การเงินเศรษฐกิจ

8 อาชีพคนไทยในอดีต ปัจจุบันสูญพันธุ์หมดแล้ว

1. คนล่องซุง

ย้อนกลับไปในช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 4 ถึงต้นรัชกาลที่ 5 (ประมาณช่วง พ.ศ. 2400-2450) เป็นยุคที่ธุรกิจตัดไม้ในภาคเหนือเริ่มเฟื่องฟูอ ไม้ที่นิยมคือไม้สักและไม้เนื้อแข็งอื่น ๆ เนื่องจากไทยมีการเปิดสัมปทานป่าไม้ให้บริษัทเอกชนต่างชาติ (เช่น อังกฤษ) เข้ามาร่วมลงทุน ทำให้กิจการการตัดไม้และส่งไม้ลงสู่ส่วนกลางกลายเป็นอุตสาหกรรมสำคัญในภาคเหนือของประเทศ

ในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ อย่าง ลำปาง เชียงใหม่ แพร่ น่าน และตาก เป็นแหล่งป่าไม้อุดมสมบูรณ์ บางพื้นที่เรียกว่า “ป่าสักทอง” ไม้นี้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงมากในตลาดสากล ช่วงเวลานั้นจึงเกิดอาชีพเสี่ยงภัยและท้าทายอย่าง “คนล่องซุง” หรือบางครั้งเรียกกันว่า “คนล่องแพซุง”

Advertisements

คนล่องซุงมีหน้าที่หลักคือขนท่อนไม้ขนาดใหญ่ (ไม้ซุง) ที่ถูกตัดมาแล้ว มัดรวมกันเป็นแพ จากนั้นอาศัยกระแสน้ำตามแม่น้ำสายหลัก เช่น แม่น้ำปิง แม่น้ำวัง แม่น้ำยม แม่น้ำน่าน (ซึ่งรวมเป็นลุ่มน้ำเจ้าพระยา) เพื่อปล่อยให้ไม้ซุงไหลลงมาสู่โรงเลื่อย หรือจุดแปรรูปที่อยู่บริเวณภาคกลางและพื้นที่ราบลุ่ม

หน้าที่และทักษะพิเศษ

คนล่องซุงจะต้องใช้ไม้ถ่อหรือไม้พายขนาดยาว จัดการให้แพไม้เคลื่อนตัวได้อย่างราบรื่น ไม่ให้เกยตลิ่งหรือชนกับโขดหินกลางน้ำ

ในช่วงน้ำหลาก แพไม้จะไหลเร็ว ซึ่งเสี่ยงต่อการสูญหายหรือชนอุปสรรคกลางน้ำ แต่หากน้ำน้อยเกินไป แพไม้ก็อาจติดตื้น ทำให้กระบวนการล่องซุงหยุดชะงัก คนล่องซุงจึงต้องเชี่ยวชาญภูมิศาสตร์ของลำน้ำและรู้ฤดูกาล

คนทำอาชีพนี้ร่างกายต้องอึดมาก ทนแดด ฝน สภาพอากาศแปรปรวนกลางลำน้ำหลายวัน จึงต้องมีความแข็งแรงทางร่างกายและหัวใจที่อดทน อีกทั้งมักทำงานเป็นทีม เพื่อช่วยเหลือกันดันแพซุงและแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน

Advertisements

สาเหตุที่อาชีพคนล่องซุงเลือนหาย

ภายหลังจากที่ประเทศไทยเผชิญปัญหาการสูญเสียพื้นที่ป่าอย่างรุนแรง ในที่สุดรัฐบาลได้ประกาศ คำสั่งห้ามสัมปทานป่าไม้และห้ามตัดไม้ในป่าธรรมชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2532 เพื่อแก้ปัญหาการทำลายป่าอย่างเรื้อรัง พื้นที่ป่าหลายแห่งถูกยกให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ทำให้การตัดไม้เชิงพาณิชย์ถูกควบคุมเข้มงวดมากขึ้น

ระบบขนส่งสมัยใหม่และต้นทุนที่เปลี่ยนไป เมื่อมีการตัดถนน รถไฟ และรถบรรทุกขนาดใหญ่เข้าถึงพื้นที่ป่า หรือพื้นที่แปรรูปไม้ การขนไม้ทางน้ำจึงไม่คุ้มค่าอีกต่อไป เพราะผู้ประกอบการสามารถใช้รถบรรทุกขนไม้ได้รวดเร็วและคุมความเสียหายได้ดีกว่า

วิธีล่องซุงต้องพึ่งฤดูกาลน้ำหลาก และเสี่ยงต่อความสูญเสียของไม้ระหว่างทาง จึงถูกแทนที่ด้วยวิธีขนส่งบนบกเกือบทั้งหมด อีกทั้ง การล่องแพซุงมีอันตรายสูงมาก ทั้งอุบัติเหตุจมน้ำ การบาดเจ็บจากท่อนไม้ หรือถูกกระแสน้ำพัดจนพลัดตกหายไป คนรุ่นใหม่ในพื้นที่ป่าเหนือหรือชุมชนริมน้ำต่างหันไปศึกษาต่อในเมือง หรือประกอบอาชีพที่ปลอดภัยและมั่นคงกว่า ทำให้ไม่มีผู้สืบทอดอาชีพนี้

อาชีพคนล่องซุง

2. คนขับเกวียน

เสียงล้อเกวียนเอี๊ยดอ๊าดที่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปตามทางดิน เป็นภาพคุ้นตาในอดีตของสังคมเกษตรกรรมไทย ก่อนยุคถนนลาดยางและเครื่องยนต์กลไก เกวียนเปรียบเสมือน ยานพาหนะประจำหมู่บ้าน ที่ช่วยขนสินค้าจากไร่นาเข้าสู่ตลาด หรือใช้เดินทางไกลระหว่างเมืองต่อเมือง

งานวิจัยหลายชิ้นระบุว่า เกวียนเป็นพาหนะสำคัญมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ยุคที่เส้นทางคมนาคมยังอาศัยแนวแม่น้ำ ทางเกวียน สำหรับขนข้าว เกลือ ผัก ผลไม้ และเครื่องปั้นดินเผา ไปแลกเปลี่ยนค้าขายตามหัวเมืองใกล้เคียง เรื่อยมาจนถึงสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ราว พ.ศ. 2325–ประมาณ พ.ศ. 2450เพราะถนนหนทางยังไม่พัฒนา และรถไฟเพิ่งเริ่มมีเฉพาะบางเส้น เกวียนจึงเป็นยานพาหนะหลัก โดยเฉพาะตามชนบท และยังใช้ขนเสบียงหรืออาวุธในกองทัพได้ด้วย

