กมลา แฮร์ริส 9 เกร็ดประวัติน่ารู้ เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2024 สู้ โดนัลด์ ทรัมป์
9 เรื่องเด่น ประวัติ กมลา แฮร์ริส เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2024 สู้ โดนัลด์ ทรัมป์
กมลา แฮร์ริส ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2024 พรรคเดโมแครต กับ โดนัลด์ ทรัมป์ พรรครีพับลิกัน นับเป็นช่วงเวลาที่ประวัติศาสตร์สหรัฐฯ เปิดฉากให้ผู้หญิงผิวสีและชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียใต้มุ่งสู่ตำแหน่งสูงสุดของประเทศ การเดินทางของกมลาไม่เพียงแต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสหรัฐฯ แต่ยังเผยให้เห็นบทบาทของเธอในฐานะผู้นำที่มีภารกิจเพื่อสิทธิมนุษยชนและความยุติธรรม ผลจากการทำงานหนักและผลงานสำคัญที่ได้รับการยอมรับตลอดหลายปีที่ผ่านมา จะเพียงพอให้คนสหรัฐวางใจลงคะแนนเสียงให้หรือไม่
1. เกิดจากครอบครัวหลากเชื้อชาติ
ปูมหลังของกมลา แฮร์ริส สะท้อนถึงรากเหง้าของสหรัฐอเมริกาได้เป็นอย่างดี กมลา แฮร์ริส เกิดเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 1964 ในเมืองโอ๊คแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นบุตรสาวของผู้อพยพชาวอินเดียและจาเมกา คุณแม่ของเธอเป็นนักวิจัยด้านมะเร็งและนักสิทธิสตรีชาวอินเดีย ส่วนคุณพ่อเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชาวจาเมกา ความหลากหลายทางวัฒนธรรมนี้เป็นพื้นฐานสำคัญที่หล่อหลอมความคิดและแนวทางการทำงานของเธอ โดยเฉพาะด้านการช่วยเหลือชนกลุ่มน้อยและผู้ที่ด้อยโอกาส
2. เส้นทางการศึกษาในสถาบันที่มุ่งเน้นสังคม
กมลาสำเร็จการศึกษาด้านรัฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Howard ซึ่งเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงและให้การสนับสนุนนักศึกษาชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันและกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆก่อตั้งขึ้นในปี 1867 ซึ่งเป็นยุคหลังสงครามกลางเมืองอเมริกา มหาวิทยาลัย Howard กลายเป็นศูนย์กลางสำหรับการศึกษาและพัฒนาความคิดให้กับชุมชนชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน รวมถึงชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ที่มักถูกจำกัดสิทธิ์ในสังคม
สำหรับกมลา แฮร์ริส ช่วงเวลาที่เธอศึกษาที่ Howard เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้เธอได้สัมผัสถึงความหลากหลายของวัฒนธรรมและมุมมองในสังคม ซึ่งการเรียนรู้รัฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ในสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการเติบโตของความยุติธรรมทางสังคมนี้ ทำให้เธอเข้าใจถึงบทบาทของการเป็นผู้นำที่มีจุดยืนเพื่อความเท่าเทียม กมลาได้รับประสบการณ์จากทั้งหลักสูตรและกิจกรรมที่ให้โอกาสเธอพัฒนาศักยภาพในการเป็นผู้นำ รวมถึงการได้มีส่วนร่วมกับองค์กรที่สนับสนุนสิทธิ์ของชนกลุ่มน้อย
ต่อมาปี 1989 กลมเรียนจบนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยในแคลิฟอร์เนีย จากนั้นเริ่มต้นอาชีพด้วยการเป็นนักกฎหมาย ทำงานที่แรกในสำนักอัยการเขตอลาเมดา เคาน์ตี รัฐแคลิฟอร์เนีย ในปี 1990
3. อัยการผิวสีหญิงคนแรกของแคลิฟอร์เนีย
ในปี 2011 กมลา แฮร์ริสกลายเป็นอัยการสูงสุดของรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งทำให้เธอเป็นผู้หญิงผิวสีคนแรกและเป็นชาวเอเชียใต้คนแรกที่ดำรงตำแหน่งนี้ในรัฐใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เธอมุ่งเน้นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมเพื่อเพิ่มความยุติธรรมและลดการจำคุก
4. ผลงานสำคัญด้านปฏิรูปกฎหมายเพื่อสิทธิเยาวชน
