รวม 15 สัญญาณเตือน มะเร็งระยะแรก ร่างกายฟ้อง คนมักมองข้าม อย่าปล่อยผ่าน

อ้างอิงจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ คนไทยป่วยมะเร็งรายใหม่ปีละราว 140,000 คน หรือเฉลี่ยวันละ 400 คน แต่หลายคนมารู้ตัวตอนโรคลุกลามแล้ว ทั้งที่องค์การอนามัยโลกย้ำว่า หากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โอกาสรอดชีวิตจะสูงขึ้นมาก ไทยเกอร์ขอชวนสังเกต “สัญญาณเตือนจากร่างกาย” ที่ไม่ควรมองข้าม บอกชัดว่าเมื่อไหร่ควรไปพบหมอให้เร็วที่สุด
ทำไมต้องใส่ใจ สัญญาณเล็ก ๆ จากร่างกาย
ตอนที่มะเร็งยังตัวเล็ก ร่างกายมักส่งสัญญาณเตือนแบบเนียน ๆ ที่ดูเหมือนเรื่องเล็กน้อย เช่น เหนื่อยง่ายลงนิดหน่อย น้ำหนักลดนิดหนึ่ง หรือไอเรื้อรังเหมือนเป็นหวัดไม่หายสักที หลายคนเลยเลือกทน คิดว่าเดี๋ยวค่อยไปหาหมอ จนกว่าจะเริ่มเจ็บมาก หรือใช้ชีวิตลำบากแล้วค่อยไปตรวจ
แต่ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุชัดว่า การวินิจฉัยมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะแรก ทำให้รักษาได้ผลดีกว่า ทั้งโอกาสรอดชีวิตที่สูงขึ้น ภาวะแทรกซ้อนน้อยลง และค่าใช้จ่ายในการรักษาลดลงอย่างมาก
ด้านกรมการแพทย์และสถาบันมะเร็งแห่งชาติของไทยก็เปิดข้อมูลตรงกันว่า คนไทยมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ราวปีละ 140,000 คน หรือประมาณวันละ 400 คน และเสียชีวิตกว่า 80,000 คนต่อปี ทำให้มะเร็งยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนไทย
สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญเน้นคือ อาการส่วนใหญ่ ไม่ใช่มะเร็ง แต่ถ้าอาการผิดปกติอยู่นานกว่าปกติ อธิบายไม่ได้ หรือยิ่งนานยิ่งแย่ ควรให้หมอช่วยหาคำตอบ แทนที่จะเดาเองจากอินเทอร์เน็ต
แนวทางจากองค์กรด้านมะเร็งในหลายประเทศมักใช้หลักง่าย ๆ นี้ในการตัดสินใจส่งตรวจเพิ่ม คือ หากอาการผิดปกตินานเกิน 2–3 สัปดาห์ ไม่ดีขึ้นเอง หรือมียาแล้วดีขึ้นแป๊บเดียวแล้วกลับมาเป็นใหม่ ควรไปพบแพทย์เพื่อประเมินเพิ่มเติม
สัญญาณทั่วร่างกายที่หลายคนคิดว่า “เดี๋ยวก็หาย”
น้ำหนักลดเร็วโดยไม่ได้ตั้งใจ
- น้ำหนักลดเกินประมาณ 5–10 กิโลกรัมภายในไม่กี่เดือน
- ทั้งที่ไม่ได้ควบคุมอาหารอย่างจริงจัง ไม่ได้ออกกำลังกายเพิ่ม
- ไม่มีเหตุผลอธิบายชัด เช่น อกหัก เครียดกินไม่ลงต่อเนื่อง
อาการแบบนี้อาจเกี่ยวกับโรคหลายอย่าง ตั้งแต่ปัญหาต่อมไทรอยด์ โรคติดเชื้อเรื้อรัง ไปจนถึงมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร ปอด หรือตับ
เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียเรื้อรัง
