ข่าว

รวม 15 สัญญาณเตือน มะเร็งระยะแรก ร่างกายฟ้อง คนมักมองข้าม อย่าปล่อยผ่าน

อ้างอิงจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ คนไทยป่วยมะเร็งรายใหม่ปีละราว 140,000 คน หรือเฉลี่ยวันละ 400 คน แต่หลายคนมารู้ตัวตอนโรคลุกลามแล้ว ทั้งที่องค์การอนามัยโลกย้ำว่า หากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โอกาสรอดชีวิตจะสูงขึ้นมาก ไทยเกอร์ขอชวนสังเกต “สัญญาณเตือนจากร่างกาย” ที่ไม่ควรมองข้าม บอกชัดว่าเมื่อไหร่ควรไปพบหมอให้เร็วที่สุด

ทำไมต้องใส่ใจ สัญญาณเล็ก ๆ จากร่างกาย

ตอนที่มะเร็งยังตัวเล็ก ร่างกายมักส่งสัญญาณเตือนแบบเนียน ๆ ที่ดูเหมือนเรื่องเล็กน้อย เช่น เหนื่อยง่ายลงนิดหน่อย น้ำหนักลดนิดหนึ่ง หรือไอเรื้อรังเหมือนเป็นหวัดไม่หายสักที หลายคนเลยเลือกทน คิดว่าเดี๋ยวค่อยไปหาหมอ จนกว่าจะเริ่มเจ็บมาก หรือใช้ชีวิตลำบากแล้วค่อยไปตรวจ

แต่ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุชัดว่า การวินิจฉัยมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะแรก ทำให้รักษาได้ผลดีกว่า ทั้งโอกาสรอดชีวิตที่สูงขึ้น ภาวะแทรกซ้อนน้อยลง และค่าใช้จ่ายในการรักษาลดลงอย่างมาก

ด้านกรมการแพทย์และสถาบันมะเร็งแห่งชาติของไทยก็เปิดข้อมูลตรงกันว่า คนไทยมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ราวปีละ 140,000 คน หรือประมาณวันละ 400 คน และเสียชีวิตกว่า 80,000 คนต่อปี ทำให้มะเร็งยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนไทย

สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญเน้นคือ อาการส่วนใหญ่ ไม่ใช่มะเร็ง แต่ถ้าอาการผิดปกติอยู่นานกว่าปกติ อธิบายไม่ได้ หรือยิ่งนานยิ่งแย่ ควรให้หมอช่วยหาคำตอบ แทนที่จะเดาเองจากอินเทอร์เน็ต

แนวทางจากองค์กรด้านมะเร็งในหลายประเทศมักใช้หลักง่าย ๆ นี้ในการตัดสินใจส่งตรวจเพิ่ม คือ หากอาการผิดปกตินานเกิน 2–3 สัปดาห์ ไม่ดีขึ้นเอง หรือมียาแล้วดีขึ้นแป๊บเดียวแล้วกลับมาเป็นใหม่ ควรไปพบแพทย์เพื่อประเมินเพิ่มเติม

สัญญาณทั่วร่างกายที่หลายคนคิดว่า “เดี๋ยวก็หาย”

น้ำหนักลดเร็วโดยไม่ได้ตั้งใจ

  • น้ำหนักลดเกินประมาณ 5–10 กิโลกรัมภายในไม่กี่เดือน
  • ทั้งที่ไม่ได้ควบคุมอาหารอย่างจริงจัง ไม่ได้ออกกำลังกายเพิ่ม
  • ไม่มีเหตุผลอธิบายชัด เช่น อกหัก เครียดกินไม่ลงต่อเนื่อง

อาการแบบนี้อาจเกี่ยวกับโรคหลายอย่าง ตั้งแต่ปัญหาต่อมไทรอยด์ โรคติดเชื้อเรื้อรัง ไปจนถึงมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร ปอด หรือตับ

เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียเรื้อรัง

  • ตื่นมาก็ยังรู้สึกหมดแรง อยากนอนต่อ
  • งานบ้านเล็ก ๆ ที่เคยทำได้สบาย กลายเป็นเรื่องเหนื่อย
  • พักผ่อนเต็มที่แล้วก็ยังไม่ดีขึ้น

