การเงินเศรษฐกิจ

เปิดกฎหมายยืมเงิน ดารา น. มีสิทธิรอด หลังให้เพื่อนยืมเงิน ดอกเบี้ยสูงทะลุเพดาน

จากกรณี ดารา น. ตัวแม่ ยืมเงินแก๊งเพื่อนดาราในวงการ ด้วยดอกเบี้ย 48% ต่อปี ตามกฎหมายเป็นการกู้ยืมเงินระหว่างบุคคลทั่วไป เรียกว่ากู้นอกระบบ มีกฎหมายควบคุมอย่างชัดเจนภายใต้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วย “สัญญาเงินกู้” ซึ่ง ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยเกอร์ ขอพาไปดูข้อกำหนดสำคัญที่ผู้ให้กู้และผู้กู้ควรรู้ไว้ เพื่อป้องกันปัญหาทางในภายหลัง ทำแบบไหนเสี่ยงผิดกฎหมาย แม้เป็นฝ่ายให้ยืมก็ตาม

1. เพดานดอกเบี้ยสูงสุดแค่ 15% ต่อปี

สัญญาเงินกู้ระหว่างบุคคลทั่วไป หากมีการเขียนสัญญาตกลงอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า 15% เช่น ร้อยละ 4 ต่อเดือน เท่ากับ 48% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยส่วนที่เกินกฎหมายกำหนดจะถือเป็นโมฆะทันที หากเรื่องถึงศาล ศาลจะปรับลดดอกเบี้ยที่ตกลงกันไว้ลงเหลือเพียง 15% ต่อปีให้เอง

หากในสัญญาไม่ได้ระบุอัตราดอกเบี้ยไว้เลย กฎหมายจะใช้อัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายแทน ซึ่งปัจจุบันปรับลดเหลือประมาณ 3% ต่อปี

2. วงเงินเกิน 2,000 บาท ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ

ในทางกฎหมาย การกู้ยืมเงิน เกิน 2,000 บาทขึ้นไป กฎหมายกำหนดว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือและมีลายเซ็นของผู้กู้ (ลูกหนี้)

แม้ว่าสัญญาที่ตกลงกันด้วยวาจายังคงมีอยู่จริง แต่หากไม่มีเอกสารลงลายมือชื่อของลูกหนี้ เมื่อเกิดปัญหาขึ้น จะไม่สามารถ ฟ้องร้องบังคับคดีได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งฯ ดังนั้น ทุกการกู้ยืมที่เกิน 2,000 บาท ควรมีเอกสารลายเซ็นของผู้กู้ไว้เป็นหลักฐานเสมอ

3. ข้อจำกัดเรื่องผู้เยาว์ ในการทำสัญญา

กฎหมายให้ความสำคัญกับความสามารถในการทำนิติกรรมของคู่สัญญา ผู้บรรลุนิติภาว อายุ 20 ปีขึ้นไป สามารถทำสัญญาเงินกู้เองได้เต็มที่ แต่คนอายุต่ำกว่า 20 ปี โดยหลักแล้ว การทำสัญญาที่ก่อหนี้ เช่น กู้เงิน โดยไม่มีความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม (เช่น พ่อหรือแม่) สัญญานั้นอาจเป็นโมฆียะ หมายความว่า มีความเสี่ยงที่สัญญาจะถูกบอกล้างในภายหลังได้

4. การทวงหนี้ต้องอยู่ในกรอบกฎหมาย

หากเกิดปัญหาผิดนัดชำระหนี้ การทวงหนี้ก็มีกฎหมายควบคุม คือ พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ ซึ่งกำหนดห้ามการทวงหนี้ด้วยวิธีการข่มขู่ ใช้ความรุนแรง หรือทำให้ลูกหนี้เสื่อมเสียชื่อเสียง เช่น ห้ามเอาชื่อไปประจาน หากพบการทวงหนี้ที่ผิดกฎหมาย ผู้ถูกทวงสามารถร้องเรียนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้

