เป็นเซเลบริตี้อีกหนึ่งท่านที่แฟนรายการหลายคนตั้งตารอ สำหรับ ‘ติช่า กันติชา ชุมมะ‘ หรือ ‘ติช่า เดอะเฟซ‘ ล่าสุด (25 ก.พ. 66) เธอให้เกียรติมาเป็นแขกรับเชิญใน ‘The Thaiger Podcast‘ เผยสาเหตุที่ทำ ‘I KAN TEACHA‘ รายการที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์ ซึ่งมี ‘เจย์ The Thaiger‘ รับหน้าที่เป็นพิธีกร โดยเธอเล่าว่า
คุณรู้สึกว่าอยากพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์ในที่สาธารณะมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
“ฉันไม่เคยคิดว่าจะต้องเปิดเผยเรื่องนี้ในที่สาธารณะ แต่ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ มันอาจจะเริ่มจากอะไรบางอย่างที่ละเอียดอ่อนอย่างเช่น ตอนที่ฉันโพสต์ภาพจูบกับแฟน(เก่า)ในอินสตาแกรม ตอนนั้นเป็นข่าวที่คนพูดถึงแบบ โอ้…เป็นเรื่องใหญ่ มันเริ่มตั้งแต่ตอนนั้น แล้วหลังจากนั้น 1 ปี พอมีภาพดาราจูบกันมันก็กลายเป็นแค่เรื่องปกติไปแล้ว บางทีมันอาจจะเริ่มต้นที่จุดนั้น จากการแสดงความรักในที่สาธารณะ เช่น การจูบจนนำไปสู่เรื่องเซ็กซ์ มันเป็นแบบนี้มาเรื่อย ๆ จนฉันเริ่มคิดที่จะมาทำยูทูบเรื่องนี้
คุณเคยรู้สึกเหมือนโดนปฏิเสธเพราะความกล้าของคุณไหม ?
“ฉันคิดว่าสิ่งที่เกี่ยวกับการโดนปฏิเสธ คือ พวกเขาไม่เข้ามาบอกฉันตรง ๆ ตัวอย่างเช่น ตอนที่ฉันไปแคสติ้งฉันรู้ตัวว่า ฉันถูกปฏิเสธ แต่เขาเลือกที่จะไม่บอกสาเหตุกับฉันตรง ๆ ว่า เธอเสียงดัง เธอเป็นอย่างนั้น เธอเป็นอย่างนี้ ดังนั้นฉันไม่เคยรู้เลยเกี่ยวกับเรื่องนี้”
เห็นด้วยไหมว่า มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์ในประเทศไทย ?
“ใช่ บางทีฉันก็รู้สึกว่า เวลาที่ฉันพูดอะไรออกไปมันทำให้ฉันดูแย่ แต่ในหลาย ๆ ประเทศที่ถูกห้ามไม่ให้พูดถึงเรื่องนี้มันเป็นอะไรที่ประหลาดมาก อย่างเช่น การที่คุณใส่บิกินีในสถานที่ที่คุณสามารถใส่ไปเที่ยวได้ มันเป็นเรื่องปกติ แต่บางคนอาจจะรู้สึกว่า โอ้…มันยั่วยุเกินไป เรื่องเซ็กซ์ก็เช่นเดียวกัน”
ทำไมคุณถึงคิดว่าคนกลัวที่จะพูดเรื่องเซ็กซ์ ?
“โดยปกติคุณจะถูกตัดสินเมื่อคุณพูดถึงเรื่องเซ็กซ์ ถ้าเลือกได้ฉันก็ไม่ได้อยากโดนตัดสิน ไม่มีใครควรโดนตัดสินเลยด้วยซ้ำ ฉันอาจจะดูไม่คิดมาก แต่ถ้าเลือกได้ก็อย่าเกลียดฉันเลย อย่าตัดสินฉัน ฉันก็ไม่อยากถูกมองไม่ดีในสายตาคุณเหมือนกัน มันมีหลายวิธีในการสื่อสารสำหรับคนในครอบครัว พ่อ-แม่จะไม่เลือกพูดมันออกมาตรง ๆ แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ อย่างเช่น ฉากที่มีเซ็กซ์ในระหว่างดูหนัง บางคนเลือกที่จะปิดตา บางคนหันไปมองที่อื่น แต่นั่นมันยิ่งทำให้เด็กรู้สึกอึดอัด ซึ่งแท้จริงแล้วเขารู้
พ่อ-แม่อาจจะคิดว่านี่เป็นสิ่งที่น่าอาย ยอมรับไม่ได้ และมันคือสิ่งที่พวกเราสื่อสารกันแบบไม่รู้ตัว เหมือนเราไม่พูดถึงมันแต่ไม่ คุณแค่ไม่รู้ตัวว่าคุณกำลังสื่อสารมันออกมาอยู่”