วิถีของคนขับเกวียน

สัตว์เทียมเกวียน เกวียนมักใช้วัว หรือควายเป็นตัวลาก ซึ่งต้องได้รับการฝึกให้คุ้นเคยเส้นทางและเชื่อฟังคำสั่ง คนขับเกวียนมีหน้าที่ควบคุมทิศทางและจังหวะเดินหรือหยุดพัก โดยการเปล่งเสียงหรือใช้แส้เบา ๆ ตีสัญญาณ

คนขับเกวียนจำเป็นต้องรู้เส้นทางชัดเจน รู้ว่าจุดใดมีแหล่งน้ำหรือแหล่งหญ้า ให้สัตว์ได้ดื่มและพักกินอาหาร บางคาราวานต้องเดินทางหลายวันถึงหลายสัปดาห์ จึงต้องวางแผนหยุดพักตามบ้านร้าง ศาลาริมทาง หรือมี “สถานี” (จุดรวมตัว) ที่เป็นที่พักค้างคืนของกองเกวียน

คนขับเกวียนต้องเชี่ยวชาญในการขนสินค้า ทั้งการผูกมัดสัมภาระด้วยเชือกไม่ให้ร่วงหล่น และต้องรักษาสมดุลน้ำหนักซ้าย-ขวาให้เสมอกัน เพราะเกวียนมักมีสองล้อใหญ่ ถ้าข้างใดข้างหนึ่งหนักเกินไป ล้ออาจพลิกได้ง่าย

ความเร็วของเกวียนขึ้นอยู่กับกำลังวัวควาย และสภาพทางเดิน เฉลี่ยแล้วอาจได้เพียง 3-5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งถือว่าค่อนข้างช้า แต่ก็เหมาะกับวิถีชีวิตที่ไม่เร่งรีบในยุคนั้น

การเสื่อมถอยของการใช้เกวียน

หลัง พ.ศ. 2450 เป็นต้นมา การสร้างทางรถไฟสายต่าง ๆ เช่น สายเหนือ (กรุงเทพฯ-เชียงใหม่), สายตะวันออกเฉียงเหนือ (กรุงเทพฯ-นครราชสีมา) เริ่มขนส่งสินค้าได้ง่ายและรวดเร็วกว่า ทำให้การขนผ่านเกวียนลดความนิยม

พอถึงช่วงหลัง พ.ศ. 2500 มีการสร้างถนนลาดยางแพร่หลาย รถยนต์ส่วนบุคคลและรถบรรทุกกลายเป็นทางเลือกหลัก ขนสินค้าได้มากกว่า เร็วกว่า และสัตว์ไม่ต้องเหนื่อยเป็นวัน ๆ

ต้นทุนด้านเวลาสูงขึ้น สังคมเริ่มเน้นความเร็วและผลผลิตปริมาณมาก การใช้เกวียนจึงกลายเป็นอุปสรรค ไม่อาจแข่งกับระบบขนส่งสมัยใหม่ได้ การเลี้ยงวัวหรือควายเพื่อเทียมเกวียนยุ่งยากมาก ต้องใช้พื้นที่สำหรับเลี้ยงสัตว์ ค่าน้ำค่าอาหาร รวมถึงดูแลสุขภาพสัตว์ เมื่อต้องการเน้นกำไรและความเร็ว คนรุ่นหลังจึงเลี่ยงที่จะสืบทอดอาชีพนี้

คนขับเกวียน

3. คนหาบน้ำ

สมัยก่อนบ้านเรือน ชุมชนไทยอยู่ใกล้กับแม่น้ำ วิถีชีวิตกลมกลืนกันอย่างแยกไม่ออก แต่ก็ยังไม่มีระบบประปาหรือท่อน้ำประจำบ้าน “น้ำ” ถือเป็นปัจจัยพื้นฐานที่แต่ละบ้านต้องจัดหาด้วยตนเอง ดังนั้น น้ำลำคลองทำให้สัญจรสะดวก ส่วนน้ำดื่มกินหลายครัวเรือนมีโอ่งไว้รองน้ำฝนหรือขุดบ่อในพื้นที่บ้าน แ

แต่ใช่ว่าทุกบ้านจะมีบ่อหรือน้ำฝนพอใช้ตลอดปี จึงเกิดอาชีพ “คนหาบน้ำ” ซึ่งทำหน้าที่ตักน้ำจากบ่อน้ำสาธารณะ บ่อน้ำวัด แม่น้ำ ลำคลอง หรือสระในชุมชน ใส่ในถังแล้วแบกหาบ หรือบางครั้งวางบนขอนไม้คานพาดบ่า เพื่อนำมาขายเร่ตามตรอกซอกซอยตลาดและหมู่บ้าน

ในยุคกรุงศรีอยุธยา น้ำมีความสำคัญมากเพราะเมืองตั้งอยู่ริมแม่น้ำและคูคลองคดเคี้ยว เมื่อบ้านเรือนยังไม่สามารถดึงน้ำเข้ามาใช้ในบ้านได้สะดวก อาชีพคนหาบน้ำจึงแพร่หลายในชุมชนหนาแน่นใกล้ตลาด ท่าเรือ และพระราชวัง

พอเข้าสู่สมัยต้นรัตนโกสินทร์ (ช่วงรัชกาลที่ 1 – รัชกาลที่ 3) บ้านเรือนในกำแพงพระนครและตามฟากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเริ่มมีมากขึ้น บ่อบาดาลหรือบ่อน้ำตื้นก็ยังไม่แพร่หลายเช่นปัจจุบัน จึงต้องพึ่งคนหาบน้ำมาส่ง ซึ่งบางครั้งเรียกกันว่า “พวกตักน้ำ” หรือ “คนตักน้ำขาย”

การขยายตัวของกรุงเทพฯ ยุครัชกาลที่ 4 – รัชกาลที่ 5 มีการขยายพื้นที่เมืองออกนอกกำแพงพระนคร ประชากรเพิ่มขึ้น ความต้องการใช้น้ำมากขึ้น คนหาบน้ำจึงมีจำนวนไม่น้อย ตื่นแต่เช้าตรู่ไปรองน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา คลองหลวงหรือคลองย่อยต่าง ๆ แล้วหาบขึ้นบ่าขายหรือส่งถึงประตูบ้านลูกค้าประจำ

แม้ว่าจะมี “น้ำฝน” เป็นแหล่งน้ำสะอาดหลัก แต่ในช่วงหน้าแล้งหรือนอกฤดูฝน บ้านเรือนมักมีน้ำไม่พอใช้ จึงต้องเรียกใช้บริการคนหาบน้ำเหล่านี้

