดูสวยสะดุดตา แต่กลับมีสารพิษที่ส่งผลร้ายแรงต่อร่างกาย หรือผ่านกระบวนการเพาะปลูกที่ใช้สารเคมีตกค้างสูงโดยไม่ได้เตรียมไว้เพื่อการกิน
ผู้บริโภคจึงควรใส่ใจเลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น ฟาร์มเกษตรอินทรีย์ที่ผลิต “ดอกไม้เพื่อการบริโภค” โดยเฉพาะ ควรหลีกเลี่ยงการซื้อจากร้านดอกไม้ทั่วไป หรือเก็บจากข้างทาง เพราะอาจปนเปื้อนยาฆ่าแมลงหรือมลพิษในอากาศ ควรตรวจสอบชื่อและสายพันธุ์ของดอกไม้ให้แน่ชัด และศึกษาให้เข้าใจว่าแต่ละชนิดควรรับประทานแบบใด หรือมีข้อควรระวังอย่างไร
การกินดอกไม้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยหรือรสชาติ แต่คือความรู้และความรับผิดชอบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เป็นการตั้งคำถามกับตัวเองว่า ในทุกคำที่เรากินนั้น เราได้ “รู้จัก” ดอกไม้ดีพอแล้วหรือยัง
อ่านบทความอื่นๆ : 10 เมนูอาหารเย็น กินแล้วไม่อ้วน อิ่มท้องแถมแคลอรี่ต่ำ ถูกใจสายลดน้ำหนัก
ติดตาม The Thaiger บน Google News: