‘โอบา’ เหมาแซง! ไฮไลท์ อาร์เซนอล 2-1 เชลซี : เอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศ – ดราม่าเพียบ
‘โอบา’ เหมาแซง! ไฮไลท์ อาร์เซนอล 2-1 เชลซี : เอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศ – ดราม่าเพียบ
อาร์เซนอล 2-1 เชลซี – เมื่อคืนที่ผ่านมา (1 สิงหาคม) เวลา 23.30 น. การแข่งขันฟุตบอล เอมิเรตส์ เอฟเอ คัพ ฤดูกาล 2019-2020 รอบชิงชนะเลิศ ดาร์บี้แมตช์ กรุงลอนดอน พลพรรค “เดอะ กันเนอร์ส” อาร์เซนอล ทำศึกนัดสำคัญปะทะ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ณ สนามเวมบลีย์ สเตเดียม
11 ตัวจริงของทั้งสองทีม
- อาร์เซนอล: (GK) เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ, ร็อบ โฮลดิ้ง, ดาวิด ลุยซ์, คีแรน เทียร์นีย์, เอคตอร์ เบเญริน, กรานิท ชาก้า, ดานี่ เซบาญอส, เอนสลีย์ เมตแลนด์-ไนลส์, นิโกลาส์ เปเป้, อเลซองดร์ ลากาแซตต์ และ ปิแอร์-เอเมริค โอบาเมยอง
- เชลซี: (GK) วิลลี่ กาบาเยโร่, เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, เคิร์ต ซูม่า, อันโตนิโอ รูดิเกอร์, รีซ เจมส์, จอร์จินโญ่, มาเตโอ โควาซิช, มาร์กอส อลอนโซ่, เมสัน เมาท์, คริสเตียน พูลิซิช และ โอลิวิเยร์ ชิรูด์
“ไอ้ปืนใหญ่” นำทัพมาโดย มิเกล อาร์เตต้า ซึ่งวันนี้หักปากกาเซียนเล็กน้อย ตัดสินใจส่ง เมตแลนด์-ไนลส์ ไปประจำการที่กราบซ้าย แดนหน้ายังใช้สามประสาน ลากาแซตต์ เปเป้ และ โอบาเมยอง ขณะที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด ไม่คิดอะไรมาก ใช้ผู้เล่นชุดเดิมจากเกมอัด วูล์ฟแฮมป์ตัน นัดปิดฤดูกาล
นาทีที่ 3 เอนสลีย์ เมตแลนด์-ไนลส์ ได้บอลหลุดไลน์ล้ำหน้าไปสุดเส้นหลังตรงมุมธง เจ้าตัวแตะบอลหลบ อัซปิลิกวยต้า มาสวย ก่อนครอสถึง ปิแอร์-เอเมริค โอบาเมยอง ขึ้นโขกหลุดกรอบ ปืนทักทายก่อน
นาทีที่ 4 เมสัน เมาท์ ขโมยบอลจากผู้เล่น อาร์เซนอล มาได้ ก่อนพาบอลมาหาจังหวะปั่น เลือกไปที่เสาสอง เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ ยังบินปัดออกหลัง ลูกนี้บอกเลยถ้าพลาดโค้งเข้าประตูไปสุดสวยแน่นอน
GOAL! นาทีที่ 5 เชลซี ออกนำไวจนได้ จุดเริ่มต้นมาจาก พูลิซิช เองที่พาบอลมาเชื่อมกับ เมาท์ ในเขตโทษ ก่อนจ่ายต่อให้ ชิรูด์ แตะกลับมาให้ พูลิซิช ยิงตรงกรอบ 6 หลา ไม่มีพลาด สิงห์ 1-0 ปืน
นาทีที่ 7 นิโกลาส์ เปเป้ ลองตอบโต้บ้าง คราวนี้ได้โอกาสส่องระยะไกล แต่ก็ตรงตัวของ กาบาเยโร่
นาทีที่ 10 พูลิซิช พลิ้วมาเองอีกแล้ว คราวนี้ลากมาได้ถึงในกรอบเขตโทษ ซัดด้วยขวา มาร์ติเนซ ยังทัน
นาทีที่ 14 มาเตโอ โควาซิช เข้าบอลจังหวะ 50-50 ไปเสียเหลี่ยมให้ ชาก้า โดนใบเหลืองเป็นคนแรก!
นาทีที่ 16 ปืนใหญ่ ได้ฟรีคิกระยะหวังผล ดานี่ เซบาญอส วิ่งมาซัดเน้นๆ บอลพุ่งแรงหลุดคานไปนิดเดียว
นาทีที่ 25 โอบาเมยอง ได้บอลทางซ้ายของหัวกะโหลก เจ้าตัวจ่ายเข้ากลาง ลากาแซตต์ ขยับหลอก บอลไปถึง เปเป้ วิ่งเข้ามาปั่นด้วยซ้าย บอลโค้งเสียบตาข่ายเข้าไปแบบสุดสวย แต่ปรากฏว่าไลน์แมนยกธงล้ำหน้าไปแล้ว เช็ค VAR เพื่อความชัวร์อีกที ก็เป็นจังหวะล้ำหน้าของ ไนลส์ จริงๆ เชลซี ยังนำ 1-0
PENALTY! นาทีที่ 26 ปิแอร์-เอเมริค โอบาเมยอง ได้บอลทิ้งยาวจากเพื่อน โชว์สปีดแซง อัซปิลิกวยต้า ไปดื้อๆ สุดท้าย แนวรับกัปตันทีมสิงห์บลูส์ ต้องเหนี่ยวล้มลงไปในเขตโทษ ผู้ตัดสิน แอนโธนี่ เทย์เลอร์ ไม่รอช้า ชี้ไปที่จุดโทษทันที – เช็ค VAR ดูอีกรอบเพื่อความชัวร์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำตัดสิน
GOAL! นาทีที่ 28 ศูนย์หน้ากาบอง เลือกซัดไปทางขวามือตัวเอง อาร์เซนอล ตีเสมอเป็น 1-1
นาทีที่ 35 ข่าวร้ายแฟนสิงห์ อัซปิลิกวยต้า เจ็บแฮมสตริง ต้องเปลี่ยนเอา คริสเตนเซ่น ลงมาแทน
นาทีที่ 36 เมสัน เมาท์ โชว์เลื้อยในกรอบเขตโทษ ก่อนตัดสินใจไหลออกมาให้ จอร์จินโญ่ ซัดข้ามคาน
นาทีที่ 44 นิโกลาส์ เปเป้ เลี้ยงเลาะ 3 แนวรับ เชลซี ได้ ก่อนเจอเตะร่วงตรงเส้นเขตโทษ โชคดีที่เป็นแค่ฟรีคิกตรงหัวกะโหลก หนนี้ ลากาแซตต์ ขอลองกดด้วยขวาเต็มแรง บอลหลุดเสาสองออกไปไกล
45 นาทีแรก จบลงที่สกอร์ 1-1 พร้อมกับรูปเกมของ ปืนใหญ่ ที่ดีขึ้นตามลำดับ ต้องลุยกันต่อในครึ่งหลัง
นาทีที่ 46 เปิดมาแค่ไม่กี่วินาที ปืนโต ไปเสียบอลง่ายๆ ให้ คริสเตียน พูลิซิช กระชากบอลมาเองเดี่ยวๆ เข้ากรอบเขตโทษ เลือกแปด้วยเท้าขวาแต่ออกหลังแบบน่าผิดหวัง ปรากฏว่า ดูจากภาพช้า เจ้าตัวมีอาการบาดเจ็บแฮมสตริงตั้งแต่ตอนที่เลี้ยงบอลมาแล้ว สุดท้ายเล่นไม่ไหว ต้องเอา เปโดร ลงมาแทน
รูปเกมในช่วงครึ่งหลัง ค่อนข้างเอียงมาทาง อาร์เซนอล ที่วันนี้เล่นบอลเพรสซิ่ง บีบเร็ว เหมือนที่เคยทำกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขณะที่ เชลซี ทำได้แค่เพียงเคาะบอลไปมา ไม่ค่อยมีจังหวะจบสกอร์จะแจ้ง
GOAL! นาทีที่ 67 เอคตอร์ เบเญริน อย่างคึก พาบอลจากแนวหลังมาเอง เจ้าตัวกระชากผ่านมาหมดตรงกลางสนาม คริสเตนเซ่น พยายามเข้าสกัดโดนบอล แต่ไปเข้าทางของ ปิแอร์-เอเมริค โอบาเมยอง ทางซ้าย โอบาเมยอง ค่อยๆ เลื้อยเข้าเขตโทษ แล้วล็อคหลบ เคิร์ต ซูม่า ก่อนยกบอลผ่านตัว วิลลี่ กาบาเยโร่ เข้าไปแบบสุดเหนือชั้น อาร์เซนอล ขึ้นนำ 2-1 กูนเนอร์ส ทางบ้านเฮกันลั่น!