อาชีพคนหาบน้ำในสมัยโบราณ

วิถีของคนหาบน้ำ

  • อุปกรณ์ – ถังไม้หรือถังสังกะสี 2 ใบ (ภายหลังอาจใช้ถังอะลูมิเนียมหรือพลาสติก) ผูกติดกับคานไม้ไผ่หรือไม้เนื้อแข็ง ทรงโค้งรับบ่าเพื่อกระจายน้ำหนัก
  • แรงกายและความอดทน – การแบกน้ำ 2 ถังเต็ม ๆ เป็นงานหนักมาก บางคนเดินขายเป็นระยะหลายร้อยเมตรหรือเป็นกิโล หากเจอลูกค้าเรียกหลายบ้าน ก็ต้องเดินวนกลับไปตักน้ำใหม่หลายรอบ
  • การคิดค่าแรง – บางพื้นที่คิดราคาตามจำนวนถัง หรืออาจตกลงเหมาจ่ายรายเดือน ลูกค้าเองก็ยินยอมเพราะไม่มีทางเลือกอื่น นอกเสียจากจะขุดบ่อเอง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายและต้องอาศัยแรงงานมาก
  • ช่วงเวลาเร่ขาย – คนหาบน้ำเริ่มงานแต่เช้าตรู่เพื่อเก็บน้ำสะอาด ป้องกันน้ำขุ่นหรือปนเปื้อนจากการจราจรในคลองและแม่น้ำ แล้วเร่ขายเรื่อยไปถึงสายหรือบ่าย ส่วนใหญ่ช่วงเย็นอาจขายอีกรอบหรือเลิกงานก่อนพระอาทิตย์ตก

ความเจริญเข้ามาทำให้อาชีพคนหาบน้ำหายไป

ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการก่อตั้ง “การประปากรุงเทพฯ” (ราว พ.ศ. 2457-2458) ซึ่งช่วงแรกยังไม่ครอบคลุมทั้งเมือง แต่ถือเป็นจุดตั้งต้นในการสร้างระบบท่อและอาคารสูบน้ำ หลังจากนั้นภาครัฐค่อย ๆ ขยายเครือข่ายน้ำประปาไปยังเขตชานเมืองและหัวเมืองใหญ่

ชุมชนต่างจังหวัดก็เริ่มมี “ประปาหมู่บ้าน” หรือใช้ปั๊มน้ำบาดาลขนาดเล็ก ทำให้ไม่ต้องพึ่งพาคนหาบน้ำอีกต่อไป

แม้ว่าการหาบน้ำจะเป็นอาชีพอิสระ แต่รายได้ไม่สูง งานก็หนักมาก ต้องใช้แรงและเวลาเดินเร่ตามบ้าน ส่วนใหญ่จึงประกอบอาชีพเป็นการชั่วคราว เมื่อระบบน้ำสะดวกขึ้น ผู้คนก็ไม่จ่ายเงินซื้ออีก เพราะสามารถตักหรือสูบน้ำใช้เองได้ง่าย

เมื่อเมืองเติบโต พื้นที่ส่วนใหญ่กลายเป็นถนน อาคารพาณิชย์ บ้านติดท่อประปาโดยตรง ทำให้อาชีพคนหาบน้ำหมดความจำเป็นลงอย่างรวดเร็ว คนรุ่นใหม่ที่เคยสืบทอดอาชีพจากพ่อแม่ ปัจจุบันหันไปทำงานที่ให้รายได้แน่นอนกว่า

สมัยรัชการที่ 5 ก่อตั้งการประปา
ภาพจาก: การประปานครหลวง

4. พ่อค้าเกลือสมุทรเร่

ในโลกเก่าที่ไร้ขาดตู้เย็น ระบบถนอมอาหารด้วยความเย็น “เกลือ” ถือเป็นทรัพยากรยุทธศาสตร์สำคัญอันดับต้นๆ สำหรับคนไทยแทบทุกภูมิภาค เพราะใช้ทั้งปรุงรส อบปลา ดองผัก หมักเนื้อสัตว์ให้เก็บไว้ได้นานขึ้น แต่การผลิตเกลือกลับไม่ได้กระจายอยู่ทั่วประเทศ หากมีกระจุกตัวตามพื้นที่ชายทะเล โดยเฉพาะในภาคกลางตอนล่าง เช่น สมุทรสงคราม สมุทรสาคร เพชรบุรี หรือแม้แต่บางส่วนทางฝั่งปากน้ำประแสร์ในระยอง พ่อค้าเกลือสมุทรเร่จึงมีบทบาทไม่ต่างจาก “ผู้ถือกุญแจสู่รสชาติและการถนอมอาหาร” เดินทางขนเกลือไปเร่ขายยังชุมชนห่างไกลที่ไม่มีทางได้ผลิตเกลือเอง

เกลือ สินค้ายุทธศาสตร์ในประวัติศาสตร์

ในยุคก่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมเก็บรักษาอาหาร เกลือเป็นวัตถุดิบสำคัญในการดอง แช่อิ่ม และหมัก เพื่อยืดอายุอาหาร คนในชนบทห่างไกลทะเลจึงต้องพึ่งพาเกลือจากภายนอก ไม่เช่นนั้นอาจขาดแคลนเครื่องปรุงสำคัญ

สมัยโบราณ เคยมีการเก็บภาษีเกลือหรือมีระบบผูกขาดเกลือหลวง (รัฐเข้าควบคุมดูแล) ในบางช่วงยุค เพื่อควบคุมรายได้แผ่นดิน จึงทำให้ “เกลือ” จัดอยู่ในหมวดสินค้าสำคัญ (ใกล้เคียงกับภาษีสุรา ยาสูบ สมัยต่อมา)

มีงานศึกษาระบุว่า ในสมัยรัชกาลที่ 5 เกลือเป็นหนึ่งในสินค้าทางทะเลที่ส่งออก และใช้ภายในประเทศมากเป็นอันดับต้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อรองรับอุตสาหกรรมประมงและการถนอมปลาเค็ม

วิธีการตากเกลือในภาคกลางตอนล่าง แบ่งเป็น 2 แบบคือ นาเกลือสมุทร บริเวณชายฝั่งอ่าวไทยตั้งแต่สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ถึงเพชรบุรี จะมีนาเกลือที่อาศัยน้ำทะเลระเหยด้วยแสงแดด โดยมีขั้นตอนเตรียมบ่อ ตากน้ำเค็มให้ตกผลึกจนเป็นเกลือเม็ดขาว

เกลือกองโต เมื่อถึงฤดูเกี่ยวเกลือ (ช่วงฤดูแล้ง) ชาวนาเกลือจะเก็บเม็ดเกลือขึ้นเป็นกองในยุ้งหรือเพิงพัก ก่อนจะขายต่อให้พ่อค้าส่ง หรือ “พ่อค้าเกลือเร่” ที่จะมารับซื้อตามปริมาณที่ตกลง

พ่อค้าเกลือสมุทรเร่ทำงานอย่างไร

รูปแบบการขนส่ง ยุคแรก ใช้เกวียนเทียมวัวหรือควาย บรรทุกกระสอบเกลือ หรือบางครั้งใช้ “เกลือฟ่อน” (ห่อด้วยกระสอบป่าน) วางซ้อนกันหลายชั้น จากนั้นออกเดินทางตามเส้นทางดินหรือทางเกวียนสู่หมู่บ้านชนบทในภาคกลาง ภาคเหนือ หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

หากหมู่บ้านหรืออำเภอเป้าหมายอยู่ติดแม่น้ำลำคลอง พ่อค้าอาจเลือกส่งเกลือทางเรือ โดยบรรจุเกลือลงเรือสำปั้นหรือเรือพื้นบ้านขนาดใหญ่แล้วล่องไปตามแม่น้ำ เช่น แม่กลองหรือแม่เจ้าพระยา

ที่ต้องระวังคือ เกลือเป็นสินค้าที่ต้องรักษาให้แห้งสนิท ไม่อย่างนั้นจะจับตัวเป็นก้อนแข็งหรือละลายปนเปื้อนสิ่งสกปรก พ่อค้าจึงต้องใช้กระสอบชนิดหนา หรือรองด้วยฟาง/ใบตองแห้ง ก่อนผูกมัดให้แน่น เมื่อหยุดพักตามทางหรือขึ้นฝั่ง ต้องรีบหาที่เก็บสินค้าในที่ร่มกันฝน พ่อค้าบางคนใช้เสื่อคลุมหรือเปลเกลือกันน้ำค้าง

ตารางเวลาฤดูกาลจนส่งเกลือ ส่วนใหญ่เดินทางเร่ขายในช่วงหน้าแล้งหรือฤดูที่น้ำนิ่ง เพราะเกลือที่ตากได้มากและเส้นทางสัญจรไม่ลำบากจากฝนตก ที่สำคัญคือเกลือไม่เสี่ยงเปียก

ในพื้นที่ห่างไกล ชนบทจะรอให้พ่อค้าเกลือมาถึงปีละ 2-3 ครั้ง เพื่อซื้อตุนไว้สำหรับปรุงอาหารและถนอมอาหารในฤดูต่างๆ การมีพ่อค้าเกลือสมุทรเร่จึงเสมือนเป็น “สะพานเชื่อม” ระหว่างเมืองชายทะเลและชุมชนในดินแดนห่างไกล

สาเหตุที่ทำให้อาชีพพ่อค้าเกลือหายไป

เมื่อมีถนนลาดยาง รถบรรทุก และเครือข่ายขนส่งทางรถไฟ พ่อค้าไม่ต้องขนเกลือด้วยเกวียนหรือเรือเล็กๆ แบบเดิมอีก สามารถบรรทุกเกลือจำนวนมหาศาลรวมกับสินค้าอื่นๆ ไปตามช่องทางจัดจำหน่ายได้เร็วและถูกกว่า

การเกิดขึ้นของผู้ประกอบการเกลือรายใหญ่ มีโรงงานบรรจุเกลือใส่ถุงเป็นแพ็กเรียบร้อย ส่งเข้าร้านค้าส่งทั่วประเทศ การ “เร่ขาย” จึงสูญเสียความสำคัญ ยิ่งตลาดค้าปลีกขยายตัวตามหัวเมือง ทำให้เกลือเข้าถึงได้ง่ายในรูปแบบสำเร็จรูป

ปัจจุบ้นเกลือไม่ใช่แค่เครื่องปรุงอาหาร แต่ยังใช้ในอุตสาหกรรมหลายอย่าง เมื่ออุตสาหกรรมเกลือเคมีเกิดขึ้น มีการควบคุมมาตรฐานเกลือไอโอดีน และบรรจุภัณฑ์ทันสมัย พ่อค้าเกลือสมุทรเร่ซึ่งเคยตอบสนองชุมชนเล็กๆ จึงค่อยๆ หมดบทบาท

ชาวบ้านเดี๋ยวนี้เดินทางเข้าตลาดหรือร้านสะดวกซื้อได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องคอยพ่อค้าเร่มาขายถึงหน้าบ้าน

ปัจจุบัน เราอาจยังเห็นนาเกลือริมถนนพระราม 2 หรือเส้นเพชรเกษมเป็นภาพทิวทัศน์ แต่คาราวานเกลือที่เคยเร่ขายไปหาพื้นที่ห่างไกลแทบจะหาไม่ได้แล้ว เกลือกลายเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่อยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านโชห่วย และสามารถซื้อขายผ่านระบบขนส่งโลจิสติกส์ทันสมัย อาชีพพ่อค้าเกลือสมุทรเร่จึงถูกกลืนไปพร้อมกับการพัฒนาสังคมเศรษฐกิจและเทคโนโลยีการขนส่ง

บทเรียนจากเกลือ

  • เกลือเล็ก ๆ เม็ดขาวที่เราเห็นอาจดูสามัญ แต่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสินค้าเชิงยุทธศาสตร์ที่ขาดไม่ได้ในสังคมที่ไม่มีความสะดวกแบบทุกวันนี้
  • พ่อค้าเกลือสมุทรเร่เป็นฟันเฟืองสำคัญของระบบแลกเปลี่ยนระหว่างชุมชนชายทะเลกับชนบทห่างไกล วางรากฐานเศรษฐกิจและการกระจายตัวของสินค้าปัจจัยสี่
  • เมื่อระบบโลจิสติกส์สมัยใหม่ก้าวหน้า อาชีพนี้ก็กลายเป็นเพียงตำนานและเรื่องเล่าในประวัติศาสตร์ แต่ยังเหลือ “ร่องรอย” ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ว่า โครงสร้างเศรษฐกิจสังคมไทยเคยขับเคลื่อนโดยน้ำพักน้ำแรงคนเล็กคนน้อยมาก่อน

นาเกลือสมุทร

5. คนร่อนทอง

หากเอ่ยถึง “ทองคำ” คนคงนึกถึงความงามระยิบระยับและมูลค่าที่สูงลิ่ว ไม่แปลกเลยที่ทองคำจะถูกยกเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งในทุกยุคทุกสมัย ทว่าในประเทศไทยเองนั้น เราอาจไม่ได้มีภาพการตื่นทองยิ่งใหญ่เหมือนโลกตะวันตก แต่ก็มีบางชุมชนที่เคยทำอาชีพร่อนทองกันจริง ๆ โดยเฉพาะในเขตภาคเหนืออย่าง ลุ่มน้ำปิง ลุ่มน้ำน่าน จังหวัดแพร่ น่าน หรือบางส่วนในภาคตะวันออก เช่น บริเวณจันทบุรี ที่เคยพบร่องรอยของแหล่งทองธรรมชาติ ผู้คนเหล่านี้ถูกเรียกว่า “คนร่อนทอง” หรือบางที่ก็เรียก “นักหาทอง” ซึ่งปัจจุบันกลับแทบจะเลือนหายไปจนเกือบเป็นตำนาน

วิถีดั้งเดิมของการร่อนทอง

  1. อุปกรณ์เรียบง่าย

สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ “กระด้ง” หรือ “เลียบ” (บางพื้นที่ใช้ทำจากไม้ไผ่สาน หรือใช้เป็นภาชนะโลหะ) เป็นถาดก้นตื้นที่ใช้ตักตะกอนทรายและกรวดจากก้นแม่น้ำขึ้นมาร่อน

ผู้ร่อนทองบางรายอาจประยุกต์ใช้ “ถาดไม้” เคลือบยางมะตอย หรือใช้อะลูมิเนียม แต่หลักการไม่ต่างจากกระด้งทั่วไป คือให้มีขนาดพอหมุนหรือล้างตะกอนได้น้ำไหลเวียนสะดวก

2. กระบวนการร่อน

เริ่มจากการขุดหรือตักทรายและกรวดที่เชื่อว่าอาจมีทองปะปน ใส่ลงในกระด้ง จากนั้นค่อย ๆ จุ่มกระด้งลงในน้ำแล้วหมุนวนเบา ๆ เพื่อให้น้ำชะเอาเม็ดทรายเบาหรือสิ่งสกปรกปลิวหลุดออก เหลือแต่สิ่งที่หนักกว่า เช่น เศษโลหะหรือเม็ดทอง หากโชคดี พอร่อนทิ้งทรายเบา ๆ ออกไปเรื่อย ๆ จะเห็น “เศษทองคำ” หรือ “เกล็ดทองคำ” เป็นผงเล็ก ๆ เคลือบอยู่ที่ก้นกระด้ง

3. ความอดทนและโชค

แม้จะใช้ทักษะในการสังเกตน้ำหนักและการหมุนกระด้ง แต่ท้ายที่สุดก็เป็นเรื่อง “ดวง” ไม่น้อย บางวันร่อนตั้งแต่เช้ายันเย็นอาจได้ทองเพียงนิดเดียว หรืออาจไม่ได้เลย คนร่อนทองมักใช้เวลาว่างหลังฤดูเก็บเกี่ยว หรือเป็นอาชีพเสริม เพราะรายได้ไม่แน่นอน

อาชีพคนร่อนทองดูเหมือนน่าตื่นตาให้คนอยากร่ำรวย แต่ด็ไม่ได้มั่นคง เมื่อประชากรเพิ่มขึ้นและมีการร่อนทองมาอย่างยาวนาน แหล่งทรายหรือกรวดตามธรรมชาติก็ถูกค้นไปจนแทบไม่เหลือ บางจุดที่เคยมีทองตามแม่น้ำ เมื่อเวลาผ่านไปกลับไม่มีความคุ้มค่าในการร่อนด้วยมืออีก รวมถึงการทำเหมืองทองแบบอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัย (เช่น การขุดเจาะชั้นดิน การสกัดด้วยสารเคมี) ทำให้สามารถสกัดทองคำในปริมาณมาก รวดเร็วกว่าการร่อนด้วยมือหลายเท่า ส่งผลให้การร่อนทองแบบดั้งเดิมสู้ต้นทุนและเวลาไม่ได้

เมื่อรัฐออกกฎหมายควบคุมการขุดหาแร่ทองคำหรือหินแร่มีค่าอื่น ๆ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและป้องกันการลักลอบทำลายพื้นที่ลำน้ำ ทำให้คนธรรมดา ๆ ที่จะไปตักทรายร่อนทองในเชิงพาณิชย์อาจต้องขออนุญาตและทำตามระเบียบที่ยุ่งยาก
การเปลี่ยนอาชีพและสังคม

แม้ว่าวิถี “คนร่อนทอง” จะหายไปจากกระแสหลัก แต่ในบางพื้นที่ยังมีคนสูงวัยเล่าประสบการณ์สมัยหนุ่มสาวที่เคยลองเสี่ยงโชคขุดทรายก้นน้ำ บางแห่งปรับเป็นกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ให้ผู้มาเยือนได้ทดลอง “ร่อนทอง” เพื่อสัมผัสบรรยากาศและเข้าใจคุณค่าแห่งแรงงาน หากโชคดีก็อาจได้ “เกล็ดทองคำ” ติดมือกลับบ้านเล็กน้อยเป็นที่ระลึก

คนงานกำลังร่อนทองในเหมือง

6. คนทำเชือก

ในยุคที่ยังไม่มีพลาสติก โพลีเอสเตอร์ หรือไนลอน คอยอำนวยความสะดวก การใช้ “เชือกจากเส้นใยธรรมชาติ” ถือเป็นทางเลือกหลักของผู้คนในสังคมเกษตรกรรม ไม่ว่าจะเป็นการใช้เชือกมัดฟางในนาข้าว เชือกมัดของบนหลังเกวียน หรือนำไปใช้ในงานก่อสร้างชั่วคราว เช่น ขึงเต็นท์ ทำคอกสัตว์ งานประมง ฯลฯ โดยเชือกเหล่านี้ได้มาจากวัตถุดิบหลายชนิดที่หาได้ในท้องถิ่น อาทิ ปอ (ปอแก้ว, ปอฮะ, ปอกระเจา), ใบตาล, กาบกล้วย, กาบมะพร้าว หรือพืชอื่นๆ ที่มีเส้นใยเหนียวทนทาน

แหล่งวัตถุดิบการทำเชือกในสังคมไทย หาได้ง่ายตามธรรมชาติ เช่น

ปอ

มีชื่อเรียกหลายแบบตามสายพันธุ์ เช่น ปอแก้ว (ปอฮะ) หรือ ปอกระเจา ซึ่งจัดเป็นพืชเส้นใย (Fibrous Plants) ที่ปลูกมากในพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคอีสาน

ใช้ลำต้นที่ได้ขนาดนำมาแช่น้ำหรือหมักไว้จนเปลือกยุ่ย จากนั้นลอกเปลือกออกมาตากแดดให้แห้งแล้วตีฝอย ก่อนจะนำไปปั่นเป็นเส้นเชือก

ใบตาล

ต้นตาลพบมากในภาคกลางตอนล่างหรือภาคใต้ ใบตาลที่แก่และแห้งจะมีใยเหนียว นำมาลอกเป็นเส้นๆ แล้วบิดหรือพันให้เป็นเชือก ใช้มัดสิ่งของน้ำหนักเบาถึงปานกลาง

กาบกล้วย/กาบมะพร้าว

บางท้องถิ่นใช้กาบกล้วยที่มีเส้นใยเหนียว โดยต้องเลือกสายพันธุ์กล้วยที่เปลือกหนา ส่วนกาบมะพร้าวเน้นใช้ใยมะพร้าว (Coir) เอามาตากแห้งแล้วทุบให้เส้นใยแยกออก ก่อนจะนำมาถักหรือปั่นเป็นเชือก ที่นิยมมากคือการนำไปผูกขึง หรือใช้ในงานประมงเพราะทนความชื้นพอสมควร

กระบวนการผลิตเชือกพื้นบ้าน

1. เก็บหรือเก็บเกี่ยววัตถุดิบ ตัดต้นปอหรือต้นกระเจาเมื่อได้อายุที่เหมาะสม (ส่วนใหญ่ 3-4 เดือนหลังปลูก) เพื่อนำเปลือกไปแช่น้ำหรือหมักให้เยื่อเปลือกสลายตัวง่าย ใบตาลที่ตากแห้งต้องคัดเลือกใบที่ใหญ่แข็งแรง แกะเส้นกลางใบและตัดเป็นชิ้นยาว

2. ลอก ตาก และตีฝอย เมื่อดึงเอาเปลือกหรือใยพืชออกมาแล้ว จะนำมาตากแดดให้แห้ง เพื่อไล่ความชื้นและป้องกันเชื้อรา
บางชนิด (เช่น ใยมะพร้าว หรือกาบกล้วย) จะต้อง “ตีฝอย” ด้วยไม้อย่างเบามือ เพื่อให้เส้นใยกระจายตัว ไม่พันกันเป็นก้อน

3. ปั่นและบิดเกลียว ใช้มือหรือเครื่องมือพื้นบ้าน เช่น ใช้ไม้หมุนเป็นแกนปั่น เพื่อบิดเส้นใยให้จับตัวกันเป็นเกลียว ยิ่งบิดแน่นเท่าไร เชือกยิ่งแข็งแรง ถ้าต้องการเชือกเส้นหนา สามารถนำเชือกเล็กๆ หลายเส้นมาบิดรวมกันเป็นเชือกใหญ่ อาจใช้สองเกลียวหรือสามเกลียวก็ได้ ขึ้นอยู่กับการใช้งา

4. เคลือบหรือแช่เพื่อความทนทาน ในบางท้องถิ่นอาจมีการชุบน้ำเกลือ น้ำมันยาง หรือน้ำมันมะพร้าวอ่อนๆ เพื่อป้องกันเชื้อราหรือการผุกร่อนจากความชื้น

การทำเชือกจากธรรมชาติหาเลี้ยงชีพ เฟื่องฟูสุดช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 – รัชกาลที่ 7 (ราวปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20) เชือกจากปอกระเจาหรือพืชในตระกูลปอถือเป็นสินค้าส่งออกด้วย เนื่องจากเรือใบหรือเรือสำเภายังใช้เชือกธรรมชาติในการผูกใบเรือ

พื้นที่ชายฝั่งหรือชุมชนริมน้ำหลายแห่ง (เช่น บางส่วนของ จ.ฉะเชิงเทรา สุพรรณบุรี กาญจนบุรี และลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา) มีการปลูก “ปอ” ควบคู่ไปกับข้าว เพื่อขายเส้นใยปอให้คนทำเชือกหรือโรงงานสิ่งทอเบื้องต้น

ส่วนเหตุปัจจัยที่ทำให้อาชีพนี้คนทำน้อยลงจนหายไปมาจาก การมาถึงของเชือกสังเคราะห์ พลาสติก ไนลอน โพรพิลีน โพลีเอสเตอร์ ฯลฯ มีคุณสมบัติแข็งแรง ทนแดด ทนน้ำ ไม่ขึ้นรา น้ำหนักเบา และผลิตได้ปริมาณมากในเวลาอันสั้น ราคาถูกกว่า จึงเข้ามาตีตลาดอย่างรวดเร็ว

กระบวนการผลิตเชือกแบบทำมือใช้แรงงานสูง การลอกเส้นใย ตาก ตีฝอย ปั่น ต้องอาศัยทักษะฝีมือคน และใช้เวลา ชาวบ้านที่ทำอาชีพนี้จึงได้ผลผลิตไม่มากเมื่อเทียบกับโรงงานเชือกสังเคราะห์

แม้ว่าเชือกธรรมชาติจะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อเทียบราคาในตลาดทั่วไป เชือกพลาสติกหรือเชือกไนลอนกลับถูกกว่า ผู้ซื้อจำนวนมากจึงเลือกใช้วัสดุสังเคราะห์แทน

ทุกวันนี้ “คนทำเชือกจากเส้นใยธรรมชาติ” แทบหายไปจากภาพรวมอุตสาหกรรมหลัก จะหลงเหลือเพียงในบางกลุ่มชุมชนที่ยังคงรักษาหัตถกรรมดั้งเดิมไว้ในรูปแบบเล็กๆ หรือใช้ในงานหัตถกรรมเชิงศิลปะ เช่น ถักกระเป๋า ทำของตกแต่ง DIY เป็นสินค้า OTOP ซึ่งได้คุณค่าจากความเป็น “งานคราฟต์” มากกว่าการใช้งานหนักจริงจัง

7. หมอชาวบ้านเร่ หรือหมอแผนโบราณ

สังคมชนบทไทยสมัยก่อนขาดโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข การเข้าถึงแพทย์แผนปัจจุบันหรือโรงพยาบาลถือเป็นเรื่องยากเย็น เสียค่าใช้จ่ายสูง ทั้งด้านเงินและเวลาเดินทาง ประกอบกับหลายหมู่บ้านนั้นห่างไกลไม่มีถนนตัดผ่าน “หมอชาวบ้านเร่” จึงเป็นเสมือน “แพทย์ท้องถิ่นเคลื่อนที่” ที่คอยตระเวนรักษาอาการเจ็บป่วยให้ผู้คนตามหมู่บ้าน ป่าเขา หรือในพื้นที่ห่างไกล เสมือนเป็นฟันเฟืองช่วยเหลือเกื้อกูลด้านสุขภาพเบื้องต้นในชุมชน

หมอชาวบ้านรักษาอะไรบ้าง

หมอชาวบ้านเร่มักมีความรู้เรื่องพืชสมุนไพรในท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นการปรุงยาต้ม ยาหม้อ ยาลูกกลอน เพื่อลดไข้ แก้อักเสบ หรือรักษาอาการปวดเมื่อย บางรายเรียนรู้วิธีการนวด จับเส้น ประคบร้อนด้วยลูกประคบสมุนไพร ซึ่งช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ

อีกด้านก็มีบางคนใช้วิธีรักษาแบบคาถาอาคมหรือพิธีกรรม เนื่องจากวิทยาการสมัยใหม่ยังไม่แพร่หลาย ผู้คนจำนวนหนึ่งเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ คาถาอาคม หรือเครื่องรางของขลัง หมอชาวบ้านเร่บางท่านจึงใช้พิธีกรรมควบคู่ไปกับยาสมุนไพร เช่น รดน้ำมนต์ เป่าเส้น ร่ายบทคาถาให้หายเจ็บไข้ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจแก่ผู้ป่วย

ส่วนด้านที่คนไทยรู้จักมากสุดคือ หมอตำแยหรือหมอผดุงครรภ์พื้นบ้าน สตรีในชนบทที่ตั้งครรภ์และกำลังจะคลอด มักเรียกใช้ หมอตำแยซึ่งมีประสบการณ์ทำคลอด การดูแลมารดาหลังคลอด เนื่องด้วยคนเชี่ยวชาญไม่เยอะ เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายแม่กับเด็ก หมอตำแยหมู่บ้านหนึ่ง อาจเดินทางข้ามหมู่บ้านไปทำคลอดหรือดูแลหญิงหลังคลอดตามที่มีคนเรียกใช้

หมอชาวบ้านเร่มักสร้างความน่าเชื่อถือจากผลการรักษา หากรักษาดี หายป่วยจริง ผู้คนก็จะบอกต่อ ลูกค้าก็จะเรียกใช้บริการมากขึ้น แม้จะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชัดเจนก็ตาม

อุปกรณ์คู่ใจหมอพื้นบ้าน

ย่ามพกยาสมุนไพร บ่อยครั้งหมอชาวบ้านเร่จะหิ้วย่ามใส่สมุนไพรแห้ง หรือยาลูกกลอนที่ทำเตรียมไว้ แล้วปรุงเป็นยาต้มได้ทุกที่ตามความจำเป็น

อุปกรณ์นวด-รักษา เช่น น้ำมันทาหรือขี้ผึ้งสมุนไพร ลูกประคบ ทำด้วยสมุนไพรหลายชนิดห่อผ้า รวมถึงขี้ผึ้งหรือน้ำมันไพลสำหรับบรรเทาอาการปวดฃ

เครื่องประกอบพิธี บางครั้งจะมีสายสิญจน์ ตะกรุด เครื่องราง น้ำมนต์ เพื่อประกอบพิธีกรรมรักษาแบบความเชื่อดั้งเดิม

ความเปลี่ยนแปลงของระบบสาธารณสุข

ราวสมัยต้นรัตนโกสินทร์จนถึงกลางพุทธศตวรรษที่ 25 (ก่อน พ.ศ. 2500) หมอชาวบ้านเร่มีความสำคัญมาก เพราะตามชนบทก็ยังไม่มีอนามัยหรือโรงพยาบาลประจำอำเภอ ผู้ป่วยที่อาการไม่หนักมากหรือที่เชื่อถือแนวทางพื้นบ้าน จึงเรียกหมอเหล่านี้มารักษาถึงบ้าน

ถึงแม้จะมีการจัดตั้ง “ศิริราชพยาบาล” (พ.ศ. 2431) เป็นโรงพยาบาลแห่งแรกของไทย แต่ก็อยู่ในกรุงเทพฯ ชาวบ้านต่างจังหวัดยังคงพึ่งหมอชาวบ้านเร่ หรือสืบทอดการแพทย์แผนไทยโบราณ จนกระทั่งมีการขยายตัวของระบบสาธารณสุขสมัยใหม่ในยุคต่อมา

ตั้งแต่ พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา ภาครัฐเริ่มจัดตั้งอนามัยประจำตำบล โรงพยาบาลประจำอำเภอมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมแพทย์ พยาบาล และบุคลากรที่ได้รับการฝึกฝนตามหลักวิชาการ การเข้าถึงการรักษาแผนปัจจุบันจึงสะดวกและเชื่อถือได้มากกว่าการพึ่งหมอชาวบ้านเร่

ยาจำพวกแอสไพริน ยาปฏิชีวนะ ยาแก้อักเสบ เข้าไปถึงร้านขายยาทุกชุมชน ทำให้คนป่วยหายได้เร็วขึ้น อีกทั้งยังมีวิธีการแพทย์แผนปัจจุบันที่พิสูจน์ได้จริงเมื่อเทียบกับพิธีกรรมบางอย่าง

ภาครัฐออกกฎหมายเกี่ยวกับวิชาชีพแพทย์ ทันตแพทย์ หมอแผนไทย ฯลฯ ซึ่งต้องมีใบอนุญาต มีการอบรม มีสถานประกอบการที่ชัดเจน การเดินเร่รักษาอาจขัดกฎหมายและเสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาว่า “หมอเถื่อน” หากเกิดปัญหาในการรักษา หมอแบบนี้จึงสูญพันธุ์ในท้ายที่สุด

หมอชาวบ้านในปัจจุบัน

อย่างไรก็ดี หมอชาวบ้านบางกลุ่มปรับตัวโดยเข้าสู่ระบบการรับรอง “แพทย์แผนไทย” อย่างเป็นทางการ เปิดร้านนวดแผนไทย เปิดคลินิกแพทย์แผนไทย หรือเข้าร่วมโครงการแพทย์ผสมผสานของกระทรวงสาธารณสุข

ยังมีบางชุมชนที่รักษาประเพณีรักษาโรคแบบดั้งเดิมเอาไว้ เช่น การนวด จับเส้น ควบคุมอาหารสมุนไพร และสวดบทคาถาบางอย่างในพิธีศักดิ์สิทธิ์เพื่อเสริมขวัญ ผู้คนในชุมชนอาจเรียกใช้เป็นครั้งคราว ซึ่งพวกนี้ไม่ต้องใช้ใบประกอบโรคศิลป์

8. คนให้เช่ามือถือโทรนาทีละ 3 บาท

ในยุคที่โทรศัพท์แบบพกพายังมีราคาแพงมาก การให้บริการเครือข่ายยังไม่แพร่หลายเหมือนปัจจุบัน (ประมาณช่วงปลายปี 1990 ถึงต้นปี 2000) คนทั่วไปไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นเจ้าของโทรศัพท์มือถือได้ ด้วยปัจจัยทั้งด้านราคาเครื่อง ค่าบริการรายเดือนที่สูง ทำให้เกิดอาชีพเล็ก ๆ อีกแบบหนึ่งในเมืองใหญ่ๆ หรือแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งก็คือ “คนเปิดให้เช่ามือถือ” คิดค่าบริการ “โทรนาทีละ 2-3 บาท” หรือบางแห่งอาจคิดราคาเหมาเป็นครั้ง