ความเหนื่อยเรื้อรังอาจมาจากภาวะโลหิตจาง โรคหัวใจ โรคซึมเศร้า หรือมะเร็งที่ทำให้ร่างกายใช้พลังงานผิดปกติ โดยเฉพาะถ้ามาพร้อมน้ำหนักลด ซีด หน้ามืด หายใจเร็ว ควรให้หมอตรวจเลือดและประเมินสาเหตุ

ไข้ต่ำ ๆ เรื้อรัง เหงื่อออกตอนกลางคืนจนเปียก

  • ไข้ต่ำ ๆ เป็น ๆ หาย ๆ นานหลายสัปดาห์
  • เหงื่อออกกลางคืนจนต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เปลี่ยนผ้าปูที่นอนบ่อย ๆ
  • ไม่มีสัญญาณชัด ๆ ว่าเป็นหวัดหรือภูมิแพ้

อาการไข้และเหงื่อออกกลางคืนเรื้อรัง พบได้ในโรคติดเชื้อเรื้อรัง โรคข้ออักเสบอัตโนมัติ และมะเร็งเม็ดเลือดบางชนิด เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลืองหรือมะเร็งเม็ดเลือดขาว

ก้อนหรือตุ่มแปลก ๆ โผล่มาแบบไม่มีเหตุผล

ก้ออนที่เต้านม หรือรักแร้

สัญญาณที่ควรระวัง

  • คลำเจอก้อนที่เต้านม แข็ง ขอบไม่เรียบ หรือรู้สึกติดแน่นกับผิว/กล้ามเนื้อ
  • ผิวเต้านมเป็นลักยิ้ม ผิวขรุขระคล้ายเปลือกส้ม
  • หัวนมบุ๋มหรือบิดรูปไปจากเดิม มีน้ำใส หรือน้ำเลือดออกจากหัวนม
  • คลำได้ต่อมน้ำเหลืองโตที่รักแร้

มะเร็งเต้านมในระยะแรกหลายรายพบจากการคลำเจอก้อนโดยบังเอิญ การตรวจเต้านมด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอ และเข้ารับการตรวจคัดกรองตามช่วงวัย จึงช่วยให้เจอโรคได้เร็วกว่ารอให้เจ็บปวดหรือผิวเปลี่ยนรูปร่างชัด ๆ

รู้จักอาการ ‘มะเร็งเต้านม’ ภัยเงียบอันดับ 1 ของผู้หญิงไทย วิธีตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตัวเอง

ก้อนหรือต่อมน้ำเหลืองโตที่คอ รักแร้ หรือขาหนีบ

  • ก้อนโตขึ้นเรื่อย ๆ แข็ง ไม่เจ็บ
  • อยู่มานานเกิน 3–4 สัปดาห์
  • อาจมีไข้ น้ำหนักลด เหงื่อออกกลางคืน ร่วมด้วย

ต่อมน้ำเหลืองโต อาจเกิดจากการติดเชื้อทั่วไป เช่น ต่อมทอนซิลอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หรือการติดเชื้อไวรัส แต่หากไม่ยุบเองในเวลาไม่นาน หรือโตขึ้นเรื่อย ๆ ควรให้แพทย์ตรวจเพื่อคัดกรองมะเร็งต่อมน้ำเหลืองหรือมะเร็งที่กระจายมาจากอวัยวะอื่น

ก้อนที่ถุงอัณฑะ

  • ก้อนแข็ง ไม่เจ็บ หรือรู้สึกหนักถ่วงที่ถุงอัณฑะ
  • ขนาดก้อนใหญ่ขึ้นในเวลาไม่นาน

แม้มะเร็งอัณฑะจะพบไม่บ่อยเท่ามะเร็งชนิดอื่น แต่พบได้ในผู้ชายวัยหนุ่มมากกว่าวัยชรา การตรวจอัณฑะด้วยตัวเองเดือนละครั้งจึงเป็นนิสัยที่ควรมี โดยเฉพาะในคนที่เคยมีอัณฑะไม่ลงถุงหรือมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งชนิดนี้

เลือดออกผิดปกติ อย่าคิดว่าเดี๋ยวก็หาย

ไอมีเลือดปน หรืออาเจียนเป็นเลือด

  • ไอมีเลือดสด หรือเสมหะปนเลือดซ้ำ ๆ
  • อาเจียนเป็นเลือดสด หรือสีคล้ำคล้ายกากกาแฟ

พบได้ในโรคหลายอย่าง เช่น วัณโรค แผลในกระเพาะอาหาร หลอดอาหารฉีกขาด หรือมะเร็งปอด–มะเร็งทางเดินอาหาร การปล่อยทิ้งไว้ไม่ใช่ทางเลือก ควรไปโรงพยาบาลทันทีเพื่อให้แพทย์ตรวจหาต้นเหต

ถ่ายเป็นเลือด หรืออุจจาระดำคล้ายยางมะตอย

  • อุจจาระมีเลือดสดเคลือบหรือปนอยู่
  • ถ่ายเป็นสีดำ เหนียว มีกลิ่นแรงผิดปกติ
  • ถ่ายบ่อยขึ้น ปวดเบ่งตลอดเวลา รู้สึกถ่ายไม่สุด น้ำหนักลด
  • หลายคนคิดว่าเป็นริดสีดวงทวารอย่างเดียว แต่เลือดออกทางทวารหนักเรื้อรังในคนอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ควรตรวจส่องกล้องลำไส้ใหญ่เพื่อคัดกรองมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

ปัสสาวะเป็นเลือด

  • น้ำปัสสาวะมีสีชมพู แดง หรือสีน้ำล้างเนื้อ
  • ไม่มีประวัติหกล้มกระแทก หรือไม่ได้เพิ่งออกกำลังกายหนักแบบผิดปกติ

อาจเป็นสัญญาณของนิ่วในทางเดินปัสสาวะ การติดเชื้อ หรือมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ไต หรือมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชาย การไปพบแพทย์ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเลือด จะช่วยให้ตรวจหาสาเหตุได้เร็วกว่าแค่ดื่มน้ำเยอะ ๆ แล้วรอดูอาการ

เลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด

  • เลือดออกระหว่างรอบเดือน เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์
  • ประจำเดือนมาปริมาณมากผิดปกติ หรือยืดเยื้อหลายวัน
  • หลังหมดประจำเดือนแล้ว แต่มีเลือดออกมาอีก

เป็นสัญญาณสำคัญของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก มะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งรังไข่บางชนิด หากมีอาการแบบนี้ไม่ควรรอ ควรพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจภายในและตรวจเพิ่มเติมตามความเหมาะสม

ช้ำง่าย เลือดกำเดาไหลหรือเลือดออกตามไรฟันบ่อย

เมื่อมาพร้อมกับอาการซีด เหนื่อยง่าย หรือมีไข้ อาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของเกล็ดเลือด หรือมะเร็งเม็ดเลือดขาว

แพทย์เตือน “ออรัลเซ็กส์” เสี่ยงอันดับ 1 “มะเร็งลำคอ” พบป่วยสูงขึ้นจนน่ากังวล

การขับถ่าย ระบบทางเดินอาหารที่เปลี่ยนไปจากเดิม

นิสัยการถ่ายเปลี่ยนไปชัดเจน

  • ท้องเสีย–ท้องผูกสลับกันหลายสัปดาห์
  • ถ่ายบ่อยขึ้น หรือรู้สึกอยากถ่ายตลอดเวลา แต่ถ่ายออกมาน้อย
  • รูปร่างอุจจาระเปลี่ยนไป เช่น ลำเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด

อาการเหล่านี้อาจเกิดจากลำไส้แปรปรวน (IBS) หรืออาหารไม่ย่อยทั่วไป แต่หากเกิดขึ้นใหม่ในวัยกลางคนขึ้นไป ร่วมกับน้ำหนักลดหรือเลือดออกทางทวารหนัก ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม ไม่ควรวินิจฉัยตัวเองว่าเป็นแค่ลำไส้แปรปรวนอย่างเดียว

