เมกะสึนามิ 200 ม. ถล่มอ่าวกรีนแลนด์ 9 วัน สาเหตุแรงสั่นสะเทือนโลก
นักวิทยาศาสตร์ไขปริศนาแรงสั่นสะเทือนทั่วโลก พบเกิดจากหินมหึมา 25 ล้านลูกบาศก์เมตร ร่วงลงฟยอร์ดกรีนแลนด์ ก่อคลื่นยักษ์สูง 200 เมตร ซัดถล่มอ่าวนาน 9 วัน
มีการรายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศ เมื่อปีที่แล้ว (12 ก.ย. 2566) ว่า นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกตรวจจับสัญญาณแผ่นดินไหวปริศนาที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ทุก 90 วินาที เป็นเวลานานถึง 9 วัน การสืบสวนโดยทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติและกองทัพเรือเดนมาร์กเปิดเผยว่า สัญญาณเหล่านี้มีต้นกำเนิดจากแผ่นดินถล่มขนาดใหญ่ในฟยอร์ดแห่งหนึ่งของกรีนแลนด์
ฟยอร์ด คือ อ่าวแคบและลึกที่เกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำแข็งในอดีต มักมีรูปร่างคล้ายตัว “U” และมีความลึกมาก บางแห่งอาจลึกกว่า 1,000 เมตร โดยส่วนใหญ่มักพบในบริเวณที่เคยมีธารน้ำแข็งปกคลุม
แผ่นดินถล่มครั้งนี้ทำให้หิน 25 ล้านลูกบาศก์เมตรพุ่งกระแทกลงไปในน้ำ ก่อให้เกิด “เมกะสึนามิ” สูงถึง 200 เมตร คลื่นยักษ์นี้ถูกขังอยู่ในฟยอร์ดแคบ ๆ ทำให้มันเคลื่อนที่ไปมาเป็นเวลาถึง 9 วัน จนเกิดแรงสั่นสะเทือนที่ตรวจจับได้ทั่วโลก
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าแผ่นดินถล่มเกิดจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นในกรีนแลนด์ ซึ่งทำให้น้ำแข็งที่ฐานภูเขาละลาย เหตุการณ์นี้เน้นย้ำถึงผลกระทบที่เพิ่มขึ้นของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อภูมิภาคอาร์กติก และความจำเป็นในการวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผ่นดินถล่มขนาดยักษ์และสึนามิที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
สัญญาณแผ่นดินไหวปริศนาที่ตรวจจับได้ทั่วโลกในตอนแรกสร้างความงุนงงให้กับนักวิทยาศาสตร์ ทีมนักวิจัยนานาชาติและกองทัพเรือเดนมาร์กจึงร่วมมือกันสืบหาต้นตอของเหตุการณ์นี้ การใช้ข้อมูลแผ่นดินไหว ภาพถ่ายดาวเทียม และภาพถ่ายจากกองทัพเรือ ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถระบุตำแหน่งของแผ่นดินถล่มได้ที่ ดิกสัน ฟยอร์ด (Dickson Fjord) ทางตะวันออกของกรีนแลนด์
ปกติแล้ว สึนามิจะเกิดจากแผ่นดินไหวใต้ทะเลและสลายตัวไปอย่างรวดเร็วในมหาสมุทรเปิด แต่ที่ดิกสัน ฟยอร์ด กลับไม่เป็นเช่นนั้น ดินถล่มที่เกิดขึ้นลึกเข้าไปในแผ่นดินถึง ห่างจะทะเลเปิด 200 กิโลเมตร ส่งผลให้คลื่นยักษ์ถูกขังอยู่ในระบบฟยอร์ดที่ซับซ้อน คลื่นไม่สามารถกระจายพลังงานออกไปได้ จึงซัดสาดไปมาภายในฟยอร์ดนานถึง 9 วัน ก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนที่ตรวจจับได้ทั่วโลก นี่คือปรากฏการณ์ธรรมชาติที่น่าทึ่งและตอกย้ำถึงพลังอันมหาศาลของธรรมชาติ แม้จะอยู่ในพื้นที่ห่างไกล แต่ก็ยังส่งผลกระทบเป็นวงกว้างได้
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสาเหตุสำคัญของแผ่นดินถล่มครั้งนี้คือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้ธารน้ำแข็งที่รองรับภูเขาละลายลง ส่งผลให้ภูเขาไม่มั่นคงและพังทลายลงมา
แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นในพื้นที่ห่างไกลและไม่มีผู้เสียชีวิต แต่ก็เป็นเครื่องเตือนใจถึงผลกระทบที่เพิ่มขึ้นของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อภูมิภาคอาร์กติก นักวิทยาศาสตร์เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการดำเนินการวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผ่นดินถล่มขนาดยักษ์และสึนามิที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อเตรียมความพร้อมและลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติทางธรรมชาติเหล่านี้
อ้างอิง: BBC
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง