ข่าวดาราบันเทิง

คืนสุดท้ายก่อนตาย มาริลีน มอนโร ภาพศพไขปริศนา ใครฆ่านางเอกในตำนาน

ย้อนประวัติ มาริลีน มอนโร คืนสุดท้ายก่อนตาย ราชินีเซ็กซ์ซิมโบลผู้ไม่เคยมีความสุข ปริศนาฆาตกรรม หรือจบชีวิต แฟ้มคดีปิดไม่ลง

เช้ามืดวันที่ 5 สิงหาคม 1962 เจ้าหน้าที่ตำรวจลอสแอนเจลิสรับแจ้งเหตุจากบ้านเลขที่ 12305 ฟิฟท์ เฮเลนา ไดรฟ์ ย่านเบรนต์วูด สถานที่เกิดเหตุคือบ้านสไตล์เม็กซิกันหลังกะทัดรัด บ้านหลังแรกที่ มาริลีน มอนโร ซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้า กลายเป็นบ้านหลังสุดท้ายที่เธอได้อยู่อาศัย

ภาพที่เจ้าหน้าที่พบคือร่างไร้วิญญาณของนักแสดงหญิงตำนานวัย 36 ปี ผู้ได้ชื่อว่าเป็นนางเอกที่โด่งดังที่สุดในโลก นอนคว่ำหน้าเปลือยกายอยู่บนเตียงนอน มือข้างหนึ่งกำโทรศัพท์แน่น รอบกายรายล้อมด้วยขวดยาเปล่าจำนวนมาก ไม่มีลมหายใจ ไม่มีแสงแฟลช มีเพียงความเงียบงันของความตายที่มาเยือนเร็วกว่าเวลาอันควร

คืนสุดท้าย มาริลีน มอนโร ที่เบรนต์วูด

หากย้อนเข็มนาฬิกากลับไปช่วงเช้าวันที่ 4 สิงหาคม 1962 กิจวัตรของมาริลีนดูเหมือนปกติสำหรับดาราที่กำลังเผชิญความเครียด เธอใช้เวลาช่วงเช้าคุยงานกับ ลอว์เรนซ์ ชิลเลอร์ ช่างภาพคนดังเรื่องภาพนู้ดโปรโมตภาพยนตร์ ซัมธิงก็อตทูกิฟ (Something’s Got to Give) มีนักบำบัดมานวดผ่อนคลายที่บ้าน ขณะที่ ยูนิซ เมอร์เรย์ แม่บ้าน และ แพทริเซีย นิวคอมบ์ประชาสัมพันธ์ส่วนตัวคอยดูแลความเรียบร้อย มีรายงานว่าบรรยากาศตึงเครียดเล็กน้อยเพราะมาริลีนพักผ่อนไม่เพียงพอ

ช่วงบ่าย ดร.ราล์ฟ กรีนสัน จิตแพทย์ส่วนตัวเดินทางมาทำบำบัดที่บ้าน พร้อมกำชับให้แม่บ้านอยู่ค้างคืนเพื่อเฝ้าดูอาการ ตกเย็นมาริลีนคุยโทรศัพท์กับ โจ ดิแมกจิโอ จูเนียร์ ลูกชายของอดีตสามีด้วยน้ำเสียงปกติ

ความผิดปกติเริ่มส่งสัญญาณในช่วงดึก ปีเตอร์ ลอว์ฟอร์ด นักแสดงและน้องเขยของประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี้โทรศัพท์หาเธอ สังเกตว่าเสียงของมาริลีนยานคางคล้ายคนเมาหรือตกอยู่ภายใต้ฤทธิ์ยา ประโยคสุดท้ายที่นางเอกกระโปรงปลิวเป็นภาพจำ กล่าวกับเขาคือ “ฝากบอกลาประธานาธิบดีด้วย” ก่อนสายจะตัดไป

เวลาตี 3 แม่บ้านสังเกตเห็นไฟห้องนอนเจ้านายยังเปิดอยู่ เคาะประตูเรียกแต่ไร้เสียงตอบรับ จึงตัดสินใจโทรตามจิตแพทย์ ดร.กรีนสัน เมื่อเขามาถึงและมองลอดหน้าต่างเข้าไป เห็นร่างคนไข้นอนแน่นิ่ง จึงทุบกระจกเข้าไปพบว่าเธอเสียชีวิตแล้ว