ในฐานะอัยการเขตซานฟรานซิสโก กมลา แฮร์ริสได้ก่อตั้งโครงการที่มีชื่อว่า “Back on Track” ในปี 2005 โดยมีเป้าหมายหลักในการป้องกันเยาวชนและผู้กระทำผิดรายเล็กที่ยังมีโอกาสแก้ไขไม่ให้ถูกลากเข้าสู่ระบบอาญาอย่างถาวร โครงการนี้มีพื้นฐานแนวคิดที่ว่า การช่วยให้เยาวชนเข้าใจถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมในสังคมและการรับผิดชอบต่อการกระทำของตน สามารถช่วยลดปัญหาการก่ออาชญากรรมซ้ำได้
“Back on Track” เป็นโครงการที่เน้นการฟื้นฟูและการให้โอกาสมากกว่าการลงโทษ โดยเยาวชนที่เข้าร่วมจะได้รับการแนะนำทางด้านการศึกษาที่สามารถช่วยให้พวกเขามีทักษะในการทำงานและสามารถกลับเข้าสู่สังคมได้อย่างเต็มที่ โครงการนี้มีการจัดฝึกอาชีพ การให้คำปรึกษาทางกฎหมาย การจัดหลักสูตรการพัฒนาตนเอง และการช่วยเหลือในการหางาน โครงการนี้ยังมุ่งเน้นให้เยาวชนรับผิดชอบต่อสังคมด้วยการทำงานบริการสาธารณะและเข้าร่วมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน
ผลลัพธ์ของโครงการ “Back on Track” เป็นไปในทางที่ดี โดยมีอัตราการกระทำผิดซ้ำลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งได้รับความสนใจจากรัฐอื่นๆ และกลายเป็นตัวอย่างของการปฏิรูปที่ใช้ได้ผลจริง โครงการนี้ยังเป็นการแสดงถึงวิสัยทัศน์ของกมลา แฮร์ริส ในการสร้างความยุติธรรมที่ยั่งยืนในระบบอาชญากรรม โดยการให้โอกาสและทางเลือกให้กับเยาวชนและผู้กระทำผิดรายเล็ก ซึ่งในระยะยาวจะส่งผลให้มีชุมชนที่เข้มแข็งและมีคุณภาพมากขึ้น
5. สนับสนุนสิทธิผู้หญิงในการทำแท้ง
กมลา แฮร์ริสแสดงจุดยืนที่ชัดเจนและหนักแน่นในการคัดค้านการจำกัดสิทธิการทำแท้งในระดับชาติ โดยเธอวิจารณ์ความพยายามของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์และการตัดสินใจของศาลฎีกาที่พลิกคำวินิจฉัยของ Roe v. Wade ซึ่งเป็นกฎหมายที่เคยคุ้มครองสิทธิในการทำแท้งในสหรัฐฯ กมลาเรียกร้องให้สภาคองเกรสออกกฎหมายระดับชาติที่รับรองสิทธิการทำแท้งอย่างชัดเจน และให้ประเด็นอนามัยการเจริญพันธุ์เป็นหัวใจหลักของการทำงานในตำแหน่งรองประธานาธิบดี รวมถึงการรณรงค์เลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2024 ของเธอ เธอยังสนับสนุนให้มีการแก้ไขขั้นตอนการขัดขวางในวุฒิสภา ซึ่งเดิมต้องใช้คะแนนเสียง 60 คะแนน เพื่อให้สามารถนำ Roe v. Wade กลับมาใช้เป็นกฎหมายของประเทศได้อีกครั้ง
ในส่วนของการจำกัดสิทธิการทำแท้งตามอายุครรภ์ กมลาเน้นการฟื้นฟู Roe v. Wade ที่อนุญาตให้ทำแท้งได้จนถึงช่วงที่ทารกในครรภ์มีโอกาสมีชีวิตรอดเองได้ หรือประมาณ 22 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ ในอดีต เธอเคยลงคะแนนคัดค้านร่างกฎหมายที่จะห้ามการทำแท้งหลังการตั้งครรภ์ 20 สัปดาห์ ซึ่งสะท้อนถึงการยืนหยัดของเธอในการสนับสนุนสิทธิของผู้หญิงในการตัดสินใจเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของตนเอง
นอกจากนี้ ในฐานะรองประธานาธิบดี กมลาแสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่าเธอสนับสนุนข้อยกเว้นการทำแท้งในกรณีที่เกิดการข่มขืน การร่วมประเวณีระหว่างพี่น้อง หรือหากมีอันตรายต่อชีวิตของมารดา รวมทั้งในช่วงที่เธอเป็นวุฒิสมาชิก กมลาได้ร่วมสนับสนุนกฎหมายปี 2017 ที่ห้ามรัฐต่างๆ กำหนดข้อจำกัดที่เข้มงวดต่อการทำแท้ง เพื่อรักษาสิทธิของผู้หญิงในการตัดสินใจ
6. หญิงคนแรกที่ได้เป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐ
กมลา แฮร์ริส สร้างประวัติศาสตร์ ปี 2020 ได้รับเลือกให้เป็นรองประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐอเมริกา ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกันและเชื้อสายเอเชียใต้คนแรกที่ดำรงตำแหน่งนี้ ซึ่งนับเป็นการก้าวข้ามอุปสรรคด้านเพศและเชื้อชาติที่มีมายาวนานในประวัติศาสตร์การเมืองของสหรัฐฯ