- ตื่นมาก็ยังรู้สึกหมดแรง อยากนอนต่อ
- งานบ้านเล็ก ๆ ที่เคยทำได้สบาย กลายเป็นเรื่องเหนื่อย
- พักผ่อนเต็มที่แล้วก็ยังไม่ดีขึ้น
ความเหนื่อยเรื้อรังอาจมาจากภาวะโลหิตจาง โรคหัวใจ โรคซึมเศร้า หรือมะเร็งที่ทำให้ร่างกายใช้พลังงานผิดปกติ โดยเฉพาะถ้ามาพร้อมน้ำหนักลด ซีด หน้ามืด หายใจเร็ว ควรให้หมอตรวจเลือดและประเมินสาเหตุ
ไข้ต่ำ ๆ เรื้อรัง เหงื่อออกตอนกลางคืนจนเปียก
- ไข้ต่ำ ๆ เป็น ๆ หาย ๆ นานหลายสัปดาห์
- เหงื่อออกกลางคืนจนต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เปลี่ยนผ้าปูที่นอนบ่อย ๆ
- ไม่มีสัญญาณชัด ๆ ว่าเป็นหวัดหรือภูมิแพ้
อาการไข้และเหงื่อออกกลางคืนเรื้อรัง พบได้ในโรคติดเชื้อเรื้อรัง โรคข้ออักเสบอัตโนมัติ และมะเร็งเม็ดเลือดบางชนิด เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลืองหรือมะเร็งเม็ดเลือดขาว
ก้อนหรือตุ่มแปลก ๆ โผล่มาแบบไม่มีเหตุผล
ก้ออนที่เต้านม หรือรักแร้
สัญญาณที่ควรระวัง
- คลำเจอก้อนที่เต้านม แข็ง ขอบไม่เรียบ หรือรู้สึกติดแน่นกับผิว/กล้ามเนื้อ
- ผิวเต้านมเป็นลักยิ้ม ผิวขรุขระคล้ายเปลือกส้ม
- หัวนมบุ๋มหรือบิดรูปไปจากเดิม มีน้ำใส หรือน้ำเลือดออกจากหัวนม
- คลำได้ต่อมน้ำเหลืองโตที่รักแร้
มะเร็งเต้านมในระยะแรกหลายรายพบจากการคลำเจอก้อนโดยบังเอิญ การตรวจเต้านมด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอ และเข้ารับการตรวจคัดกรองตามช่วงวัย จึงช่วยให้เจอโรคได้เร็วกว่ารอให้เจ็บปวดหรือผิวเปลี่ยนรูปร่างชัด ๆ
รู้จักอาการ ‘มะเร็งเต้านม’ ภัยเงียบอันดับ 1 ของผู้หญิงไทย วิธีตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตัวเอง
ก้อนหรือต่อมน้ำเหลืองโตที่คอ รักแร้ หรือขาหนีบ
- ก้อนโตขึ้นเรื่อย ๆ แข็ง ไม่เจ็บ
- อยู่มานานเกิน 3–4 สัปดาห์
- อาจมีไข้ น้ำหนักลด เหงื่อออกกลางคืน ร่วมด้วย
ต่อมน้ำเหลืองโต อาจเกิดจากการติดเชื้อทั่วไป เช่น ต่อมทอนซิลอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หรือการติดเชื้อไวรัส แต่หากไม่ยุบเองในเวลาไม่นาน หรือโตขึ้นเรื่อย ๆ ควรให้แพทย์ตรวจเพื่อคัดกรองมะเร็งต่อมน้ำเหลืองหรือมะเร็งที่กระจายมาจากอวัยวะอื่น
ก้อนที่ถุงอัณฑะ
- ก้อนแข็ง ไม่เจ็บ หรือรู้สึกหนักถ่วงที่ถุงอัณฑะ
- ขนาดก้อนใหญ่ขึ้นในเวลาไม่นาน
แม้มะเร็งอัณฑะจะพบไม่บ่อยเท่ามะเร็งชนิดอื่น แต่พบได้ในผู้ชายวัยหนุ่มมากกว่าวัยชรา การตรวจอัณฑะด้วยตัวเองเดือนละครั้งจึงเป็นนิสัยที่ควรมี โดยเฉพาะในคนที่เคยมีอัณฑะไม่ลงถุงหรือมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งชนิดนี้
