
กำแพงภาษีทรัมป์ พายุลูกใหม่เขย่าการค้าโลก และทางรอดของเศรษฐกิจไทย หลังทรัมป์ขึ้นภาษี 36%
(หมายเหตุ: บทวิเคราะห์นี้อ้างอิงจากข้อมูลสถานการณ์ ณ วันที่ 2 เมษายน 2568 )
นโยบาย อเมริกาต้องมาก่อน “America First” ภายใต้การนำของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่ววงการเศรษฐกิจโลกอีกคำรบ หลังประกาศใช้มาตรการ “ภาษีพื้นฐาน” (Baseline Tariff) 10% กับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศ ควบคู่ไปกับ “ภาษีต่างตอบแทน” (Reciprocal Tariff) ที่พุ่งเป้าไปยังประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าจำนวนมาก ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงท่าทีครั้งสำคัญในนโยบายการค้าระหว่างประเทศของมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลก
ประเด็นสำคัญที่นักเศรษฐศาสตร์ ผู้กำหนดนโยบายทั่วโลกต่างขบคิดคือ อะไรคือปัจจัยเบื้องหลังการตัดสินใจอันแข็งกร้าวนี้?สำหรับประเทศไทย ซึ่งถูกจัดอยู่ในกลุ่มโดนกำแพงภาษีสูงถึง 36% จะได้รับผลกระทบอย่างไร เราควรเตรียมพร้อมรับมือไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ
วิเคราะห์เบื้องหลัง ทำไมทรัมป์เลือกเส้นทางโหด ขึ้นภาษีดะประเทศทั่วโลก
หัวใจหลักของนโยบายทรัมป์คือความเชื่อที่ว่า การขาดดุลการค้าเป็นสิ่งเลวร้าย เปรียบเสมือนการที่สหรัฐฯ “ถูกปล้น” ทรัพยากรความมั่งคั่งโดยประเทศคู่ค้า การตั้งกำแพงภาษีจึงเป็นเครื่องมือตอบโต้ได้ผลที่สุด เพื่อทำให้สินค้านำเข้าราคาแพงขึ้น ลดความน่าดึงดูดใจของผู้บริโภคและผู้ผลิตชาวอเมริกัน โดยหวังว่าจะหันไปซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศแทน จะช่วยลดตัวเลขการขาดดุลการค้าลง กระตุ้นการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ตามคำกล่าวที่ว่า “นำอุตสาหกรรมอเมริกันกลับมา”
นโยบายนี้สอดคล้องกับฐานเสียงหลักของทรัมป์ หวังกระตุ้นเกมการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้แรงงานในภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศ และการแข่งขันจากสินค้าราคาถูก
การแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อประเทศคู่ค้า ปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศถือเป็นการทำตามสัญญาที่ให้ไว้ สร้างความพึงพอใจให้กับฐานเสียงกลุ่มนี้
ทรัมป์มองว่ากำแพงภาษีเป็นเครื่องมือทรงพลังในการเจรจาต่อรอง เพื่อบีบให้ประเทศคู่ค้าต้องยอมปรับเปลี่ยนนโยบายการค้าที่สหรัฐฯ มองว่าไม่เป็นธรรม เช่น การลดกำแพงภาษีของประเทศเหล่านั้นต่อสินค้าสหรัฐฯ หรือการเปิดตลาดให้สินค้าและบริการของสหรัฐฯ แม้ว่าหลักการคำนวณที่ประกาศออกมา เก็บครึ่งหนึ่งของอัตราภาษีที่ประเทศนั้นๆ เก็บจากสหรัฐฯ อาจดูไม่สอดคล้องกับตัวเลขที่ประกาศรายประเทศนัก ซึ่งอาจเป็นการตีความเชิงยุทธศาสตร์มากกว่าการคำนวณตามสูตรเป๊ะๆ
ทรัมป์ไม่พอใจชัดเจนต่อระบบการค้าพหุภาคีภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) เขามองว่าล้าสมัยและทำให้สหรัฐฯ เสียเปรียบ อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักส่วนใหญ่มองว่า แนวทางนี้มีความเสี่ยงสูง อาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี การขึ้นภาษีนำเข้าไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้บริโภคชาวอเมริกันต้องซื้อสินค้าราคาแพงขึ้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตในสหรัฐฯ ที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนนำเข้า ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นและลดทอนความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการตอบโต้ทางการค้า จากประเทศต่างๆ ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐฯ เอง แต่ทรัมป์จะขู่ดักทางไว้ว่าอย่าคิดตอบโต้ก็ตาม

ปี 2023 ไทยส่งออกสินค้าหลักไปยังสหรัฐอเมริกา 5 อันดับแรก
-
เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์: มูลค่า 16.59 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
-
เครื่องจักรและส่วนประกอบ: มูลค่า 10.32 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
-
ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยาง: มูลค่า 4.62 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
-
ยานยนต์และชิ้นส่วน: มูลค่า 2.60 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
-
อัญมณีและโลหะมีค่า: มูลค่า 1.70 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ผลกระทบต่อไทย เมื่อกำแพง 36% ตั้งตระหง่าน
การที่ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ต้องเผชิญกับอัตราภาษีสูง ถือเป็นสถานการณ์ที่น่ากังวลอย่างยิ่ง จะส่งผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะภาคการส่งออกหดตัว สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับต้นๆ ของไทย สินค้าไทยหลายประเภท เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, ผลิตภัณฑ์ยานยนต์และส่วนประกอบ, อาหารแปรรูป, เครื่องนุ่งห่ม, และผลิตภัณฑ์ยางพารา จะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคาทันทีเมื่อเทียบกับสินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ หรือสินค้าจากประเทศที่โดนภาษีต่ำกว่า