ต้นกำเนิดอาชีพหัวใสเมื่อคนต้องการสื่อสารอย่างสะดวกสบาย

ยุคก่อนโทรศัพท์สมาร์ตโฟน ทุกคนยังพึ่ง “ตู้โทรศัพท์สาธารณะ” หรือ “บัตรโทรศัพท์” ของการสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) หรือองค์การโทรศัพท์ฯ และโทรศัพท์บ้าน ซึ่งไม่สะดวกสำหรับคนที่เดินทางอยู่ข้างนอกนาน ๆ ผู้ประกอบการบางกลุ่มจึงเล็งเห็นโอกาส “ให้เช่ามือถือ” แก่ผู้ที่ไม่มีโทรศัพท์พกติดตัว หรือจำเป็นต้องโทรด่วน แต่หาตู้โทรศัพท์ไม่ได้ หรือไม่มีเหรียญ/บัตรก็โทรไม่ได้

รูปแบบการบริการ เห็นชินตาจะมเป็นแบบตั้งโต๊ะ แผงลอย บางรายเปิดเป็นซุ้มเล็ก ๆ เคาน์เตอร์เล็ก ๆ ในตลาด ใกล้ป้ายรถเมล์ สถานีขนส่ง หรือจุดชุมชน มีโทรศัพท์มือถือ 1-2 เครื่อง (ตั้งโต๊ะไว้ พอลูกค้าเดินมาขอใช้ ก็คิดค่าบริการเป็นนาที

ในบางแหล่งท่องเที่ยว หรือย่านคนทำงานที่พลุกพล่าน คนให้เช่าโทรศัพท์จะถือมือถือไว้ ลูกค้าอยากโทรก็เข้ามาขอใช้ตรงนั้น แล้วบวกราคาตามอัตรานาที (เช่น นาทีละ 2-3 บาท) ซึ่งตอนนั้นถือว่า “ถูกกว่า” ต้องเสียค่าเครื่องเองหลายหมื่นบาท หรือโทรจากตู้สาธารณะบางทีมีปัญหาโทรติดบ้างไม่ติดบ้าง

อัตราค่าบริการ

ส่วนใหญ่คิดแบบ “รายนาที” เช่น 2 บาท, 3 บาท หรือ 5 บาท ขึ้นอยู่กับต้นทุนแพ็กเกจโทรหรือโปรโมชั่นที่ผู้ให้เช่าถืออยู่ บางคนอาจแยกคิด “โทรเบอร์บ้าน” ราคาหนึ่ง “โทรเบอร์มือถือ” อีกราคาหนึ่ง เพราะสมัยนั้น “ค่าโทรนอกเครือข่าย” หรือ “โทรข้ามพื้นที่” จะแพงกว่า หากเป็นการโทรทางไกลต่างจังหวัดหรือโทรทางไกลต่างประเทศ ก็ต้องตกลงราคาเพิ่มเติม

อาชีพนี้เฟื่องฟูมาก ช่วงปลาย 90s – ต้น 2000s ราคามือถือยุคแรกๆ ค่อนข้างสูง (เครื่องละหลายหมื่น) และค่าบริการรายเดือนหรือค่าโทรต่อนาทีก็ไม่ถูก เช่น โทรนาทีละ 4-6 บาทในบางเครือข่าย หากไม่มีโปรโมชั่นพิเศษ “คนเปิดให้เช่ามือถือ” จึงจับตลาดคนทั่วไปที่ไม่ได้ใช้มือถือส่วนตัว แต่อยากติดต่อกับครอบครัว นัดหมายเรื่องงาน หรือโทรเรียกญาติให้มารับ

จุดตั้งหลักสำคัญในเมือง แถว หมอชิต สายใต้ เอกมัย (สถานีขนส่ง) หรือ ตามตลาดโต้รุ่ง และ ย่านการค้าในกรุงเทพฯ เช่น ประตูน้ำ สำเพ็ง สวนจตุจักร รวมถึงเมืองใหญ่อย่างเชียงใหม่ ขอนแก่น หาดใหญ่ ฯลฯ มักมีเคาน์เตอร์โทรศัพท์ลักษณะนี้

บางจังหวัดท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต พัทยา ก็มีชาวต่างชาติที่ยังไม่ได้ซื้อซิมท้องถิ่น ต้องการโทรกลับบ้าน จึงอาจพบ “ร้านโทรศัพท์สาธารณะ” แบบมือถือที่คิดค่าโทรนาทีแพงขึ้นอีกนิด

กระทั่ง ช่วงกลางถึงปลายปี 2000s (ประมาณ พ.ศ. 2548–2552 เป็นต้นมา) ราคามือถือเริ่มลดลงอย่างมาก มีเครื่องรุ่น “ยอดนิยม” ราคาไม่กี่พันบาท และเครือข่ายเริ่มแข่งขันกันออกแพ็กเกจโทรนาทีละไม่กี่สตางค์ หรือโปรเหมา โทรไม่อั้นในเครือข่ายเดียวกัน ทำให้คนส่วนใหญ่เริ่มซื้อใช้เองได้

ช่วงก่อนสมาร์ตโฟนบูม ร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่เกิดขึ้นทั่วประเทศ ให้บริการ Skype หรือ Voice chat ในราคาถูก นักท่องเที่ยวต่างชาติก็ปรับตัวมาใช้วิธีโทรผ่านอินเทอร์เน็ต หรือใช้บัตรโทรระหว่างประเทศ ทำให้บริการเช่ามือถือโทรลดความจำเป็นลง

หลังยุค 3G/4G และสมาร์ตโฟน แทบทุกคนสามารถใช้แอปพลิเคชัน เช่น LINE, WhatsApp หรือ Messenger ติดต่อสื่อสารได้ฟรีผ่านอินเทอร์เน็ต ไม่ต้องเสียค่าโทรเป็นนาทีแบบสมัยก่อน “ตู้โทรศัพท์มือถือ” จึงค่อยๆ หมดบทบาท

ประกอบกับธุรกิจโอเปอร์เรเตอร์ซิมเติมเงิน ออกซิมแบบเติมเงิน (Prepaid) ง่าย ๆ จ่ายเงินซื้อซิมไม่กี่สิบบาทก็โทรได้แล้ว ไม่ต้องผูกสัญญารายเดือน กำจัดเงื่อนไขเรื่องต้องเป็นเจ้าของมือถือราคาแพง คนที่อยากใช้ชั่วคราวก็เลือกวิธีนี้แทนการจ่ายเช่านาทีละหลายบาท

คนให้เช่ามือถือโทรนาทีละ 3 บาท

Aindravudh

นักเขียนประจำ Thaiger มีประสบการณ์เขียนข่าวมากกว่า 5 ปี จบการศึกษาด้านภาษาและประวัติศาสตร์ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความสนใจ ประเด็นความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง เจาะประเด็นข่าวทางสังคม ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องแบบย่อยง่าย อย่างงานเขียนสร้างสรรค์ สั้น กระชับ จับทุกประเด็น หัวข้อที่เชียวชาญคือเรื่องไลฟ์สไตล์ เลขเด็ด หวยรัฐบาลไทย หวยลาว ช่องทางติดต่อ vajara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button