คำถามที่ดังขึ้นทันทีคือ ผู้หญิงที่ผู้คนทั่วโลกใฝ่ฝันอยากจะเป็น เดินทางจากจุดสูงสุดของฮอลลีวูดมาจบลงที่เตียงนอนพร้อมกองขวดยาเปล่าได้อย่างไร

ขวดยาเปล่าที่อยู่รอบตัวมาริลีน มอนโร ในคืนที่เธอเสียชีวิต
ขวดยาเปล่าที่อยู่รอบตัวมาริลีน มอนโร ในคืนที่เธอเสียชีวิต

นอร์มา จีน เด็กหญิงผู้ถูกลืม

ก่อนโลกจะรู้จัก มาริลีน มอนโร มีเพียงเด็กหญิงชื่อ นอร์มา จีน มอร์เทนสัน (หรือ เบเกอร์) เกิดเมื่อปี 1926 ที่ลอสแอนเจลิส ชีวิตของเธอห่างไกลจากคำว่าเทพนิยาย แม่ของเธอ เกลดีส์ ป่วยเป็นโรคจิตเภทขั้นรุนแรงจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจิตเวช ส่งผลให้ นอร์มา จีน ถูกผลักเข้าสู่ระบบอุปถัมภ์ ต้องย้ายที่อยู่ระหว่างบ้านรับเลี้ยงเด็กกับสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าวนเวียนไปมา

นอร์มา จีน เติบโตมากับการถูกล้อเลียน ขาดความรัก ถูกล่วงละเมิดทางเพศระหว่างอยู่ในบ้านอุปถัมภ์ ทางออกเดียวที่เด็กสาววัย 16 ปีมองเห็นเพื่อหนีจากการถูกส่งกลับสถานสงเคราะห์ คือการแต่งงานกับเพื่อนบ้าน ทั้งที่ยังไม่รู้จักความรักดีพอ

โชคชะตาเริ่มเปลี่ยนเมื่อช่างภาพตาไวเห็นเธอขณะทำงานในโรงงานผลิตเครื่องบินช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ความงามของเธอเตะตาจนได้ถ่ายแบบพินอัพ นำไปสู่การเซ็นสัญญากับ ทเวนตีธ์ เซนจูรี ฟอกซ์ สตูดิโอยักษ์ใหญ่เปลี่ยนชื่อ นอร์มา จีน เป็น มาริลีน มอนโร ย้อมผมเป็นสีบลอนด์สว่าง และปั้นเธอเป็นสินค้าชิ้นใหม่ในภาพลักษณ์ “สาวผมบลอนด์สุดเซ็กซี่”

ภาพยนตร์อย่าง เจนเทิลเมน พรีเฟอร์ บลอนด์ส (Gentlemen Prefer Blondes – 1953), เดอะ เซเวน เยียร์ อิตช์ (The Seven Year Itch – 1955) และ ซัม ไลค์ อิต ฮอต (Some Like It Hot – 1959) สร้างรายได้มหาศาล ส่งให้เธอกลายเป็นไอคอนระดับโลก แต่เบื้องหลังความสำเร็จ คือผู้หญิงที่ต้องพึ่งพายานอนหลับและยาคลายเครียดเพื่อรับมือกับแรงกดดัน ความสัมพันธ์กับอดีตสามีอย่าง โจ ดิแมกจิโอ และ อาเธอร์ มิลเลอร์ จบลงด้วยการหย่าร้าง ทิ้งรอยแผลซ้ำเติมอาการซึมเศร้าเรื้อรังที่เธอต้องต่อสู้มาตลอด

มาริลีน มอนโร ในวัย 36 ปี เสียชีวิตโดยไม่มีใครคาดคิด

คดีปริศนา ฆ่าตัวตาย หรือ ฆาตกรรม?

