รากฟันเทียม (Implant) คืออะไร ? และมีความสำคัญอย่างไร ?
รากฟันเทียม (Implant) คืออะไร เป็นการทำทันตกรรมแบบใด และใครที่เหมาะสมกับการทำรากฟันเทียมบ้าง วันนี้ Thaiger Medical จะพาทุกท่านมารู้จักวิธีการรักษารากฟันให้มากขึ้น เพื่อที่ท่านจะสามารถตัดสินใจได้ว่าตนเองเหมาะ หรือมีโอกาสต้องทำการรักษาด้วยวิธีรักษารากฟันเทียมหรือไม่ รวมไปถึงการบอกให้รู้ถึงข้อดีข้อเสีย ตลอดจนถึงค่าใช้จ่ายโดยประมาณในการรักษา รวมอยู่ในบทความนี้ท่านจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องการทำรากฟันเทียมอีกต่อไป
รากฟันเทียม (Implant) คืออะไร ?
รากฟันเทียมหรือในอีกชื่อหนึ่งคือการทำทันตกรรมรากเทียม เป็นการรักษาโดยการผ่าตัดใส่วัสดุทดแทนฟัน และรากฟันแท้ที่ถูกถอนออกไปเนื่องจากเหตุผลต่าง ๆ ในการทำทันตกรรม ซึ่งวัสดุที่ว่านี้มีส่วนประกอบที่ทำมาจาก “ไทเทเนียม (Titanium)” เป็นหลักจึงมีความแข็งแรงปลอดภัยต่อร่างกาย
โดยหลังจากการผ่าตัดเพื่อใส่รากฟันเทียมแล้ว ทันตแพทย์ก็จะทำการติดตั้งฟันปลอมในตำแหน่งเดียวกับรากฟัน ซึ่งเมื่อทำการติดตั้งแล้ว ก็จะสามารถใช้งานได้อย่างทนทาน เนื่องจากเป็น ทันตกรรมฟันปลอมแบบติดแน่น จึงมีความแข็งแกร่งเสมือนฟันธรรมชาติ แถมยังดูแลรักษาความสะอาดง่าย และช่วยเพิ่มความมั่นใจในบุคคลิกภาพอีกด้วย
[lasso ref=”mordee-4″ id=”631435″ link_id=”157068″]
ส่วนประกอบของรากฟันเทียม
รากฟันเทียมนั้นจะเป็นวิธีการรักษา ที่ใช้ควบคู่กับการครอบฟัน (Crown) ซึ่งเป็นดั่งหน้าตาของรากฟัน ดังนั้นหากแบ่งส่วนประกอบของรากฟันเทียมหนึ่งชิ้นจะได้ดังนี้
- Screw เป็นส่วนที่ฝังอยู่ภายในช่องฟันภายใต้เหงือก และทำหน้าที่เป็นรากฟันในกับฟันปลอมนั่นเอง
- Abutment คือองค์ประกอบที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างรากฟันเทียม และครอบฟัน ที่ทำหน้าที่ทดแทนแกนฟัน
- Crown หรือครอบฟัน ซึ่งเป็นดั่งหน้าตาของฟันทำมาจากเซรามิก และเป็นส่วนที่ใช้รับประทานอาหารโดยตรง
ใครบ้างที่ควรรักษาด้วยวิธีการทำทันตกรรมรากฟันเทียม
การทำรากฟันเทียมนั้นเป็นการรักษาที่เกิดขึ้นได้ในหลายกรณี ซึ่งมีสาเหตุที่แตกต่างกันออกไปโดยจะมีสาเหตุหลัก มาจากเหตุการณ์ต่อไปนี้
- คนที่ประสบอุบัติเหตุทำให้ฟันแท้เกิดการเสียหาย
- คนที่มีฟันแตก หรือหัก และได้รับการประเมิณจากทันตแพทย์ให้ทำการถอนฟัน และทำรากเทียมแทนฟันซี่ที่สูญเสียไป
- หากมีปัญหาในเรื่องของเหงือกและฟัน ควรจะเข้ารักษาให้หายเรียบร้อยเสียก่อน มิเช่นนั้นอาจจะทำให้การปลูกถ่ายรากฟันเทียมล้มเหลวได้
- คนที่มีปัญหากับการทำฟันปลอมแบบถอดได้ เช่น ทำแล้วไม่สำเร็จ หรือมีปัญหาในเรื่องของการดูแลรักษาช่องปากที่ยุ่งยาก จากการใส่ฟันปลอม
- ปัญหาฟันหายเพียงซี่เดียว โดยที่เป็นรอยแหว่งแต่ฟันข้างเคียงยังอยู่ในสภาพที่ดี
- ผู้ที่ใส่ฟันปลอมทั้งปากแล้วประสบปัญหา กระดูกขากรรไกรล่างยุบตัวลงมาก ทำให้ฟันปลอมหลุดได้ง่าย ซึ่งการทำรากฟันเทียมก็จะช่วยให้ฟันปลอมติดแน่นขึ้น
- ผู้ที่ไม่ต้องกรอฟันเพื่อการทำทันตกรรมสะพานฟันติดแน่น
