การเงินสปอนเซอร์เศรษฐกิจ

สรุปตลาดคริปโตฯ 2025: ผันผวนบนฐานรากที่แข็งแกร่ง ทิศทางต้องจับตาในปี 2026

ปี 2025 กำลังจะผ่านพ้นไปพร้อมกับข่าวใหญ่ทุบสถิติมากมาย ของวงการสินทรัพย์ดิจิทัล หากเรามองเพียงผิวเผินผ่านกราฟราคา นี่คือปีที่บีบหัวใจนักลงทุนที่สุดปีหนึ่ง Bitcoin ทะยานขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาล ทะลุ 126,000 ดอลลาร์ในช่วงกลางปี สร้างความหวังให้ตลาดทั่วโลก ก่อนจะเผชิญแรงเทขายมหาศาลในช่วงไตรมาสสุดท้าย จนร่วงลงมาแตะระดับต่ำกว่า 90,000 ดอลลาร์ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ส่งผลให้มูลค่าตลาดรวมหายไปกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์

ความผันผวนของราคาหน้ากระดานอาจทำให้หลายคนถอดใจ ทว่าในมุมมองเชิงโครงสร้าง ปี 2025 กลับเป็นปีที่โลกการเงินยุคเก่ากับโลกสินทรัพย์ดิจิทัลไปด้วยกันได้อย่างแนบสนิทที่สุด

การเข้ามาของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ การผ่านกฎหมายควบคุมที่มีมาตรฐาน และการเติบโตของสินทรัพย์ที่จับต้องได้จริง กำลังบอกเราว่า อุตสาหกรรมนี้ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยการเก็งกำไรเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป

สกอร์บอร์ด 2025 ตลาดใหญ่ขึ้น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นผู้ชนะ

หากเรากางกระดานคะแนนของปีนี้ดู จะพบตัวเลขที่น่าสนใจ มูลค่าตลาดรวม เคยพุ่งขึ้นไปแตะระดับเกือบ 4 ล้านล้านดอลลาร์ ก่อนจะย่อตัวลงมาปิดปีที่บริเวณ 3.0–3.1 ล้านล้านดอลลาร์ แม้ตัวเลขนี้จะลดลงราว 16% จากจุดสูงสุด แต่ก็ยังสะท้อนถึงขนาดของตลาดที่ใหญ่เกินกว่าที่ภาคการเงินโลกจะเมินเฉยได้

Bitcoin ครองสัดส่วนตลาด (Dominance) อยู่ที่ราว 57–59% แต่ในแง่ผลตอบแทน ปีนี้ถือว่าสอบตกเล็กน้อยสำหรับนักลงทุนที่เข้าซื้อต้นปี โดยผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) ติดลบราว -7% ซึ่งต่างจากปีก่อนหน้าทื่บวกไปกว่า 120% อย่างสิ้นเชิง ความผันผวนนี้เกิดจากการเทขายทำกำไรครั้งใหญ่ในช่วงพฤศจิกายนถึงธันวาคม ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็นหนึ่งในเดือนที่ตลาด “เลือดสาด” ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2021

ขณะที่เหรียญเก็งกำไรผันผวน เหรียญที่มีมูลค่าคงที่หรือ Stablecoins กลับเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ มูลค่าตลาดกลุ่มนี้ขยายตัวแตะ 250–300 พันล้านดอลลาร์ กินสัดส่วนราว 10% ของตลาดทั้งหมด โดยส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ที่ USDT กับ USDC สะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนเลือกถือเงินสดดิจิทัลเพื่อรอจังหวะ หรือใช้เพื่อการโอนย้ายมูลค่ามากกว่าการถือเหรียญซิ่ง

วอลสตรีทเข้าเต็มตัว สถาบันกลายเป็นกระดูกสันหลัง

ปี 2025 ถูกจารึกว่าเป็นปีแห่ง “Institutional Phase” อย่างแท้จริง กองทุน Spot Bitcoin ETF ที่ได้รับการอนุมัติเมื่อต้นปี 2024 เริ่มแสดงอานุภาพเต็มที่ในปีนี้ โดย BlackRock (IBIT) กับ Fidelity (FBTC) ถือครองสินทรัพย์รวมกันกว่า 115 พันล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม เหรียญย่อมมีสองด้าน เมื่อสถาบันเข้ามา ตลาดจึงต้องเผชิญกับบททดสอบ จากพฤติกรรมของเงินทุนไหลเข้าออก (Flow) ในช่วงที่ตลาดปรับฐานแรงไตรมาส 4 กองทุนเหล่านี้มีกระแสเงินไหลออก (Outflow) ในเดือนพฤศจิกายนเพียงเดือนเดียวสูงถึง 3.4–3.7 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นยอดขายสูงสุดตั้งแต่เปิดตัว ปรากฏการณ์นี้ยืนยันว่า Bitcoin ได้กลายเป็นสินทรัพย์การลงทุนกระแสหลักที่เคลื่อนไหวตามสภาวะเศรษฐกิจมหภาคแล้ว