ผลการชันสูตรโดย โทมัส โนกูชิ ระบุว่าในเลือดและตับของมาริลีนมีปริมาณยา เนมบูทาล และ คลอรัลไฮเดรต สูงเกินขนาด สอดคล้องกับขวดยาข้างเตียง คณะผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชลงความเห็นว่าเป็น “Probable Suicide” หรือ “น่าจะเป็นการฆ่าตัวตาย” โดยอ้างอิงประวัติการรักษา อาการซึมเศร้า และพฤติกรรมการใช้ยา

แต่สังคมไม่ยอมเชื่อผลสรุปนี้ เพราะความล่าช้าในการแจ้งตำรวจ การไม่มีจดหมายลาตาย และข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์กับพี่น้องตระกูลเคนเนดี้ ก่อให้เกิดทฤษฎีสมคบคิดว่าเธอถูก “สั่งเก็บ” เพื่อปิดปาก ทฤษฎีนี้แพร่หลายจนทำให้ในปี 1982 อัยการเขตลอสแอนเจลิสสั่งรื้อคดีขึ้นมาตรวจสอบใหม่ทั้งหมด

ผลการสอบสวนซ้ำในปี 1982 โดยรองอัยการ โรนัลด์ แคร์รอลล์ ซึ่งตรวจสอบเอกสารและพยานหลักฐานอย่างละเอียด สรุปผลชัดเจนว่า “ไม่พบหลักฐานใดที่สนับสนุนทฤษฎีฆาตกรรม” หลักฐานทุกชิ้นชี้กลับไปที่จุดเดิม มาริรีนเสียชีวิตเกิดจากการใช้ยาเกินขนาดด้วยเจตนาฆ่าตัวตาย หรืออุบัติเหตุจากการใช้ยา

บรรยากาศเงียบสงัดในคืนสุดท้ายของมาริลีน มอนโร

บทสรุปเหยื่อของระบบที่ไร้ความเมตตา

เมื่อตัดทฤษฎีสมคบคิดและเรื่องเล่าสไตล์นิยายสืบสวนออกไป ความจริงที่เหลืออยู่อาจเจ็บปวดยิ่งกว่า

มาริลีน มอนโร คือเหยื่อของระบบอุตสาหกรรมบันเทิงที่มองเธอเป็นเพียงวัตถุทางเพศ พยายามพิสูจน์ตนเองในฐานะนักแสดงที่มีฝีมือ สนใจการเมือง และใฝ่หาความรู้ แต่ฮอลลีวูดกับผู้ชมกลับต้องการเพียงตุ๊กตาหน้าสวยที่หัวเราะร่าเริงหน้ากล้อง ความโดดเดี่ยวจากการถูกทอดทิ้งในวัยเด็ก ผสมโรงกับการถูกใช้งานอย่างหนักในวัยผู้ใหญ่ โดยมีเพียงเม็ดยาเป็นที่พึ่งสุดท้าย นำไปสู่จุดจบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง

สังคมอาจต้องการเชื่อเรื่องฆาตกรรมซ่อนเงื่อน เพราะมันง่ายกว่าการยอมรับว่า ระบบที่เราต่างชื่นชมมีส่วนร่วมในการผลักไสผู้หญิงคนหนึ่งไปสู่ความตาย มาริลีน มอนโร อาจเป็นราชินีในสายตาชาวโลก แต่สำหรับ นอร์มา จีน เธอก็แค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่วิ่งตามหาบ้านที่ปลอดภัย… และน่าเศร้าที่เธอไม่เคยหาเจอตราบจนลมหายใจสุดท้าย

เปิดแฟ้มลับ คดีสังหาร JFK พบเอกสารกว่า 3 หมื่นหน้า เขย่าทำเนียบขาว

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

Aindravudh

นักเขียนประจำ Thaiger มีประสบการณ์เขียนข่าวมากกว่า 5 ปี จบการศึกษาด้านภาษาและประวัติศาสตร์ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความสนใจ ประเด็นความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง เจาะประเด็นข่าวทางสังคม ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องแบบย่อยง่าย อย่างงานเขียนสร้างสรรค์ สั้น กระชับ จับทุกประเด็น หัวข้อที่เชียวชาญคือเรื่องไลฟ์สไตล์ เลขเด็ด หวยรัฐบาลไทย หวยลาว ช่องทางติดต่อ vajara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button