การเข้ารับตำแหน่งรองประธานาธิบดีข สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงในสังคมและการเปิดโอกาสให้กับกลุ่มคนที่เคยถูกจำกัดในแวดวงการเมืองของประเทศ ความสำเร็จนี้กลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้กับผู้หญิงและชนกลุ่มน้อยทั้งในสหรัฐและทั่วโลก เพราะการขึ้นสู่ตำแหน่งรองประธานาธิบดีของเธอได้ส่งสารถึงการยอมรับในความสามารถของผู้หญิงและกลุ่มคนหลากหลายเชื้อชาติที่มีศักยภาพในการเป็นผู้นำเช่นเดียวกับผู้ชาย
ระหว่างดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี กมลาได้ให้ความสำคัญกับประเด็นสำคัญทางสังคมมากมาย เช่น สิทธิของสตรี สิทธิมนุษยชน และการส่งเสริมการเข้าถึงโอกาสในระบบเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นหัวใจหลักของการทำงานของเธอ การเป็นรองประธานาธิบดีทำให้เธอมีโอกาสผลักดันนโยบายที่ส่งเสริมความเสมอภาคและความยุติธรรมทางสังคมได้ในวงกว้าง
7. นโยบายเพื่อสนับสนุนการศึกษาและสาธารณสุข
กมลาแฮร์ริสสนับสนุนการศึกษาและการขยายสิทธิประกันสุขภาพ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายในการสร้างสังคมที่ทุกคนมีโอกาสในการเข้าถึงการรักษาและการเรียนรู้เท่าเทียมกัน โดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นกลางและผู้ที่ด้อยโอกาส
8. สร้างเครือข่ายกับกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน
กมลา แฮร์ริสมีบทบาทสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์กับประเทศในแถบลาตินอเมริกา โดยได้รับมอบหมายจากประธานาธิบดีโจ ไบเดนให้เป็นผู้ดูแลการแก้ไขปัญหาการอพยพจากภูมิภาคนี้สู่สหรัฐ
กมลาได้ริเริ่มแผนการพัฒนาทางเศรษฐกิจเพื่อช่วยเหลือประเทศต่างๆ ในลาตินอเมริกา โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศแถบอเมริกากลาง เช่น กัวเตมาลา ฮอนดูรัส และเอลซัลวาดอร์ ผ่านโครงการ “Root Causes Strategy” หรือ “ยุทธศาสตร์การแก้ไขที่ต้นตอ” ซึ่งเน้นการลงทุนในด้านการศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน การสร้างงาน และความปลอดภัยของชุมชนในภูมิภาคเหล่านี้ เพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ ลดความรุนแรง และสร้างโอกาสให้ประชาชนในประเทศเหล่านี้ไม่ต้องอพยพเข้าสู่สหรัฐ
9. ผู้นำลดความขัดแย้งทางเชื้อชาติ
กมลา แฮร์ริส แสดงจุดยืนชัดเจนในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางเชื้อชาติและลดการแบ่งแยกในสังคม โดยมองว่า ความยุติธรรมและความเท่าเทียมเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะนำสังคมสหรัฐไปสู่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และทำให้ทุกกลุ่มประชากรสามารถเติบโตได้อย่างเท่าเทียม
ในฐานะรองประธานาธิบดี กมลาได้ผลักดันโครงการและนโยบายเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมทางเชื้อชาติอย่างต่อเนื่อง เช่น การปฏิรูประบบยุติธรรม โดยสนับสนุนการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มีความเข้าใจและมีความอ่อนไหวต่อปัญหาความหลากหลายทางเชื้อชาติ ลดการใช้ความรุนแรงในกระบวนการจับกุม และเพิ่มการตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ในกรณีที่มีการกล่าวหาการเหยียดเชื้อชาติ การปฏิรูปเหล่านี้เป็นไปเพื่อเพิ่มความไว้วางใจระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน โดยเฉพาะในชุมชนที่มีชนกลุ่มน้อยจำนวนมาก
นอกจากนี้ กมลาให้การสนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจที่มุ่งเสริมสร้างโอกาสให้กับชนกลุ่มน้อย เช่น การสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กของชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันและละติน การให้โอกาสเข้าถึงแหล่งทุนและทรัพยากรในการพัฒนาทักษะอาชีพ รวมถึงการสนับสนุนให้มีการปฏิรูปการศึกษาเพื่อให้ทุกกลุ่มเชื้อชาติสามารถเข้าถึงโอกาสในการศึกษาอย่างเท่าเทียม นโยบายเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำและส่งเสริมการเจริญเติบโตของชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศ