ข่าวต่างประเทศ

ที่เดียวในโลก อุตเกอาร์วิก เมืองมืด 24 ชั่วโมง ดวงอาทิตย์ขึ้นอีกทีปี 2026

รู้จักเมือง อุตเกอาร์วิก ในอลาสก้า เตรียมมืดยาวนาน ไม่มีแสงตะวัน 66 วัน ดวงอาทิตย์ขึ้นอีกทีปี 2026

ใครเคยดูภาพยนตร์เรื่อง “30 Days of Night” เป็นหนังสยองขวัญเกี่ยวกับเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในอลาสก้าที่ต้องเผชิญหน้ากับฝูงแวมไพร์ดุร้ายในช่วง 30 วันของคืนขั้วโลกที่ไม่มีแสงอาทิตย์ส่องถึง แวมไพร์จะออกล่าเหยื่ออย่างโหดเหี้ยม รู้หรือไม่ว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องซอมบี้ แต่คือเมืองที่ดวงอาทิตย์ไม่ขึ้นเลยยาวนานหลายสิบวัน

ช่วงปลายปีแบบที่คนไทยเริ่มรู้สึกว่าฟ้ามืดเร็วขึ้น แค่หนึ่ง สองชั่วโมง เมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในอะแลสกากลับบอกลาพระอาทิตย์ไปยาว ๆ กว่า 2 เดือนเต็ม นั่นคือ เมือง Utqiaġvik (อุตเกอาร์วิก) เมืองเหนือสุดของสหรัฐอเมริกา

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2025 ที่ผ่านมา เวลาประมาณบ่ายโมงครึ่ง พระอาทิตย์ได้ตกดินครั้งสุดท้ายของปี และจะไม่โผล่เหนือขอบฟ้าอีกเลยจนถึงราว 22 มกราคม 2026

อุตเกอาร์วิก คือที่ไหน ทำไมถึงมืดได้นานขนาดนั้น

เมืองที่ในอดีตชื่อ แบรโรว์ ตั้งอยู่ริมชายฝั่งมหาสมุทรอาร์กติก ตอนเหนือสุดของรัฐอะแลสกา ห่างจากเส้นอาร์กติกเซอร์เคิลขึ้นไปอีกกว่า 300 กิโลเมตร อยู่ที่ละติจูดประมาณ 71 องศาเหนือ ทำให้ถือว่ายื่นเข้าไปใกล้ขั้วโลกเหนือมาก ๆ

ทั้งเมืองมีประชากรราว 4,400 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวพื้นเมืองกลุ่มอินูเปียต อาศัยอยู่ในแถบนี้มานานหลายร้อยปี ชาวเมืองเพิ่งจะลงประชามติเปลี่ยนชื่อเป็นอุตเกอาร์วิก ในปี 2016 เพื่อกลับมาใช้ชื่อภาษาอินูเปียตซึ่งหมายถึง “สถานที่ที่ผู้คนมาขุดรากไม้ป่า”

ด้วยตำแหน่งที่อยู่เหนือเส้นอาร์กติกเซอร์เคิล ทำให้เมืองนี้ต้องเจอกับฤดูมืดยาวในฤดูหนาว และฤดูสว่างทั้งคืนในฤดูร้อน เป็นวงจรที่เกิดขึ้นซ้ำทุกปี

แผนที่เมือง ในอลาสกา

Polar night หรือคืนขั้วโลก คืออะไร?

คืนขั้วโลก คือช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ไม่โผล่เหนือขอบฟ้าเลยต่อเนื่องเกิน 24 ชั่วโมงขึ้นไป ปรากฏการณ์นี้เกิดเฉพาะบริเวณเหนือเส้นอาร์กติกเซอร์เคิล ประมาณละติจูด 66.6 องศาเหนือ และใต้เส้นแอนตาร์กติกเซอร์เคิลในซีกโลกใต้เท่านั้น สาเหตุหลักมาจาก แกนโลกเอียงประมาณ 23.5 องศา ขณะที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ เมื่อถึงหน้าหนาวของซีกโลกเหนือ พื้นที่แถวขั้วโลกจึงเอียงหนี ดวงอาทิตย์ แสงเลยส่องมาไม่ถึง ทำให้ดวงอาทิตย์ไม่สามารถโผล่เหนือขอบฟ้าได้เลยในช่วงหนึ่งของปี

ตรงกันข้าม พอถึงหน้าร้อน พื้นที่เดียวกันจะหันเข้าหาดวงอาทิตย์ตลอดเวลา เกิดเป็นปรากฏการณ์ พระอาทิตย์เที่ยงคืน (midnight sun) ที่ฟ้าไม่มืดเลยทั้งวันทั้งคืน

ณ อุตเกอาร์วิก ช่วง polar night จะเริ่มกลางเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงปลายเดือนมกราคม รวมเวลาราว 60 วัน แล้วแต่ปีและวิธีนับว่านับรวมวันแรก–วันสุดท้ายหรือไม่

สื่อหลายเจ้าอย่าง NDTV, Fox Weather และสำนักข่าวสหรัฐบางแห่ง ระบุว่าปี 2025–2026 นี้เมืองจะไม่เห็นพระอาทิตย์ประมาณ 64–65 วัน ขณะที่ข้อมูลสถิติภูมิอากาศระยะยาวของเมืองระบุว่าช่วงมืดนี้กินเวลาประมาณ 66 วัน ฟังดูโหด แต่รายละเอียดจริง ๆ นุ่มกว่านั้นนิดหน่อย

ปรากฎการณ์คืนขั้วโลก วงจรของโลกที่ทำให้แสงอาทิตย์ส่องไม่ถึง

มืดสนิททั้งเมืองจริงไหม?

คำตอบคือ ไม่ใช่มืดตึ๊ดตื๋อ 24 ชั่วโมง แม้ดวงอาทิตย์จะไม่โผล่พ้นขอบฟ้า แต่เมืองยังได้รับแสงแบบแสงฟ้าสลัว ๆ แบบตอนฟ้าสางหรือฟ้าใกล้มืดวันละหลายชั่วโมง โดยช่วงต้นกับท้ายของ polar night เมืองจะมีแสงลักษณะนี้ราววันละ 5–6 ชั่วโมง และจะสั้นลงเหลือประมาณ 3 ชั่วโมงในช่วงใกล้วันเหมายัน (ราว 21–22 ธ.ค.) จากนั้นค่อย ๆ ยาวขึ้นอีกครั้งจนกว่าพระอาทิตย์จะกลับ

ดังนั้น กลางวันของเขาไม่ถึงกับดำสนิท แต่จะเป็นฟ้าสีครามม่วง ๆ แสงจาง ๆ พอมองเห็นบ้านเรือน รถยนต์ ถนนที่ปกคลุมด้วยหิมะ แล้วพอตกดึกก็จะมืดขึ้น มีแสงจาก พระจันทร์ แสงเหนือ และไฟถนนช่วยให้เห็นอะไรบนพื้นโลกบ้าง

อยู่ในความมืดนาน ๆ คนที่นั่นใช้ชีวิตกันยังไง

คำถามที่คนไทยนึกแน่ ๆ คือ แล้วเขาไม่ซึมเศร้ากันหมดเหรอ? นักวิทยาศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมและจิตวิทยาที่ศึกษาเรื่อง คืนขั้วโลกพบว่าการไม่มีสลับวันคืนตามปกติส่งผลต่อ นาฬิกาชีวิตของมนุษย์จริง ทำให้บางคนมีปัญหานอนไม่หลับ ง่วงผิดเวลา หรือรู้สึกหมดแรงง่าย แต่ไม่ได้แปลว่าทุกคนจะทรมานเหมือนกันหมด หลายชุมชนในอาร์กติก รวมถึง อุตเกอาร์วิกพัฒนาวิธี อยู่กับความมืดในแบบของตัวเองขึ้นมา

จากรายงานเชิงสารคดีและบทสัมภาษณ์ชาวเมืองชีวิตในช่วง polar night มีลักษณะประมาณนี้ กิจวัตรยังเดินต่อไปตามปกติ
โรงเรียนยังเปิดเรียน สำนักงาน ร้านค้า และบริการต่าง ๆ ยังทำงานตามเวลาเป๊ะ ๆ เพียงแต่ทุกอย่างเกิดขึ้นในความมืดหรือแสงสลัว ผู้คนต้องอาศัยนาฬิกาและไฟถนนเป็นหลัก ไม่ใช่การมองตำแหน่งพระอาทิตย์