ท้องอืด แน่นท้อง อิ่มง่าย

โดยเฉพาะในผู้หญิง หากมีอาการ ท้องอืด แน่นท้องตลอดเวลา ไม่ใช่แค่หลังมื้อหนัก ๆ รู้สึกอิ่มเร็ว กินได้ไม่มากเท่าเดิม ปวดหรือหน่วงท้องน้อย–เชิงกรานเรื้อรัง น้ำหนักลด หรือรู้สึกอ่อนเพลียร่วมด้วย

อาจเกี่ยวข้องกับมะเร็งรังไข่ หรือมะเร็งในช่องท้องอื่น ๆ ที่ทำให้มีน้ำในช่องท้องเพิ่มขึ้น

กลืนลำบาก แสบร้อนกลางอกเรื้อรัง

  • กลืนแล้วรู้สึกติด ค้าง หรือปวดแสบกลางอก
  • กลืนของแข็งลำบากขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องเปลี่ยนมากินของเหลว
  • แสบร้อนกลางอกรุนแรงเป็นประจำ ร่วมกับน้ำหนักลดหรืออาเจียนเป็นเลือด

อาจเป็นทั้งกรดไหลย้อน การอักเสบของหลอดอาหาร หรือมะเร็งหลอดอาหาร–กระเพาะอาหาร การตรวจโดยแพทย์จะช่วยแยกโรคที่รักษาได้ง่ายออกจากโรคที่ต้องรีบจัดการก่อนสายเกินไป

ทางเดินหายใจและเสียงเปลี่ยนไป

ไอเรื้อรังนานเกิน 3 สัปดาห์

  • ไอแห้ง ๆ ติดๆ หรือไอมีเสมหะเรื้อรัง
  • รักษาเหมือนหวัด–หลอดลมอักเสบแล้วไม่ดีขึ้น
  • โดยเฉพาะในคนที่สูบบุหรี่ หรือเคยสูบบุหรี่เป็นเวลานาน

แนวทางในหลายประเทศแนะนำว่า หากไอนานเกิน 3 สัปดาห์ ควรไปพบแพทย์เพื่อประเมินเพิ่ม รวมถึงมะเร็งปอดที่อาจเริ่มจากอาการไอเพียงอย่างเดียวในช่วงแรก ๆ

5.2 หายใจหอบง่าย แน่นหน้าอก

  • เดินขึ้นบันไดไม่กี่ขั้นก็เหนื่อยผิดปกติ
  • แน่นหน้าอกโดยไม่เคยเป็นมาก่อน
  • ร่วมกับไอเรื้อรัง น้ำหนักลด หรือเจ็บหน้าอก

ควรให้แพทย์ตรวจทั้งเรื่องโรคหัวใจ โรคปอด และมะเร็งปอดไปพร้อมกัน ไม่ควรคิดว่าเป็นแค่ “แก่ขึ้นเลยเหนื่อยง่าย”

เสียงแหบ หรือโทนเสียงเปลี่ยนไป

หากเสียงแหบเรื้อรังเกิน 3–4 สัปดาห์ โดยไม่ได้เป็นหวัด หรือใช้เสียงหนัก เช่น ร้องเพลงตะโกนบ่อย ๆ ควรให้หมอตรวจกล่องเสียงและต่อมไทรอยด์ เพื่อคัดกรองก้อนหรือมะเร็งบริเวณคอและกล่องเสียงตั้งแต่เนิ่น ๆ

ผิวหนัง ไฝ แผลไม่ยอมหาย

ไฝหรือปานที่เปลี่ยนรูปร่าง สี หรือขนาด

หลักง่าย ๆ ที่แพทย์ผิวหนังมักใช้คือ ABCDE

  • A – Asymmetry: รูปร่างสองฝั่งไม่เท่ากัน

  • B – Border: ขอบไม่เรียบ เป็นหยัก ฟุ้ง

  • C – Colour: หลายสีในเม็ดเดียว เช่น น้ำตาล ดำ แดงปน

  • D – Diameter: ขนาดใหญ่กว่า 6 มม.

  • E – Evolving: โตเร็ว หรือเปลี่ยนรูปร่าง สี มีเลือดออก หรือคันมาก

ควรให้แพทย์ตรวจ เพื่อคัดกรองมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมาแต่ระยะต้น ซึ่งรักษาได้ผลดีกว่าระยะลุกลามมาก

วิธีสังเกตคัดกรองมะเร็งผิวหนัง

แผลในปาก ลิ้น หรือริมฝีปากที่ไม่หายสักที

  • แผลร้อนในที่อยู่นานเกิน 2–3 สัปดาห์
  • ปื้นขาว/ปื้นแดงที่ลิ้นหรือกระพุ้งแก้ม
  • แผลแตกที่ริมฝีปากเรื้อรัง โดยเฉพาะในคนที่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ

อาจเป็นสัญญาณของมะเร็งช่องปาก แพทย์จะตรวจดูรอยโรคและอาจตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ เพื่อยืนยันว่าเป็นแค่แผลธรรมดา หรือเป็นเซลล์ผิดปกติที่ต้องรีบรักษา

ผิวเหลือง ตาเหลือง

ดีซ่าน (Jaundice) เกิดจากระดับสารสีเหลือง (บิลิรูบิน) ในเลือดสูงขึ้น ผิวและตาขาวจะออกสีเหลือง ปัสสาวะสีเข้มอาจร่วมด้วย เป็นสัญญาณของปัญหาที่ตับ ถุงน้ำดี หรือมะเร็งตับ–ตับอ่อนบางชนิด ไม่ควรซื้อยาล้างพิษหรือดีท็อกซ์มากินเอง แต่ควรให้แพทย์ตรวจเลือดและอัลตราซาวนด์ประเมินสาเหตุอย่างเป็นระบบ

อาการเฉพาะเพศที่ไม่ควรมองข้าม

ผู้หญิง

นอกจากเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด และการเปลี่ยนแปลงของเต้านมแล้ว สัญญาณที่ควรสังเกต เช่น

  • ปวดหน่วงท้องน้อยหรือเชิงกรานเรื้อรัง
  • ท้องอืด แน่นท้อง อิ่มง่าย ร่วมกับน้ำหนักลด
  • ปัสสาวะถี่หรือกลั้นไม่อยู่มากขึ้นอย่างชัดเจน

อาการเหล่านี้อาจเกี่ยวกับมดลูก รังไข่ หรืออุ้งเชิงกราน ควรตรวจภายในตามช่วงวัย และพบสูตินรีแพทย์เมื่อมีความผิดปกติ ไม่ควรพึ่งแค่ยาสตรีหรือสมุนไพรโดยไม่เคยตรวจ

7.2 ผู้ชาย

  • ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะตอนกลางคืน
  • ปัสสาวะสะดุด หรือปัสสาวะไหลไม่สุด
  • ปัสสาวะเป็นเลือด
  • ก้อนหรือการเปลี่ยนรูปร่างของอัณฑะ

อาจเกี่ยวข้องกับต่อมลูกหมากโตตามวัย การติดเชื้อ หรือมะเร็งต่อมลูกหมาก–กระเพาะปัสสาวะ แพทย์จะช่วยแยกโรคที่พบได้บ่อยออกจากโรครุนแรง โดยอาจตรวจเลือดและอัลตราซาวนด์ร่วมกัน

ระบบประสาทและสมอง

ปวดหัวแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

  • ปวดหัวรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นแทบทุกวัน
  • ปวดมากจนตื่นกลางดึก หรือปวดตอนเช้าหลังตื่นนอน
  • ร่วมกับอาเจียน ตาพร่า มองเห็นภาพซ้อน หรือเดินเซ

อาการทางระบบประสาทอื่น ๆ

  • แขนหรือขาอ่อนแรง ชา เพลียข้างใดข้างหนึ่ง
  • ชักเกร็ง โดยไม่เคยมีประวัติชักมาก่อน
  • ซึมลง บุคลิกเปลี่ยนไป ความจำแย่ลงเร็วผิดปกติ

อาการเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นมะเร็งสมองเสมอไป แต่อาจเป็นสัญญาณว่ามีสิ่งผิดปกติในกะโหลกศีรษะ เช่น เลือดคั่ง ก้อนเนื้อ หรือการติดเชื้อ ซึ่งทั้งหมดเป็นภาวะที่ควรไปโรงพยาบาลโดยเร็ว