ข้อมูลลับ ดารา น. ยืมเงินแก๊งเพื่อน 50 ล้าน จ่ายดอกเบี้ยโหด ร้อยละ 48 ต่อปี

เพื่อนยืมแล้วไม่คืน ต้องทำยังไง ถ้าต้องฟ้องศาล

สิ่งที่เจ้าหนี้ต้องตรวจสอบก่อนดำเนินการใด ๆ คือความแข็งแรงของหลักฐาน เพราะกฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่า การกู้ยืมเงินเกิน บาท ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือที่ลงลายมือชื่อผู้ยืม มิฉะนั้น จะฟ้องบังคับคดีไม่ได้ตามมาตรา 653 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มีสัญญาหรือบันทึกหนี้เป็นลายลักษณ์อักษร ระบุยอดเงิน วันที่กู้ วันที่คืน และที่สำคัญ มีลายมือชื่อผู้กู้ ครบถ้วนตามเงื่อนไข ม.653 ใช้ฟ้องร้องได้

แต่ถ้าไม่มีสัญญาเป็นทางการ แต่มีหลักฐานอื่น เช่น สลิปโอนเงิน หรือแช็ต LINE/Messenger ที่เพื่อนพิมพ์ยอมรับชัดเจนว่า ยืมเงินจำนวนนี้ และจะคืนเมื่อไหร่ กรณีนี้ในทางเทคนิคยังไม่ตรงตาม ม.653 แต่แนวคำพิพากษาบางคดีอาจรับฟังเป็นหลักฐานประกอบได้ หากยอดเงินสูง ควรปรึกษาทนาย

ส่วนกู้ยืมกันด้วยวาจา หรือยอดเงินเกิน บาท กฎหมายห้ามใช้พยานบุคคลพิสูจน์หนี้กู้ยืมที่ไม่มีเอกสาร ฟ้องไม่ได้ เจ้าหนี้ควรพยายามให้เพื่อน “ยอมเซ็นรับหนี้ย้อนหลัง” เพื่อสร้างหลักฐานใหม่

4 ขั้นตอนจัดการหนี้เพื่อน

เริ่มต้นด้วยการทวงถามอย่างนุ่มนวล แต่ต้องคำนึงถึงการเก็บหลักฐานไว้ด้วย เจ้าหนี้ควรใช้ช่องทางที่สามารถบันทึกข้อความได้ เช่น LINE, Messenger, หรือ SMS ในการทวงถาม โดยพิมพ์ข้อความให้ชัดเจนว่ามีการกู้ยืมเงินกันจริง ระบุจำนวนเงินกู้ วันที่กู้ วันที่ตกลงคืน รวมถึงวันที่เลยกำหนดชำระแล้ว ยกตัวอย่างเช่น “เมื่อวันที่ 10 ต.ค. เราโอนให้ยืม 20,000 บาทนะ ตามตกลงว่าจะคืนวันที่ 10 พ.ย. ตอนนี้เลยกำหนดแล้ว ช่วยแจ้งวันชำระใหม่หน่อย”

สิ่งที่สำคัญคือ การขอให้ผู้กู้ตอบกลับแบบยอมรับหนี้ เช่น “โอเค เดี๋ยวสิ้นเดือนโอนคืน” ข้อความแช็ตเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นหลักฐานยืนยันว่าลูกหนี้ยอมรับว่ามีหนี้จริง ข้อควรระวังคือ ห้ามใช้วิธีข่มขู่, ประจาน, หรือความรุนแรงในการทวงหนี้เด็ดขาด เพราะอาจเข้าข่ายความผิดทางอาญาอื่นได้

ทำบันทึกหนี้ หรือสัญญาใหม่

หากเพื่อนยังยอมรับหนี้อยู่ แต่ยังไม่มีเงินคืนเต็มจำนวน เจ้าหนี้ควรเสนอให้ทำบันทึกหนี้หรือสัญญากู้ใหม่ทันที การทำเช่นนี้จะเปลี่ยนสถานะหนี้ที่ไม่มีหลักฐานให้กลายเป็นหนี้ที่มีหลักฐานเป็นหนังสือที่ฟ้องร้องได้ตามกฎหมาย

ในบันทึกหนี้ฉบับใหม่จะต้องระบุยอดหนี้คงเหลือ เงื่อนไขการคืน (กำหนดวันเดียว หรือผ่อนเป็นงวด) และอัตราดอกเบี้ยหากมีการคิดดอกเบี้ย ซึ่งต้องไม่เกิน 15% ต่อปีตามกฎหมาย และที่ขาดไม่ได้คือ ลายเซ็นของผู้กู้ พร้อมพยานอย่างน้อย 1-2 คน

ส่งหนังสือทวงถามอย่างเป็นทางการ

ถ้าการทวงผ่านช่องทางส่วนตัวไม่คืบหน้า และยอดหนี้มีมูลค่าที่คุ้มค่ากับการดำเนินการทางกฎหมาย เจ้าหนี้ควรยกระดับไปสู่การส่งหนังสือทวงถามอย่างจริงจัง

สาระสำคัญของหนังสือต้องระบุข้อมูลคู่กรณี ที่มาของหนี้ ยอดหนี้ปัจจุบัน กำหนดเวลาให้ชำระ เช่น ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ และต้องแจ้งให้ชัดเจนว่าหากไม่ชำระตามกำหนด จะดำเนินการฟ้องร้องต่อศาล วิธีส่งที่รัดกุมที่สุดคือ การส่งโดยไปรษณีย์ลงทะเบียนพร้อมใบตอบรับ หรือ EMS หนังสือนี้จะเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงต่อศาลว่า เจ้าหนี้ได้ให้โอกาสลูกหนี้ในการชำระหนี้แล้วก่อนที่จะฟ้อง

ฟ้องศาล (คดีแพ่ง)

การไม่ชำระหนี้เป็นคดีแพ่ง ไม่ใช่คดีอาญา เว้นแต่มีการพิสูจน์ได้ว่ามีเจตนาหลอกลวงตั้งแต่แรกซึ่งเข้าข่ายฉ้อโกง สิ่งที่เจ้าหนี้สามารถเรียกได้ในการฟ้องศาลคือ เงินต้น ดอกเบี้ยตามที่ตกลงกัน (ไม่เกิน 15% ต่อปี) หรือหากไม่ได้ตกลงกันไว้ ให้คิดดอกเบี้ยตามกฎหมาย ซึ่งปัจจุบันคือ 3% ต่อปี และดอกเบี้ยผิดนัดอีกประมาณ 2% รวมประมาณ 5% ต่อปี

เรื่องอายุความก็สำคัญ สัญญากู้แบบธรรมดามีอายุความ 10 ปี นับจากวันที่ถึงกำหนดชำระ แต่ถ้ามีการผ่อนเป็นงวด อายุความแต่ละงวดคือ 5 ปี เจ้าหนี้จะต้องฟ้องเฉพาะงวดที่ยังไม่ขาดอายุความเท่านั้น หากศาลมีคำพิพากษาให้ชนะคดีแล้ว แต่ลูกหนี้ยังคงไม่จ่าย เจ้าหนี้สามารถเข้าสู่ขั้นตอน “บังคับคดี” ได้ เช่น การขอให้ศาลมีคำสั่งอายัดเงินเดือน หรืออายัดบัญชีของลูกหนี้ ผ่านเจ้าพนักงานบังคับคดี

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

Aindravudh

นักเขียนประจำ Thaiger มีประสบการณ์เขียนข่าวมากกว่า 5 ปี จบการศึกษาด้านภาษาและประวัติศาสตร์ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความสนใจ ประเด็นความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง เจาะประเด็นข่าวทางสังคม ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องแบบย่อยง่าย อย่างงานเขียนสร้างสรรค์ สั้น กระชับ จับทุกประเด็น หัวข้อที่เชียวชาญคือเรื่องไลฟ์สไตล์ เลขเด็ด หวยรัฐบาลไทย หวยลาว ช่องทางติดต่อ vajara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button