นักข่าวเคยสัมภาษณ์สมคิดเล่า แต่งเรื่องเก่ง ฆ่าคนไม่สะทกสะท้าน
นักข่าวเคยสัมภาษณ์สมคิดเล่า แต่งเรื่องเก่ง ฆ่าคนไม่สะทกสะท้าน
สมคิด พุ่มพวง – กรณีนายสมคิด พุ่มพวง ฉายา แจ็คเดอะริปเปอร์เมืองไทย ฆาตกรต่อเนื่อง 5 ศพเมื่อปี 2548 ได้รับโทษประหารชีวิต แต่ได้รับการลดหย่อนโทษ กระทั่งพ้นโทษออกมาเมื่อ 17 พฤษภาคม 2562 ที่ผ่านมา
เพียงแค่ครึ่งปีหลังได้รับอิสระภาพ นายสมคิดก็ก่อเหตุสะเทือนขวัญซ้ำรอยเดิมอีก เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม รวมเป็น 6 ราย ตำรวจใช้กำลังตามหาอยู่ 3 วัน จนสามารถจับกุมตัวได้จากเบาะแสพลเมืองดี คาโบกี้รถไฟที่สถานีปากช่อง จ.นครราชสีมา ซึ่งในตอนแรกนายสมคิดวางแผนจะไปหลบซ่อนต่อที่จังหวัดอยุธยา
ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ตำรวจได้นำตัวนายสมคิด พุ่มพวงไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ณ สถานที่เกิดเหตุจังหวัดขอนแก่น ท่ามกลางชาวบ้านจำนวนมากที่มาประท้วงด้วยความโกรธแค้น พร้อมชูป้ายสับสนุนการประหารนายสมคิด
ที่น่าสนใจภายใต้ใบหน้าอันเรียบเฉย ไม่สะทกสะท้านแม้ฆ่าเหยื่อไปมากมายของนายสมคิด เขาคิดอะไรอยู่
คุณสันติวิธี พรหมบุตร ผู้สื่อข่าวชื่อดัง ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก สันติวิธี พ. ได้เล่าเหตุการณ์เมื่อครั้งที่เขาได้สัมภาษณ์นายสมคิด 2 ครั้ง ห่างกัน 9 เดือนว่า
ตนเคยเจอสมคิด พุ่มพวง ในเรือนจำกลางบางขวาง 2 ครั้ง ในช่วงเวลาห่างกัน 9 เดือน เพราะเข้าไปหาข้อมูล เพื่อทำสารคดีเชิงข่าว รายการข่าวดังข้ามเวลา การสัมภาษณ์ครั้งแรกเมื่อ กรกฎาคม 2558 สมคิดเล่าเรื่องฆาตกรรมเหมือนเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้รู้สึกว่าการฆ่าคนเป็นเรื่องใหญ่ และดูเหมือนว่าคนที่เขาฆ่าสมควรตาย เมื่อถามว่าทำไมถึงฆ่าผู้หญิงทั้ง 5 คน เขาตอบแบบไม่คิดว่า เหยื่อบางคนหักหลังเขาบางเรื่อง บางคนเป็นสายของตำรวจ เขาไปเรียนรู้วิธีฆ่ามาจากทหารเวียดกง สมัยทำงานในบ่อนคาสิโนที่เวียดนาม ทั้งหมดนี้
แต่ประเด็นคือ เมื่อสัมภาษณ์ครั้งที่ 2 อีก 9 เดือนต่อมา นาสมคิดกลับตอบถึงเหตุผลที่ฆ่าไม่เหมือนเดิมเลย ซ้ำยังตอบอย่างฉะฉาน แต่ที่น่าตะลึงคือ เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรกับการฆ่า 5 ศพ สมคิดสวนกลับทันควันว่า “แล้วหนูแปรงฟัน อาบน้ำ รู้สึกอะไรไหม””
ข้อมูลที่สมคิดเล่าทั้ง 2 ครั้งทำให้เห็นว่า เขาแต่งเรื่องราวเก่ง เล่าเหตุการณ์เดียวกัน ไม่เหมือนกัน แต่เล่าได้คล่องแคล่ว เหมือนว่า เป็นเรื่องจริง”
อ่านโพสต์ฉบับเต็ม คลิก เฟซบุ๊ก สันติวิธี พ.
ชมสกู๊ป ย้อนคำสัมภาษณ์ สมคิด พุ่มพวง ปี 58-59 โดยสำนักข่าวไทย คลิก
ภาพขณะเคลื่อนย้ายนายสมคิด โดย : สำนักข่าวไทย