ไม่ใช่แค่ Bitcoin เท่านั้น Ethereum (ETH) ก็เริ่มมีบทบาทในพอร์ตระดับองค์กร กองทุน BlackRock Spot ETH ETF สามารถระดมทุนภายใต้การบริหาร (AUM) ทะลุ 10 พันล้านดอลลาร์ได้ในเวลาไม่ถึงปี งานวิจัยระบุว่า BlackRock สะสม ETH ในอัตราเร่งที่เร็วกว่าตอนสะสม BTC ถึง 7 เท่า ตอกย้ำความเชื่อมั่นว่า ETH คือโครงสร้างพื้นฐานสำคัญสำหรับระบบการเงินยุคใหม่ (DeFi/Tokenization)

Stablecoins ท่อส่งน้ำเลี้ยงใหม่ของเศรษฐกิจโลก

ประเด็นที่น่าจับตามองที่สุดในปีนี้ไม่ใช่ราคาเหรียญ แต่เป็นกฎหมาย สหรัฐอเมริกาได้ผ่านร่างกฎหมาย GENIUS Act ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทฉบับแรกที่กำกับดูแล Stablecoin เพื่อการชำระเงิน โดยบังคับให้ผู้ออกเหรียญต้องมีทุนสำรอง 1:1 ด้วยสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำและต้องผ่านการตรวจสอบบัญชีอย่างเคร่งครัด

ฝั่งยุโรป กฎหมาย MiCA (Markets in Crypto-Assets) มีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ ขณะที่ฮ่องกงก็ออกกฎหมาย Stablecoins Ordinance เพื่อควบคุมการออกเหรียญที่อ้างอิงสกุลเงิน Fiat สิ่งเหล่านี้ทำให้ Stablecoin เปลี่ยนสถานะจากชิปคาสิโนในโลกคริปโต กลายมาเป็น “ระบบรางการชำระเงินดิจิทัล” ที่บริษัทฟินเทคระดับโลกอย่าง PayPal หรือ Klarna กล้ากระโดดลงมาเล่น

ขณะที่จีนยังคงดำเนินนโยบายแข็งกร้าว ย้ำจุดยืนว่าธุรกรรมคริปโตกับ Stablecoin เป็นสิ่งผิดกฎหมาย พร้อมส่งสัญญาณกวาดล้างรอบใหม่ปลายปี ซึ่งส่งผลกระทบชิ่งไปยังตลาดหุ้นกลุ่มสินทรัพย์ดิจิทัลในฮ่องกงให้ร่วงลงอย่างหนัก

จาก DeFi สู่ Real-World Assets (RWA) การเงินโลกจริงบนบล็อกเชน

ปี 2025 คือปีที่เส้นแบ่งระหว่างการเงินดั้งเดิมกับการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) เริ่มจางลง มูลค่าตลาดของการนำสินทรัพย์จริงมาแปลงเป็นโทเคน เติบโตขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 15–24 พันล้านดอลลาร์

ดีลสำคัญที่เกิดขึ้นสะท้อนทิศทางนี้ชัดเจน

  • BlackRock BUIDL: กองทุนตลาดเงินบน Ethereum ที่ถูกยอมรับให้เป็นหลักประกัน (Collateral) ในการเทรดบนกระดานแลกเปลี่ยนชั้นนำ
  • JPMorgan Kinexys: ธนาคารยักษ์ใหญ่ทำธุรกรรมกองทุน Private Equity บนบล็อกเชนของตัวเองสำเร็จ
  • DAMAC Group: ยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์ดูไบ จับมือโปรเจกต์ MANTRA ทำ Tokenization มูลค่ากว่าพันล้านดอลลาร์

ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า DeFi ในปี 2025 ไม่ใช่แค่การฟาร์มเหรียญเพื่อผลตอบแทนที่จับต้องไม่ได้อีกต่อไป แต่เป็นการนำสินทรัพย์ที่มีมูลค่าจริงเข้ามาหมุนเวียนในระบบ