ทั้งนี้การทำรากฟันเทียมสามารถทำได้ในคนไข้ที่สูญเสียฟันแท้ แต่แนะนำว่าควรจะมีอายุ 18 ปี ขึ้นไปเพราะหากยังไม่ถึง 18 ปี กระดูกขากรรไกรก็อาจจะยังเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่
ใครบ้างที่ไม่ควรรักษาด้วยวิธีการทำทันตกรรมรากฟันเทียม
หากพูดถึงบุคคลที่ควรรักษาด้วยการทำทันตกรรมรากฟันเทียมแล้วนั้น เรามีคำแนะนำถึงกลุ่มคนที่ไม่ควรจะรับการรักษาด้วยระบบรากฟันเทียมอีกด้วย โดยกลุ่มคนที่ว่ามีดังนี้
- สตรีที่มีภาวะตั้งครรภ์ เพราะหากทำการรักษารากฟันเทียมในระหว่างที่ตั้งครรภ์อาจส่งผลให้เกิดอันตรายแก่ทารกและมารดาได้ ทั้งนั้นทางที่ดีคือ รอให้คลอดก่อนแล้วจึงค่อยทำทันตกรรม
- คนไข้ที่มีโรคประจำตัวที่ควบคุมไม่ได้ เช่น เบาหวาน มะเร็ง หรือลูคิเมีย รวมถึงปริทันต์อักเสบรุนแรง
- คนไข้ที่มีอาการอื่น ๆ เช่น ผู้ป่วยที่มีอาการไขข้ออักเสบรุนแรง และผู้ป่วยที่ต้องรับยากดภูมิคุ้มกัน
เริ่มต้นจากการเข้ารับการตรวจสุขภาพประเมินสภาพในช่องปาก ว่าตำแหน่งที่ฟันถูกถอนออกนั้นมีความเหมาะสม และพร้อมจะฝังรากเทียมหรือไม่ ซึ่งมีทั้งการถ่ายภาพรังสีแบบธรรมดา และแบบ 3 มิติ (3D Cone Beam CT)
แล้วจึงวางแผนทำการรักษา หลังจากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนการผ่าตัดฝังรากเทียมด้วยลงไปในเหงือกในตำแหน่งที่ต้องการ โดยจะมีการตัดไหมและดูแผลเป็นระยะเวลา 7 ถึง 14 วันหลังการผ่าตัด และเข้าสู่การทิ้งช่วงรอเวลาให้รากเทียมยึดติดกับกระดูกขากรรไกรประมาณ 3 ถึง 6 เดือน
เมื่อรากเทียมได้ยึดติดกับกระดูกในเหงือกเรียบร้อยแล้ว ทันตแพทย์จะทำการพิมพ์ปากและเลือก Abutment เพื่อความเหมาะสมในการเชื่อมระหว่างรากเทียมกับครอบฟันด้านบน และทำฟัน ซึ่งทันตแพทย์จะนัดคนไข้มาลองครอบฟันหลังจากพิมพ์ปากไปแล้ว 1 ถึง 2 สัปดาห์
อาการหลังการรักษารากฟัน
หลังจากการรักษารากฟันนั้นอาจจะเกิดอาการปวดบวม ภายหลังการผ่าตัดซึ่งอาจะเกิดขึ้นได้ประมาณ 5 ถึง 7 วัน ซึ่งหากรับประทานยาตามคำแนะนำของทันตแพทย์ อาการก็จะดีขึ้นจนเป็นปกติ กรณีที่มีหนอง หรือมีไข้ รวมไปถึงอาการชาบริเวณส่วนที่ได้รับการรักษาจนผิดปกติ จนกระทั่งปวดบวมรุนแรงหรือมีเลือดออกบ่อย ให้ผู้ป่วยกลับมาพบทันตแพทย์เพื่อตรวจอาการให้เร็วที่สุด
คำแนะนำสำหรับการดูแลรักษารากฟันเทียม
การรักษารากฟันเทียม เหมือนกับการดูแลฟันธรรมชาติ และควรจะแปรงฟันหลังรับประทานอาหารและก่อนเข้านอนอย่างน้อย 2 ครั้งต่อวัน และควรใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ 1 ถึง 2 ครั้ง และเข้าพบทันตแพทย์ทุกครั้ง นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำอื่น ๆ เช่น
- รับประทานอาหารเหลวในช่วงวันแรก ๆ หลังจากทำรากฟันเทียม
- ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีลักษณะแข็งในช่วง 1 ถึง 2 เดือนแรก
- ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีความร้อนจัดหรือเย็นจัดในช่วง 1 ถึง 2 วันแรก
- งดการสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ระยะเวลาของรากฟันเทียมจะอยู่ได้นานแค่ไหน ?
ระยะเวลาของรากฟันเทียมโดยปกติแล้วจะมีระยะเวลา 10 ถึง 20 ปี ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของฟัน
5ข้อดีของการรักษาด้วยรากฟันเทียม
ข้อดีของการรักษาด้วยรากฟันเทียมมี ดังนี้
- มีประสิทธิภาพที่ทัดเทียมกับฟัน ทำให้สามารถบดเคี้ยวอาหารได้อย่างสะดวก
- ไม่มีปัญหากับการออกเสียง เมื่อเทียบกับฟันเทียมชนิดอื่น
- ดูแลรักษาความสะอาดง่าย
- เพิ่มความมั่นใจในบุคคลิกของคุณ
- ไม่จำเป็นต้องกรอและแต่งฟันข้างเคียง
5ข้อจำกัดของการรักษาด้วยรากฟันเทียม
แม้ว่าจะมีข้อดีมากมายเพียงใดแต่การรักษาด้วยรากฟันเทียมก็มีข้อจำกัดเช่นกัน ซึ่งข้อจำกัดของการรักษาด้วยรากฟันเทียมมี ดังนี้
- มีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง
- การทำรากเทียม มีการผ่าตัดและใช้เวลาในการรักษานานกว่าแบบอื่น
- หากมีโรคประจำตัวจะไม่แนะนำให้ทำการรักษาเป็นอย่างยิ่ง และควรพบทันตแพทย์เพื่อปรึกษาหาแนวทางต่อไป
- ในกรณีที่ฟันกรามเกิดความเสียหายอย่างหนัก การทำรากฟันเทียมก็อาจจะไม่ดูสวยงามเหมือนเป็นธรรมชาติได้
- หากมีปัญหาในเรื่องของฟันกรามควรจะปรึกษาทันตแพทย์ให้ดีเพราะอาจทำให้ผลการรักษาไม่เป็นไปอย่างที่คิดได้
หากต้องการใช้บริการ รากฟันเทียม (Implant) ?
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังมองหา รากฟันเทียม (Implant) เพื่อฟื้นฟูสภาพฟันเพื่อทดแทนฟันที่บิ่นหรือหัก และเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน เราขอแนะนำให้ทุกท่านลองเข้ามาชมดีลเจ๋ง ๆ พร้อมส่วนลดเด็ด ๆ ที่ mordee.co ในราคาที่เป็นกันเองและสามารถเอื้อมถึงได้สามารถกดเข้าไปดูได้ที่ ? ดีลเด็ดสุดคุ้มทั้งหมด บอกเลยว่างานนี้ไม่ควรพลาดอย่างแน่นอน ตัวอย่างเช่น
? ภูเก็ต เดนทัลซิกเนเจอร์ 1 Dental Implant / per tooth (SIC Swiss) ราคาปกติอยู่ที่ 75,000 บาท แต่หากคุณทำการจองผ่านเว็บไซต์ mordee.co จะเหลือเพียง 44,000 บาทเท่านั้น >> คลิกที่นี่เพื่อจอง
? ภูเก็ต เดนทัลซิกเนเจอร์ 1 Dental Implant / per tooth (PI Branemark) ราคาปกติอยู่ที่ 65,000 บาท แต่หากคุณทำการจองผ่านเว็บไซต์ mordee.co จะเหลือเพียง 50,000 บาทเท่านั้น >> คลิกที่นี่เพื่อจอง
?โรงพยาบาลฟัน กรุงเทพ อินเตอร์เนชั่นแนลSwiss SIC Dental Implant ที่หากจองด้วยราคาปกติจะอยู่ที่ 80,000 บาท แต่หากคุณทำการจองผ่านเว็บไซต์ mordee.co จะเหลือเพียง 60,000 บาทเท่านั้น
และพิเศษสุด ๆ หากจองการทำ Swiss SIC Dental Implant ผ่านทางหมอดี รับไปเลยสิทธิพิเศษ CT Scan มูลค่า 12,000 ฟรี! >> คลิกที่นี่เพื่อจอง !!!
หากคุณต้องการความช่วยเหลือเกี่ยวกับคำถามของสามารถแอดไลน์มาเพื่อสอบถามกันได้ที่ @mordee