ข่าวการเมือง

กกต. คอนเฟิร์ม “อินฟลูเอนเซอร์-ยูทูปเบอร์” ลงสมัคร สส.ได้ ยันไม่ผิดกฎถือหุ้นสื่อ

กกต. ยืนยัน “อินฟลูเอนเซอร์-ยูทูบเบอร์” ลงสมัคร สส. ได้ ไม่ถือเป็นเจ้าของสื่อ พร้อมตั้งคณะกรรมการเข้มตรวจสอบนโยบายหาเสียงพรรคการเมือง

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดย ร.ต.อ.ชนินทร์ น้อยเล็ก รองเลขาธิการ กกต. ได้ออกมาชี้แจงประเด็นข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่กำลังจะมาถึง โดยเฉพาะประเด็นคุณสมบัติของผู้สมัครหน้าใหม่ในยุคดิจิทัล โดยยืนยันว่า กลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพสื่อออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น อินฟลูเอนเซอร์ ยูทูปเบอร์ หรือคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ที่ผลิตเนื้อหาความบันเทิงหรือวิเคราะห์ข่าวสารการเมือง และมีรายได้จากแพลตฟอร์มต่างๆ ถือเป็นเพียงผู้ใช้สื่อเท่านั้น ไม่เข้าข่ายลักษณะต้องห้ามเรื่องการเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อมวลชน จึงสามารถลงสมัครรับเลือกตั้ง สส. ได้ตามปกติ

กกต. ได้เน้นย้ำข้อควรระวังในการหาเสียง โดยห้ามการใส่ร้ายป้ายสีด้วยความเท็จ การจูงใจด้วยการจัดมหรสพ การเลี้ยงอาหาร หรือการใส่ซองทำบุญที่ส่อเจตนาซื้อเสียง ซึ่งถือเป็นความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง นอกจากนี้ ยังเตือนสื่อมวลชนและสำนักโพล ห้ามเผยแพร่ผลสำรวจที่มีเจตนาชี้นำในช่วง 7 วันก่อนวันเลือกตั้ง เพื่อรักษาบรรยากาศการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรม ส่วนการหาเสียงที่ถูกต้องจะต้องเน้นการขายความคิด ขายนโยบาย และขายเครดิตความน่าเชื่อถือ โดยไม่มีเรื่องเงินทองหรือผลประโยชน์ทับซ้อนเข้ามาเกี่ยวข้อง

ร.ต.อ.ชนินทร์ น้อยเล็ก รองเลขาธิการ กกต.
FB/ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง

ด้านนายเกรียงไกร พานดอกไม้ รองเลขาธิการ กกต. กล่าวถึงมาตรการกำกับดูแลนโยบายพรรคการเมือง โดยเฉพาะนโยบายประชานิยมที่ต้องใช้เงินงบประมาณว่า ในครั้งนี้ กกต. จะมีความเข้มงวดเป็นพิเศษ พรรคการเมืองจะต้องส่งรายละเอียดนโยบาย วงเงินงบประมาณ ที่มาของรายได้ ความคุ้มค่า และความเสี่ยง ให้ กกต. ตรวจสอบอย่างช้าที่สุดภายในวันที่ 10 มกราคม 2569 ซึ่งหากพรรคใดไม่ดำเนินการตามกำหนด หรือข้อมูลไม่ครบถ้วน ทาง กกต. จะสั่งให้ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องทันที เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่รอบด้านก่อนตัดสินใจลงคะแนน

สำหรับการตรวจสอบความถูกต้องของนโยบายหาเสียง กกต. ได้มีการตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมาหนึ่งชุด ประกอบด้วยผู้แทนจาก 8 หน่วยงานเศรษฐกิจหลัก ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพื่อร่วมกันตรวจสอบความเป็นไปได้ทางการคลังของนโยบายเหล่านั้น ป้องกันการโฆษณาชวนเชื่อที่เกินจริง

นายเกรียงไกร ยังฝากทิ้งท้ายถึงประชาชนให้ช่วยกันติดตามการทำงานของพรรคการเมืองอย่างใกล้ชิดว่า เมื่อได้รับการเลือกตั้งเข้าไปเป็นรัฐบาลแล้ว ได้ดำเนินการตามนโยบายที่เคยหาเสียงไว้หรือไม่ หรือได้พยายามผลักดันนโยบายเหล่านั้นให้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบที่พรรคการเมืองต้องมีต่อสัญญาประชาคม และเป็นข้อมูลสำคัญที่ประชาชนจะใช้ประกอบการตัดสินใจในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ว่าพรรคนั้นมีความจริงใจในการแก้ปัญหาให้ประเทศชาติมากน้อยเพียงใด

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

Suriyen J.

นักเขียนบทความข่าว จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สาขาปรัชญาและศาสนา มีประสบการณ์กับสำนักข่าวระดับประเทศ ชื่นชอบด้านสังคม การเมือง ต่างประเทศ ทำให้สามารถสร้างคุณค่าผ่านงานเขียน เพื่อให้ผู้อ่านได้ประโยชน์ครบทุกมิติ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button