วัฒนธรรมการเทรด 2025 เหรียญมีม กับ เลเวอเรจมรณะ

แม้สถาบันจะเข้ามาจัดระเบียบ แต่สัญชาตญาณนักเก็งกำไรรายย่อยยังคงทำงานอย่างดุเดือด ปีนี้เราเห็นกระแส Memecoin Mania ที่มูลค่าตลาดกลุ่มนี้โตขึ้นถึง 500% เหรียญอย่าง PEPE, BONK หรือ WIF สร้างผลตอบแทนหลักพันเปอร์เซ็นต์ ดึงดูดเม็ดเงินมหาศาลจากนักลงทุนที่หวังรวยทางลัด

อีกด้านหนึ่งคือความเสี่ยงจากการใช้ Leverage (การกู้ยืมมาลงทุน) ที่สูงเกินพิกัด แพลตฟอร์มเทรดบางแห่งเปิดให้กู้ได้สูงถึง 200 เท่า (200x) ส่งผลให้เมื่อตลาดกลับทิศในช่วงไตรมาส 4 เกิดปรากฏการณ์ “Liquidation Cascade” หรือการบังคับขายต่อเนื่อง ทำให้เหรียญ Altcoin พื้นฐานดีอย่าง ADA, AVAX หรือ MATIC ร่วงลงกว่า 45% ในไตรมาสเดียว

จับสัญญาณปี 2026 อนาคตของตลาดจะเป็นอย่างไร?

จากข้อมูลทั้งหมด เราสามารถประเมินฉากทัศน์สำหรับปี 2026 ได้เป็น 3 ทิศทางหลัก

  1. Base Case สถาบันนำทางแต่ยังผันผวน

ผลสำรวจชี้ว่านักลงทุนสถาบันกว่า 70–80% มีแผนเพิ่มสัดส่วนการถือครองคริปโต เราจะเห็นการใช้งาน Tokenization และ Stablecoin ที่ถูกกฎหมายแพร่หลายมากขึ้นในระบบธนาคารและการชำระเงินระหว่างประเทศ ตลาดจะเติบโตแบบมีเสถียรภาพมากขึ้น แต่ความผันผวนจะยังคงมีอยู่ตามรอบเศรษฐกิจ

  1. Bull Case สภาพคล่องไหลกลับ

หากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) หรือธนาคารกลางยุโรป (ECB) ตัดสินใจผ่อนคลายนโยบายการเงินมากกว่าที่คาด จะเกิดวัฏจักรสภาพคล่อง (Liquidity Cycle) รอบใหม่ เงินทุนจะไหลกลับเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งประจวบเหมาะกับช่วง 12–18 เดือนหลัง Halving ที่มักเป็นช่วงขาขึ้นของ Bitcoin ตามสถิติ

  1. Bear Case กฎระเบียบรัดกุมจนขาดสภาพคล่อง

ความเสี่ยงที่ยังมองข้ามไม่ได้คือ “Regulatory Overreach” หรือการกำกับดูแลที่เข้มงวดเกินไป จนกระทบต่อสภาพคล่องของตลาด รวมถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์การเงินระหว่างขั้วอำนาจตะวันตกกับจีน ที่อาจทำให้ตลาดเกิดการแบ่งขั้วชัดเจนขึ้น

บทสรุป

ปี 2025 อาจเป็นปีที่ราคา Bitcoin เหวี่ยงจนนักลงทุนเวียนหัว แต่หากมองให้ลึกลงไป เราจะเห็นฐานรากที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน กฎกติกาเริ่มชัดเจน ผู้เล่นรายใหญ่กระโดดลงสนาม และเทคโนโลยีบล็อกเชนถูกนำไปใช้กับสินทรัพย์จริง

สำหรับก้าวต่อไปในปี 2026 โจทย์ของนักลงทุนอาจไม่ใช่แค่การตั้งคำถามว่า “เหรียญไหนจะราคาพุ่ง 10 เท่า” แต่ควรมองว่า “โปรเจกต์ไหนที่มีการใช้งานจริง มีกระแสเงินสดรองรับ และอยู่รอดได้ภายใต้กฎกติกาโลกการเงินใหม่” เพราะนั่นคือที่ที่เม็ดเงินจะไหลไปในระยะยาว

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการคว้าโอกาสจากความเคลื่อนไหวของตลาดและเตรียมพร้อมสำหรับเทรนด์ในปี 2026 แนะนำ FP Markets ด้วยประสบการณ์ตั้งแต่ปี 2005 การกำกับดูแลที่ได้มาตรฐาน ช่วยให้นักเทรดตามทันความผันผวนของคริปโตได้อย่างมั่นใจ

ข้อควรระวัง: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอข้อมูลความเคลื่อนไหวตลาดและเทคโนโลยีเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำทางการเงิน การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้านก่อนตัดสินใจ

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

Thaiger

The Thaiger นำเสนอข่าวสารล่าสุดและอัปเดตจากทั่วประเทศไทย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button