เลือดออกผิดปกติ อย่าคิดว่าเดี๋ยวก็หาย
ไอมีเลือดปน หรืออาเจียนเป็นเลือด
- ไอมีเลือดสด หรือเสมหะปนเลือดซ้ำ ๆ
- อาเจียนเป็นเลือดสด หรือสีคล้ำคล้ายกากกาแฟ
พบได้ในโรคหลายอย่าง เช่น วัณโรค แผลในกระเพาะอาหาร หลอดอาหารฉีกขาด หรือมะเร็งปอด–มะเร็งทางเดินอาหาร การปล่อยทิ้งไว้ไม่ใช่ทางเลือก ควรไปโรงพยาบาลทันทีเพื่อให้แพทย์ตรวจหาต้นเหต
ถ่ายเป็นเลือด หรืออุจจาระดำคล้ายยางมะตอย
- อุจจาระมีเลือดสดเคลือบหรือปนอยู่
- ถ่ายเป็นสีดำ เหนียว มีกลิ่นแรงผิดปกติ
- ถ่ายบ่อยขึ้น ปวดเบ่งตลอดเวลา รู้สึกถ่ายไม่สุด น้ำหนักลด
- หลายคนคิดว่าเป็นริดสีดวงทวารอย่างเดียว แต่เลือดออกทางทวารหนักเรื้อรังในคนอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ควรตรวจส่องกล้องลำไส้ใหญ่เพื่อคัดกรองมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
ปัสสาวะเป็นเลือด
- น้ำปัสสาวะมีสีชมพู แดง หรือสีน้ำล้างเนื้อ
- ไม่มีประวัติหกล้มกระแทก หรือไม่ได้เพิ่งออกกำลังกายหนักแบบผิดปกติ
อาจเป็นสัญญาณของนิ่วในทางเดินปัสสาวะ การติดเชื้อ หรือมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ไต หรือมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชาย การไปพบแพทย์ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเลือด จะช่วยให้ตรวจหาสาเหตุได้เร็วกว่าแค่ดื่มน้ำเยอะ ๆ แล้วรอดูอาการ
เลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด
- เลือดออกระหว่างรอบเดือน เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์
- ประจำเดือนมาปริมาณมากผิดปกติ หรือยืดเยื้อหลายวัน
- หลังหมดประจำเดือนแล้ว แต่มีเลือดออกมาอีก
เป็นสัญญาณสำคัญของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก มะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งรังไข่บางชนิด หากมีอาการแบบนี้ไม่ควรรอ ควรพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจภายในและตรวจเพิ่มเติมตามความเหมาะสม
ช้ำง่าย เลือดกำเดาไหลหรือเลือดออกตามไรฟันบ่อย
เมื่อมาพร้อมกับอาการซีด เหนื่อยง่าย หรือมีไข้ อาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของเกล็ดเลือด หรือมะเร็งเม็ดเลือดขาว
แพทย์เตือน “ออรัลเซ็กส์” เสี่ยงอันดับ 1 “มะเร็งลำคอ” พบป่วยสูงขึ้นจนน่ากังวล
การขับถ่าย ระบบทางเดินอาหารที่เปลี่ยนไปจากเดิม
นิสัยการถ่ายเปลี่ยนไปชัดเจน
- ท้องเสีย–ท้องผูกสลับกันหลายสัปดาห์
- ถ่ายบ่อยขึ้น หรือรู้สึกอยากถ่ายตลอดเวลา แต่ถ่ายออกมาน้อย