ผู้ส่งออกไทยจะเผชิญความยากลำบากในการรักษาส่วนแบ่งตลาดเดิม อาจต้องลดกำลังการผลิต หรือในกรณีร้ายแรงอาจต้องปิดกิจการหากไม่สามารถแบกรับต้นทุนหรือหาตลาดใหม่ทดแทนได้ทัน
อุตสาหกรรมไทยจำนวนมากเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานระดับโลก การขึ้นภาษีอาจทำให้เกิดการหยุดชะงักหรือการปรับเปลี่ยนเส้นทางของห่วงโซ่อุปทาน บริษัทข้ามชาติอาจทบทวนการลงทุนหรือการจัดซื้อจัดจ้างจากประเทศไทย หากมองว่าความเสี่ยงด้านนโยบายการค้าสูงเกินไป
การส่งออกที่ลดลงจะส่งผลโดยตรงต่อรายรับเงินตราต่างประเทศ ทำให้ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยมีแนวโน้มแย่ลง ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันต่อเสถียรภาพของค่าเงินบาทให้อ่อนค่าลงได้
ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ และผลกระทบต่อการส่งออกจากไทยไปยังสหรัฐฯ อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติชะลอการตัดสินใจลงทุนใหม่ หรือแม้กระทั่งพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่า
การหดตัวของภาคส่งออกและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องย่อมส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและกำลังซื้อภายในประเทศ ซึ่งจะฉุดรั้งการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) โดยรวม

ทางรอดของไทย กลยุทธ์รับมือและแสวงหาโอกาสใหม่
ใช้การเจรจาและการทูตระดับทวิภาคี รัฐบาลไทยควรใช้ช่องทางการทูตทุกระดับเพื่อเจรจากับสหรัฐฯ โดยตรง ชี้แจงข้อมูล ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโครงสร้างการค้า การลงทุน และความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสองประเทศ เพื่อหาทางลดหย่อนหรือขอรับการยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าบางกลุ่ม หรือทำความเข้าใจถึงหลักเกณฑ์การคำนวณ “ภาษีต่างตอบแทน” ที่ชัดเจน
ทำงานร่วมกับกลุ่มประเทศอาเซียนและประเทศอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อสร้างพลังต่อรองร่วมกัน และอาจพิจารณาใช้กลไกขององค์การการค้าโลก (WTO) ในการหยิบยกประเด็นความไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์การค้าสากล แม้ว่าประสิทธิผลอาจมีจำกัดในยุคที่สหรัฐฯ อาจไม่ให้ความสำคัญกับ WTO มากนัก
เร่งรัดและสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการเจาะตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ หรือขยายตลาดเดิมนอกเหนือจากสหรัฐฯ เช่น จีน อาเซียน สหภาพยุโรป อินเดีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา การมีตลาดที่หลากหลายจะช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป
พัฒนาสินค้าและบริการ ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อสร้างนวัตกรรม ยกระดับคุณภาพสินค้าให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น มีความแตกต่าง และเป็นที่ต้องการของตลาดโลก ลดการแข่งขันด้านราคาเพียงอย่างเดียว
สนับสนุนการนำเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติมาใช้เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลิตภาพ (Productivity)
ใช้นโยบายการคลังและการเงินเพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ เพื่อชดเชยอุปสงค์จากต่างประเทศที่หายไป เช่น โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ
มีมาตรการช่วยเหลือที่ตรงจุดสำหรับภาคอุตสาหกรรมและ SMEs ที่ได้รับผลกระทบหนัก เช่น การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การพักชำระหนี้ การสนับสนุนการปรับเปลี่ยนธุรกิจ และโครงการพัฒนาทักษะแรงงาน (Reskill/Upskill) เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรม
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คงต้องติดตามสถานการณ์ค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด และเข้าดูแลเพื่อลดความผันผวนที่รุนแรงเกินไป แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้ถูกมองว่าเป็นการแทรกแซงค่าเงินเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้า
แม้ว่ากำแพงภาษีของทรัมป์เปรียบเสมือนพายุลูกใหม่ที่ถาโถมเข้าใส่ระบบการค้าโลก นโยบายที่เน้นการปกป้องและแนวคิดชาตินิยมทางเศรษฐกิจนี้ กำลังท้าทายหลักการค้าเสรีและสร้างความไม่แน่นอนให้กับทุกประเทศ รวมถึงประเทศไทย การเผชิญกับภาษีสูงถึง 36% เป็นโจทย์ที่ยากยิ่ง แต่ในวิกฤตย่อมมีโอกาส นี่คือสัญญาณเตือนให้ประเทศไทยต้องเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ลดการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่ง กระจายความเสี่ยง และมุ่งยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างจริงจัง การรับมืออย่างมีสติ มียุทธศาสตร์ และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาเศรษฐกิจไทยฝ่าฟันความท้าทายครั้งนี้ไปได้
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- นายกไม่หวั่น พร้อมรับมือ ทรัมป์ขึ้นภาษีไทย 36%
- “ทรัมป์” สั่งตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าทั่วโลก ไทยอ่วมโดน 36%
- แชร์สนั่น เงินเดือนข้าราชการไทย ไม่ได้มาจากเงินภาษี