เมื่อไหร่ควรรีบนัดหมอ เมื่อไหร่ควรไปโรงพยาบาลด่วน

ควรนัดพบแพทย์ภายใน 1–2 สัปดาห์ ถ้า

  • มีอาการผิดปกติใหม่ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และอยู่นานเกิน 2–3 สัปดาห์
  • น้ำหนักลดมากกว่า 3–5 กิโลกรัม ภายในไม่กี่เดือนโดยไม่ได้ตั้งใจ
  • เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียเรื้อรัง ทั้งที่พักผ่อนเพียงพอ
  • ไอเรื้อรังเกิน 3 สัปดาห์ หรือเสียงแหบต่อเนื่อง
  • มีการเปลี่ยนแปลงของการขับถ่าย (อุจจาระ/ปัสสาวะ) ที่ผิดจากเดิมชัดเจน
  • คลำได้ก้อนใหม่ที่โตเร็ว หรือมีการเปลี่ยนแปลงของเต้านม/อัณฑะ

ควรไปโรงพยาบาลทันที ถ้า

  • ไอหรืออาเจียนเป็นเลือด
  • ถ่ายเป็นเลือดสดจำนวนมาก หรืออุจจาระดำคล้ายยางมะตอยร่วมกับเวียนศีรษะ หน้ามืด
  • ปัสสาวะเป็นเลือดเข้มชัดเจน
  • หายใจหอบ แน่นหน้าอกเฉียบพลัน
  • แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก ชัก หรือพูดไม่ชัด/มองเห็นภาพซ้อนเฉียบพลัน
  • ปวดหัวรุนแรงมากแบบไม่เคยเป็นมาก่อน

แนวคิดเรื่องอาการสัญญาณอันตรายแบบนี้ ถูกใช้ในคลินิกและโรงพยาบาลหลายประเทศ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยที่อาจมีมะเร็งหรือโรครุนแรงอื่น ๆ ได้รับการตรวจเร็ว ไม่ปล่อยให้รอจนโรคลุกลาม

สุดท้าย เป้าหมายไม่ใช่ “เดาว่าตัวเองเป็นมะเร็งไหม” แต่คือรู้จักร่างกายตัวเองให้มากพอที่จะไปหาหมอให้ทันเวลา

สิ่งสำคัญไม่ใช่การให้คุณนั่งเช็กทุกข้อแล้วตัดสินตัวเองจากหน้าเว็บ แต่คือการ สังเกตความเปลี่ยนแปลงของร่างกายตัวเองให้มากขึ้น ไม่ชินชา เมื่ออาการผิดปกติอยู่นาน หรือแย่ลงเรื่อย ๆ กล้าไปพบแพทย์เพื่อตรวจให้ชัด ว่าเป็นอะไรแน่ ส่วนใหญ่ผลออกมาจะไม่ใช่มะเร็ง แต่ในคนที่เป็นจริง ๆ การไปหาหมอเร็วคือโอกาสในการรักษาที่ดีที่สุด

สถาบันมะเร็งแห่งชาติของไทยย้ำเสมอว่า การป้องกันและการตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น คือหัวใจของการต่อสู้กับมะเร็ง ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม

บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ความรู้เบื้องต้น ไม่สามารถใช้แทนการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และการวินิจฉัยโดยบุคลากรทางการแพทย์ หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการผิดปกติที่น่ากังวล ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง

10 อันดับ โรงพยาบาลที่ดีที่สุดในไทย 2024 ต่างชาติยกย่อง

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

Aindravudh

นักเขียนประจำ Thaiger มีประสบการณ์เขียนข่าวมากกว่า 5 ปี จบการศึกษาด้านภาษาและประวัติศาสตร์ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความสนใจ ประเด็นความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง เจาะประเด็นข่าวทางสังคม ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องแบบย่อยง่าย อย่างงานเขียนสร้างสรรค์ สั้น กระชับ จับทุกประเด็น หัวข้อที่เชียวชาญคือเรื่องไลฟ์สไตล์ เลขเด็ด หวยรัฐบาลไทย หวยลาว ช่องทางติดต่อ vajara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button