‘ฟ้าใส ปวีณสุดา’ ยอมรับว่าตัวเองเคยถูก บูลลี่ หนักจนถึงขั้นเกือบเป็น ซึมเศร้า ชี้ แม้ว่าวันนี้จะน้อยลง แต่ก็ไม่อยากให้ใครต้องมาเจอแบบตน
มีข่าวการ บูลลี่ ในวงการนางงามมาให้พวกเราได้ติดตามกันอยู่เรื่อย ๆ คราวนี้เป็นทีของ ‘ฟ้าใส ปวีณสุดา ดรูอิ้น‘ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 ที่ออกมาเปิดใจให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อเกี่ยวกับละครเรื่องแรกในชีวิต หวั่นผลตอบรับออกมาไม่ดี ยอมรับว่าตัวเองเคยถูกบูลลี่หนักจนถึงขั้นเกือบเป็นซึมเศร้า ชี้ แม้ว่าทุกวันนี้จะลดน้อยลง แต่ก็ไม่อยากให้ใครต้องมาเจอแบบตน โดยระบุว่า
“ตอนเป็นนางงามก็มีภูมิคุ้มกันสูงในด้านบูลลี่เหมือนกันนะคะ หนูคิดว่าเราก็เปิดใจเหมือนกันว่าถ้ากระแสตีกลับจะเป็นยังไง ก็หวังว่าเราทำได้ในระดับหนึ่ง การเล่นละครครั้งแรกก็ฝากทุกคนติดตามและเป็นกำลังใจให้ และถ้าอยากมีอะไรจะแนะนำ ก็แนะนำขอแบบอย่ารุนแรงกับหนูนะ (หัวเราะ) ติได้ เพื่อที่หนูจะเอามาพัฒนาตนเองได้ แต่ไม่ใช่ติเชิงบูลลี่ เหมือนเรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้
เรื่องบูลลี่ตอนเป็นนางงามเคยเจอมาแล้ว เรื่องของนักแสดงยังไม่เคยเจอ ตอนนั้นโดนเยอะมาก หลายปีเลยนะ คือใครที่ฟังความข้างเดียว หรือในข่าวเท็จแล้วเชื่อไป คือเขาไม่เคยเจอเรา แล้วไม่เปิดใจมาดูว่าเราเป็นแบบนั้นจริงไหม แต่เวลาผ่านไป มีผู้ใหญ่ให้โอกาสก็มีการรับงานมากขึ้น
เรื่องบูลลี่เรื่องเข้าใจผิดต่าง ๆ ก็เริ่มลดลง เพราะเขาคงเห็นว่าฟ้าใส่ไม่ได้เป็นแบบนั้นนี่นา มีท้อช่วงแรก เจอเยอะอยู่แล้ว มีช่วงที่ทำให้รู้สึกเปลี่ยนไปเหมือนกัน หลายคนก็จะทักว่าเป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่า หนูจะคุยกับพ่อตลอด แต่มีช่วงหนึ่งไม่อยากทำอะไร ไม่คุยกับพ่อ ไม่คุยกับใครทั้งนั้น นั่งอยู่กับบ้าน ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น นั่งอยู่เฉย ๆ คือดิ่งเลย แล้วยากที่จะเอาตัวเองออกมา
โชคดีที่ว่าเพื่อนทักมาว่าเราเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม ณ ตอนนั้นเราแค่รู้สึกว่าเราไม่ได้เปลี่ยนไป แต่เบื่อ แต่เราเข้าใจผิดว่าการเบื่อนั้นมันเหมือนเราอยากพัก แต่มันนานเกินไป มันนานเป็นปี คนเพื่อนทักเราก็เริ่มรู้ตัว ทุกอย่างมันอัดมาเราเก็บมาแต่เราไม่ได้พูดออกไป ทำให้เราคิดว่าเพราะเราเงียบ ก็เลยเข้าใจผิดกันไปใหญ่ ตอนนี้มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แน่นอนเหมือนเราประสบการณ์เยอะขึ้นด้วย แต่ก็ไม่อยากให้ใครเจอแบบฟ้าใส
ถามว่าอะไรที่ทำให้เราก้าวข้าม เกือบจะซึมเศร้า อย่างที่บอกคือการที่เราได้พูดความในใจให้คนที่เราอยากพูดด้วย อย่างในรายการหนึ่งเราก็ได้พูดออกไปแล้ว ทุกอย่างที่อัดเอาไว้ เราก็ได้พูดออกมา นี่คือเรื่องของเราอยู่ที่คุณแล้วว่าจะเชื่อไหม ก็ขอบคุณที่ได้รับฟังคำสัมภาษณ์”