ข่าวอาชญากรรม

จำคุก อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ 6 ปี 24 เดือน คดีทุจริตฟอกเงิน

จำคุก อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ 6 ปี 24 เดือน รอลงโทษ 1 ปี คดีทุจริตฟอกเงิน

เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ อท.205/2561 ในคดีที่พนักงานอัยการ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พระเมธีสุทธิกร หรือพระราชอุปเสณาภรณ์หรือพระมหาสังคม หรือสังคมญาณวฑฒโน หรือนายสังคม สังฆะพัฒน์ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ,พระวิจิตรธรรมาภรณ์ หรือพระมหาเทิด หรือนายเทอด วงศ์ชะอุ่ม อดีตเจ้าคุณเทอด ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ นายทวิช สังข์อยู่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ บริษัท ดีดีทวีคูณ ที่รับผลิตสื่อให้วัดสระเกศฯ

โจทก์ฟ้องระบุว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 และ 2 เป็นพระสงฆ์จำเลยที่ 1 มีสมณศักดิ์ชื่อพระเมธีสุทธิกร จำเลยที่ 2 มีสมณศักดิ์ชื่อพระวิจิตรธรรมาภรณ์ ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เป็นตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์ จึงมีสถานะเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาและพ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 มาตรา 45 มีหน้าที่ช่วยเหลือเจ้าอาวาส ดูแลบำรุงรักษาวัดและจัดกิจการศาสนสมบัติของวัด ตลอดจนปกครองและสอดส่องให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ที่อยู่หรือพักอาศัยในวัดให้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย กฎข้อบังคับระเบียบ

เมื่อช่วงเดือน มีนาคม – ธันวาคม 2558 จำเลยทั้ง 2 ซึ่งมีอำนาจร่วมกันลงลายมือชื่อ สั่งจ่ายเบิกถอนเงินจากบัญชีธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชีวัดสระเกศฯ จำเลยที่ 1,2 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย และจำเลยที่ 3 ได้บังอาจร่วมกันกระทำการฟอกเงิน/ เบิกถอนเงินงบประมาณสนับสนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาจากบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาวรจักรบัญชี ออมทรัพย์ 7 เเสนบาท ซึ่งเป็นเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำ ซึ่งเป็นความผิดมูล ฐานไปใช้จ่ายเป็นประโยชน์ส่วนตนของจำเลยทั้ง 3

โดยจำเลยทั้งสามทราบดีอยู่แล้วว่า เงินจํานวนดังกล่าวเป็นเงินงบประมาณแผ่นดิน จำเลยทั้งสามไม่สามารถร่วมกันนำเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้หรือโอนไปใช้เพื่อกิจการอื่นนอกเหนือจากการนำไปใช้เพื่อกิจการสนับสนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาได้

การกระทำของจำเลยทั้ง 3 ดังกล่าวเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงินและฐานร่วมกันฟอกเงินเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่วัดสระเกศราชวรมหาวิหารสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติองค์กรหรือบุคคลอื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องและเนื่องจากจำเลยที่ 1 และ 2 เป็นเจ้าพนักงานตามกฏหมายกระทำความผิดฐานฟอกเงินจึงต้องระวางโทษหนักขึ้นเป็นสองเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นตามกฎหมายด้วย

เมื่อวันที่ 6 เม.ย.2558 จำเลยที่ทั้ง 3 ได้ร่วมกันฟอกเงินโดยจำเลยที่ 1,2 ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 3 ทำการเบิกถอนเงินงบประมาณสนับสนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาจากบัญชีธนาคารกรุงไทยสาขาวรจักรจำนวน 3 ล้านบาทซึ่งเป็นเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำซึ่งเป็นความผิดมูลฐานไปใช้จ่ายเป็นประโยชน์ส่วนตนของจำเลยทั้ง3 การกระทำของจำเลยทั้งสามดังกล่าวเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงินและฐานร่วมกันฟอกเงิน

เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.โดยทั้งสามอย่างได้บังอาจร่วมกันทำการฟอกเงินโดยถอนเงินงบประมาณสนับสนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาจากบัญชีธนาคารกรุงไทยสาขาวรจักรจำนวน 3.4ล้านบาท วันที่ 6 ส.ค. 1เเสนบาท วันที่ 11 ก.ย. 3 ล้านบาท วันที่ 21 ธ.ค. 4ล้านบาท

ศาลพิจารณาพยานหลักฐานเเล้ว พิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 6ปี 24 เดือน และปรับคนละ 168,000บาท จำเลยที่ 1,2 เป็นพระภิกษุผู้ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในพระธรรมวินัยเมื่อไม่ปรากฏว่าเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนโทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ 1 ปีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 (ที่แก้ไขใหม่) ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29,30 (ที่แก้ไขใหม่)

ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษจำเลยที่ 4ในคดีหมายเลขดำที่อท 197/ 2561ของศาลนี้นั้นเนื่องจากคดีนี้ศาลรอการลงโทษให้จำเลยที่ 2 จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ให้ยกคำขอในส่วนนี้และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ , ข่าวสดออนไลน์, INNNews

Aindravudh

นักเล่าเรื่อง จบการศึกษาด้านภาษาและประวัติศาสตร์ ผู้สนใจประเด็นความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง ผนวกกับการเริ่มต้นเส้นทางด้วยการเขียนงานวรรณกรรม ก่อนผันตัวมาเจาะประเด็นข่าวทางสังคม ออนไลน์ ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องแบบย่อยง่าย อย่างงานเขียนสร้างสรรค์ สั้น กระชับ จับทุกประเด็น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

Back to top button