- รูปร่างอุจจาระเปลี่ยนไป เช่น ลำเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด
อาการเหล่านี้อาจเกิดจากลำไส้แปรปรวน (IBS) หรืออาหารไม่ย่อยทั่วไป แต่หากเกิดขึ้นใหม่ในวัยกลางคนขึ้นไป ร่วมกับน้ำหนักลดหรือเลือดออกทางทวารหนัก ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม ไม่ควรวินิจฉัยตัวเองว่าเป็นแค่ลำไส้แปรปรวนอย่างเดียว
ท้องอืด แน่นท้อง อิ่มง่าย
โดยเฉพาะในผู้หญิง หากมีอาการ ท้องอืด แน่นท้องตลอดเวลา ไม่ใช่แค่หลังมื้อหนัก ๆ รู้สึกอิ่มเร็ว กินได้ไม่มากเท่าเดิม ปวดหรือหน่วงท้องน้อย–เชิงกรานเรื้อรัง น้ำหนักลด หรือรู้สึกอ่อนเพลียร่วมด้วย
อาจเกี่ยวข้องกับมะเร็งรังไข่ หรือมะเร็งในช่องท้องอื่น ๆ ที่ทำให้มีน้ำในช่องท้องเพิ่มขึ้น
กลืนลำบาก แสบร้อนกลางอกเรื้อรัง
- กลืนแล้วรู้สึกติด ค้าง หรือปวดแสบกลางอก
- กลืนของแข็งลำบากขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องเปลี่ยนมากินของเหลว
- แสบร้อนกลางอกรุนแรงเป็นประจำ ร่วมกับน้ำหนักลดหรืออาเจียนเป็นเลือด
อาจเป็นทั้งกรดไหลย้อน การอักเสบของหลอดอาหาร หรือมะเร็งหลอดอาหาร–กระเพาะอาหาร การตรวจโดยแพทย์จะช่วยแยกโรคที่รักษาได้ง่ายออกจากโรคที่ต้องรีบจัดการก่อนสายเกินไป
ทางเดินหายใจและเสียงเปลี่ยนไป
ไอเรื้อรังนานเกิน 3 สัปดาห์
- ไอแห้ง ๆ ติดๆ หรือไอมีเสมหะเรื้อรัง
- รักษาเหมือนหวัด–หลอดลมอักเสบแล้วไม่ดีขึ้น
- โดยเฉพาะในคนที่สูบบุหรี่ หรือเคยสูบบุหรี่เป็นเวลานาน
แนวทางในหลายประเทศแนะนำว่า หากไอนานเกิน 3 สัปดาห์ ควรไปพบแพทย์เพื่อประเมินเพิ่ม รวมถึงมะเร็งปอดที่อาจเริ่มจากอาการไอเพียงอย่างเดียวในช่วงแรก ๆ
5.2 หายใจหอบง่าย แน่นหน้าอก
- เดินขึ้นบันไดไม่กี่ขั้นก็เหนื่อยผิดปกติ
- แน่นหน้าอกโดยไม่เคยเป็นมาก่อน
- ร่วมกับไอเรื้อรัง น้ำหนักลด หรือเจ็บหน้าอก
ควรให้แพทย์ตรวจทั้งเรื่องโรคหัวใจ โรคปอด และมะเร็งปอดไปพร้อมกัน ไม่ควรคิดว่าเป็นแค่ “แก่ขึ้นเลยเหนื่อยง่าย”
เสียงแหบ หรือโทนเสียงเปลี่ยนไป
หากเสียงแหบเรื้อรังเกิน 3–4 สัปดาห์ โดยไม่ได้เป็นหวัด หรือใช้เสียงหนัก เช่น ร้องเพลงตะโกนบ่อย ๆ ควรให้หมอตรวจกล่องเสียงและต่อมไทรอยด์ เพื่อคัดกรองก้อนหรือมะเร็งบริเวณคอและกล่องเสียงตั้งแต่เนิ่น ๆ
ผิวหนัง ไฝ แผลไม่ยอมหาย
ไฝหรือปานที่เปลี่ยนรูปร่าง สี หรือขนาด
หลักง่าย ๆ ที่แพทย์ผิวหนังมักใช้คือ ABCDE
-
A – Asymmetry: รูปร่างสองฝั่งไม่เท่ากัน
-
B – Border: ขอบไม่เรียบ เป็นหยัก ฟุ้ง
-
C – Colour: หลายสีในเม็ดเดียว เช่น น้ำตาล ดำ แดงปน
-
D – Diameter: ขนาดใหญ่กว่า 6 มม.