นาทีที่ 73 แลมพาร์ด ถึงกับกุมขมับ มาเตโอ โควาซิช เข้าบอล 50-50 กับ กรานิท ชาก้า อีกรอบ กลายเป็น ชาก้า ลงไปกองกับพื้น ผู้ตัดสินคิดอยู่นานก่อนแจกใบเหลืองที่สอง เป็นใบแดงให้กับ โควาซิช จังหวะนี้ถือว่าโชคร้ายมาก เพราะดูจากภาพช้าแล้วค่อนข้างจะเป็นจังหวะปะทะที่แฟร์พอสมควร
นาทีที่ 78 “ซูเปอร์แฟรงค์” ต้องส่งทั้ง แทมมี่ อับราฮัม ฮัดสัน-โอดอย และ บาร์คลีย์ ลงมาเปลี่ยนเกม
นาทีที่ 80 เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ ทำให้แฟนปืนใจหายแว้บ เพราะเจ้าตัวดันออกมาใช้มือรับบอลนอกกรอบเขตโทษ ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการเป็นแฮนด์บอล แต่หลังจากดูภาพช้ากันแล้วนั้น มาร์ติเนซ ใช้มือจับลูกฟุตบอลในเส้นกรอบเขตโทษพอดี ช็อตนี้ถือว่า ผู้ตัดสินตัดสินใจได้ถูกต้อง และไม่เป็นการฟาล์ว
ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ แม้จะยิงยาวกันถึง 7 นาที แต่ เชลซี ที่ตัวผู้เล่นน้อยกว่าก็ไม่สามารถเจาะแนวรับของ อาร์เซนอล ได้ แถม เปโดร ก็ดันมีอาการบาดเจ็บที่บริเวณไหล่ ถึงขั้นต้องลงเปล และให้ออกซิเจน
สุดท้ายหมด 90 นาที “เดอะ กันเนอร์ส” อาร์เซนอล พลิกเอาชนะ เชลซี 2-1 คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ฤดูกาล 2019-2020 ไปครอง แถมยังทำสถิติครองแชมป์เป็นสมัยที่ 14 มากที่สุดในประวัติศาสตร์!
สถิติที่น่าสนใจหลังเกม
- อาร์เซนอล ทำสถิติสูงสุด คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดของ อังกฤษ เป็นสมัยที่ 14 นอกจากนี้ พวกเขายังเป็นสโมสรแรกที่เอาชนะคู่แข่งทีมเดิม (เชลซี) ใน รอบชิงชนะเลิศ เป็นจำนวนถึง 3 ครั้งในถ้วยนี้
- มิเกล อาร์เตต้า นายใหญ่สแปนิช กลายเป็นคนแรกที่ชูถ้วย เอฟเอ คัพ ได้ทั้งในฐานะกัปตันทีม และผู้จัดการทีม
- ชัยชนะในวันนี้ ทำให้ อาร์เซนอล สร้างสถิติใหม่เข้าชิง 7 ครั้งหลังสุดใน เอฟเอ คัพ นับตั้งแต่ปี 2002 พวกเขาคว้าแชมป์ได้ทุกครั้ง ไม่มีใครเคยทำสถิตินี้ได้มาก่อน
- ขณะที่ สิงโตน้ำเงินคราม พ่ายไปแล้ว 3 จาก 10 ครั้งหลังสุดใน นัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ โดยสามครั้งดังกล่าวเกิดขึ้นจากน้ำมือของ ไอ้ปืนใหญ่
- มิเกล อาร์เตต้า ยังกลายเป็นผู้จัดการทีม อาร์เซนอล คนแรก ที่สามารถคว้าแชมป์ได้ระดับเมเจอร์ได้ในฤดูกาลแรกที่เข้ามากุมบังเหียนปืนโต นับตั้งแต่ยุคของ จอร์จ เกรแฮม กุนซือชาวสก็อต ในฤดูกาล 1986-87
ภาพจาก Whoscored
https://www.facebook.com/Arsenal/photos/a.10150246028422713/10158301474617713/?type=3&theater
https://www.facebook.com/Arsenal/videos/2546495495661880/
ไฮไลท์การแข่งขัน พร้อมการฉลองแชมป์
(จังหวะเตรียมชูถ้วยแชมป์ของ ปิแอร์-เอเมริค โอบาเมยอง เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อถ้วย เอฟเอ คัพ ร่วงออกจากฐานไปนอนกับพื้น สร้างเสียงหัวเราะให้กับเพื่อนร่วมทีมเป็นอย่างมาก)