กิจกรรมต่าง ๆ ของชาวอุตเกอาร์วิกในความมืดที่มีแสงสลัว

เมืองจะเปิดไฟถนนแบบจัดเต็ม บ้านแต่ละหลังใช้ไฟในร่มที่สว่างกว่าปกติ บางคนใช้โคมไฟที่ให้แสงใกล้เคียงแสงแดดเพื่อช่วยให้ร่างกายรู้สึกตื่น ส่วนเวลาออกนอกบ้านก็มักใส่เสื้อผ้าหรือสายรัดสะท้อนแสง เพื่อให้คนขับรถมองเห็นท่ามกลางความมืดและหิมะ

เพราะอากาศหนาวจัดและมืดนาน ชาวเมืองจึงมีกิจกรรมในอาคาร เช่น กีฬาในยิม การรวมกลุ่มเล่นดนตรี ดูหนัง ทำอาหาร หรือจัดงานชุมชน ช่วยให้คนไม่รู้สึกโดดเดี่ยว

ใส่ใจเรื่องวิตามินดีและสุขภาพจิต แพทย์มักแนะนำให้คนในพื้นที่รับประทานวิตามินดีเสริม หรือใช้โคมไฟเฉพาะทางเพื่อช่วยลดความเสี่ยงภาวะขาดแสงแดด และให้ความสำคัญกับการนอนเป็นเวลา การออกกำลังกายในร่ม รวมถึงพูดคุยขอความช่วยเหลือเมื่อรู้สึกไม่ไหว

นักท่องเที่ยวและช่างภาพจำนวนไม่น้อยกลับตั้งใจเดินทางไป อุตเกอาร์วิกช่วงนี้เพื่อถ่ายภาพแสงเหนือ และเก็บประสบการณ์ “เมืองที่ไม่มีพระอาทิตย์ขึ้น” ไว้เล่าให้คนอื่นฟัง ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องรับมือกับอุณหภูมิที่อาจต่ำกว่าศูนย์หลายสิบองศา และเปลือกตาอาจจับน้ำแข็งได้จริง ๆ

บรรยากาศของความมืดในอุตเกอาร์วิกที่มีแสงไฟถนนส่องสว่าง

จากมืดทั้งวัน สู่พระอาทิตย์เที่ยงคืน

ข่าวดีของคนเมืองนี้คือ แม้จะต้องอดเห็นพระอาทิตย์กว่า 2 เดือน แต่พอเข้าสู่ปลายเดือนมกราคม แสงแรกก็จะกลับมา หลังจากนั้นอุตเกอาร์วิกจะค่อย ๆ ขยับจากกลางคืนยาวนานนิรันดร์ ไปสู่กลางวันยาวมาราธอน จนในช่วงหน้าร้อน เมืองนี้จะมีพระอาทิตย์ไม่ตกดินติดต่อกันเกือบ สามเดือน เลยทีเดียว

พูดอีกแบบคือ ถ้านับเป็นจำนวนชั่วโมงแสงแดดทั้งปี อุตเกอาร์วิกได้แสงจากดวงอาทิตย์พอ ๆ กับเมืองอื่น ๆ บนโลก แค่ถูก กระจุกอยู่ในช่วงหน้าร้อน กับหายไปช่วงหน้าหนาวเท่านั้น

สำหรับคนไทยที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร ระยะเวลาพระอาทิตย์ขึ้น ตกในแต่ละวันแทบไม่ต่างกันมากนัก จะสั้นสุดราว 11 ชั่วโมง ยาวสุดราว 13 ชั่วโมงเท่านั้น เราเลยไม่ค่อยได้สัมผัสว่าการไม่มีแสงแดดหลายสัปดาห์ติดกันมันเป็นยังไง

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

Aindravudh

นักเขียนประจำ Thaiger มีประสบการณ์เขียนข่าวมากกว่า 5 ปี จบการศึกษาด้านภาษาและประวัติศาสตร์ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความสนใจ ประเด็นความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง เจาะประเด็นข่าวทางสังคม ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องแบบย่อยง่าย อย่างงานเขียนสร้างสรรค์ สั้น กระชับ จับทุกประเด็น หัวข้อที่เชียวชาญคือเรื่องไลฟ์สไตล์ เลขเด็ด หวยรัฐบาลไทย หวยลาว ช่องทางติดต่อ vajara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button