-
E – Evolving: โตเร็ว หรือเปลี่ยนรูปร่าง สี มีเลือดออก หรือคันมาก
ควรให้แพทย์ตรวจ เพื่อคัดกรองมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมาแต่ระยะต้น ซึ่งรักษาได้ผลดีกว่าระยะลุกลามมาก

แผลในปาก ลิ้น หรือริมฝีปากที่ไม่หายสักที
- แผลร้อนในที่อยู่นานเกิน 2–3 สัปดาห์
- ปื้นขาว/ปื้นแดงที่ลิ้นหรือกระพุ้งแก้ม
- แผลแตกที่ริมฝีปากเรื้อรัง โดยเฉพาะในคนที่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
อาจเป็นสัญญาณของมะเร็งช่องปาก แพทย์จะตรวจดูรอยโรคและอาจตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ เพื่อยืนยันว่าเป็นแค่แผลธรรมดา หรือเป็นเซลล์ผิดปกติที่ต้องรีบรักษา
ผิวเหลือง ตาเหลือง
ดีซ่าน (Jaundice) เกิดจากระดับสารสีเหลือง (บิลิรูบิน) ในเลือดสูงขึ้น ผิวและตาขาวจะออกสีเหลือง ปัสสาวะสีเข้มอาจร่วมด้วย เป็นสัญญาณของปัญหาที่ตับ ถุงน้ำดี หรือมะเร็งตับ–ตับอ่อนบางชนิด ไม่ควรซื้อยาล้างพิษหรือดีท็อกซ์มากินเอง แต่ควรให้แพทย์ตรวจเลือดและอัลตราซาวนด์ประเมินสาเหตุอย่างเป็นระบบ
อาการเฉพาะเพศที่ไม่ควรมองข้าม
ผู้หญิง
นอกจากเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด และการเปลี่ยนแปลงของเต้านมแล้ว สัญญาณที่ควรสังเกต เช่น
- ปวดหน่วงท้องน้อยหรือเชิงกรานเรื้อรัง
- ท้องอืด แน่นท้อง อิ่มง่าย ร่วมกับน้ำหนักลด
- ปัสสาวะถี่หรือกลั้นไม่อยู่มากขึ้นอย่างชัดเจน
อาการเหล่านี้อาจเกี่ยวกับมดลูก รังไข่ หรืออุ้งเชิงกราน ควรตรวจภายในตามช่วงวัย และพบสูตินรีแพทย์เมื่อมีความผิดปกติ ไม่ควรพึ่งแค่ยาสตรีหรือสมุนไพรโดยไม่เคยตรวจ
7.2 ผู้ชาย
- ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะตอนกลางคืน
- ปัสสาวะสะดุด หรือปัสสาวะไหลไม่สุด
- ปัสสาวะเป็นเลือด
- ก้อนหรือการเปลี่ยนรูปร่างของอัณฑะ
อาจเกี่ยวข้องกับต่อมลูกหมากโตตามวัย การติดเชื้อ หรือมะเร็งต่อมลูกหมาก–กระเพาะปัสสาวะ แพทย์จะช่วยแยกโรคที่พบได้บ่อยออกจากโรครุนแรง โดยอาจตรวจเลือดและอัลตราซาวนด์ร่วมกัน
ระบบประสาทและสมอง
ปวดหัวแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
- ปวดหัวรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นแทบทุกวัน
- ปวดมากจนตื่นกลางดึก หรือปวดตอนเช้าหลังตื่นนอน
- ร่วมกับอาเจียน ตาพร่า มองเห็นภาพซ้อน หรือเดินเซ
อาการทางระบบประสาทอื่น ๆ
- แขนหรือขาอ่อนแรง ชา เพลียข้างใดข้างหนึ่ง
- ชักเกร็ง โดยไม่เคยมีประวัติชักมาก่อน
- ซึมลง บุคลิกเปลี่ยนไป ความจำแย่ลงเร็วผิดปกติ
อาการเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นมะเร็งสมองเสมอไป แต่อาจเป็นสัญญาณว่ามีสิ่งผิดปกติในกะโหลกศีรษะ เช่น เลือดคั่ง ก้อนเนื้อ หรือการติดเชื้อ ซึ่งทั้งหมดเป็นภาวะที่ควรไปโรงพยาบาลโดยเร็ว
เมื่อไหร่ควรรีบนัดหมอ เมื่อไหร่ควรไปโรงพยาบาลด่วน
ควรนัดพบแพทย์ภายใน 1–2 สัปดาห์ ถ้า
- มีอาการผิดปกติใหม่ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และอยู่นานเกิน 2–3 สัปดาห์
- น้ำหนักลดมากกว่า 3–5 กิโลกรัม ภายในไม่กี่เดือนโดยไม่ได้ตั้งใจ
- เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียเรื้อรัง ทั้งที่พักผ่อนเพียงพอ
- ไอเรื้อรังเกิน 3 สัปดาห์ หรือเสียงแหบต่อเนื่อง
- มีการเปลี่ยนแปลงของการขับถ่าย (อุจจาระ/ปัสสาวะ) ที่ผิดจากเดิมชัดเจน
- คลำได้ก้อนใหม่ที่โตเร็ว หรือมีการเปลี่ยนแปลงของเต้านม/อัณฑะ
ควรไปโรงพยาบาลทันที ถ้า
- ไอหรืออาเจียนเป็นเลือด
- ถ่ายเป็นเลือดสดจำนวนมาก หรืออุจจาระดำคล้ายยางมะตอยร่วมกับเวียนศีรษะ หน้ามืด
- ปัสสาวะเป็นเลือดเข้มชัดเจน
- หายใจหอบ แน่นหน้าอกเฉียบพลัน
- แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก ชัก หรือพูดไม่ชัด/มองเห็นภาพซ้อนเฉียบพลัน
- ปวดหัวรุนแรงมากแบบไม่เคยเป็นมาก่อน
แนวคิดเรื่องอาการสัญญาณอันตรายแบบนี้ ถูกใช้ในคลินิกและโรงพยาบาลหลายประเทศ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยที่อาจมีมะเร็งหรือโรครุนแรงอื่น ๆ ได้รับการตรวจเร็ว ไม่ปล่อยให้รอจนโรคลุกลาม
สุดท้าย เป้าหมายไม่ใช่ “เดาว่าตัวเองเป็นมะเร็งไหม” แต่คือรู้จักร่างกายตัวเองให้มากพอที่จะไปหาหมอให้ทันเวลา
สิ่งสำคัญไม่ใช่การให้คุณนั่งเช็กทุกข้อแล้วตัดสินตัวเองจากหน้าเว็บ แต่คือการ สังเกตความเปลี่ยนแปลงของร่างกายตัวเองให้มากขึ้น ไม่ชินชา เมื่ออาการผิดปกติอยู่นาน หรือแย่ลงเรื่อย ๆ กล้าไปพบแพทย์เพื่อตรวจให้ชัด ว่าเป็นอะไรแน่ ส่วนใหญ่ผลออกมาจะไม่ใช่มะเร็ง แต่ในคนที่เป็นจริง ๆ การไปหาหมอเร็วคือโอกาสในการรักษาที่ดีที่สุด
สถาบันมะเร็งแห่งชาติของไทยย้ำเสมอว่า การป้องกันและการตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น คือหัวใจของการต่อสู้กับมะเร็ง ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม
บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ความรู้เบื้องต้น ไม่สามารถใช้แทนการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และการวินิจฉัยโดยบุคลากรทางการแพทย์ หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการผิดปกติที่น่ากังวล ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง
ติดตาม The Thaiger บน Google News:





