
เปิดหน้าฟีดโซเชียลมีเดียวันนี้ คุณเจอคำว่า “AI” ไปแล้วกี่ครั้ง? ดูข่าวเศรษฐกิจ หุ้นกลุ่มชิป NVIDIA พุ่งทะยาน, บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ Microsoft ประกาศทุ่มงบหลายพันล้านดอลลาร์เข้าสู่การวิจัย AI, Apple จ้าง Gemini มาช่วยพัฒนาระบบ AI ให้ สิริ อินฟลูเอนเซอร์สายการเงินบอกว่า “ใครไม่มี AI ในพอร์ต ถือว่าตกรถไฟขบวนใหญ่ที่สุดในทศวรรษ”
ความรู้สึกกลัวตกรถ หรือ FOMO (Fear Of Missing Out) กำลังทำงานกับเราอย่างหนัก มันกระซิบข้างหูเราทุกวันว่า “ต้องมีแล้ว” “คนอื่นเขารวยกันหมดแล้ว”
คำถามคือ “เราจำเป็นต้องมีหุ้น AI ในพอร์ตจริงๆ หรือเปล่า?”

AI ไม่ใช่แค่กระแสชั่ววูบ แต่มันเปลี่ยนโครงสร้างโลก
ผลงานพิสูจน์แล้วว่า AI (Artificial Intelligence) คือ “เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐาน” เปรียบเทียบง่ายๆ AI ในยุค 2025 ก็เปรียบเหมือน ไฟฟ้าในยุค 100 ปีก่อน หรือ อินเทอร์เน็ตในยุค 20 ปีก่อน
มันไม่ใช่แค่สินค้าตัวใหม่ แต่เป็นพลังงานรูปแบบใหม่ที่ทุกอุตสาหกรรมจำเป็นต้องนำไปใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน หรือสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งหมด
ในเมื่อมันเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ มันจึงสร้าง “ห่วงโซ่รายได้” ขนาดมหาศาลขึ้นมา ลองมาดูกันว่าใครได้ประโยชน์บ้าง โดยไล่จากต้นน้ำไปปลายน้ำ
ชั้นที่ 1 ผู้สร้าง “สมอง” ฮาร์ดแวร์กับชิป
เปรียบเหมือนคนขายพลั่วกับจอบในยุคตื่นทอง ได้แก่ บริษัทออกแบบและผลิตชิปประมวลผล (GPU), ผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์, ผู้สร้างอุปกรณ์เครือข่ายความเร็วสูง ที่มันสำคัญเพราะการฝึก AI ต้องใช้พลังประมวลผลมหาศาล บริษัทเหล่านี้จึงขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
ชั้นที่ 2 ผู้สร้างเมือง ฐานข้อมูล ดาต้าเซ็นเตอร์
เมื่อมีสมอง ก็ต้องมีที่อยู่ ได้แก่ บริษัทให้บริการคลาวด์รายใหญ่ (เช่น Amazon AWS, Microsoft Azure, Google Cloud) ที่สร้าง Data Center ขนาดมหึมาให้บริษัทอื่นมาเช่าใช้พลัง AI
ชั้นที่ 3 ผู้สร้างโมเดล AI
นี่คือบริษัทที่พัฒนาโมเดล AI หรือแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ตรงกลาง ให้ธุรกิจอื่นมาเชื่อมต่อ ได้แก่ บริษัทอย่าง OpenAI (ChatGPT), Alphabet โมเดล Gemini, Meta โมเดล Llama 3 หรือ Anthropic โมเดล Claude เป็นต้น
ชั้นที่ 4 ผู้ใช้งาน
นี่คือกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด และจะเติบโตต่อไปอีกนาน ได้แก่ ทุกธุรกิจที่นำ AI ไปใช้จริง เช่น ธนาคาร ใช้ AI วิเคราะห์สินเชื่อ, ตรวจจับทุจริต โรงพยาบาลใช้ AI ช่วยวินิจฉัยโรคจากฟิล์ม X-ray อีคอมเมิร์ซ ใช้ AI แนะนำสินค้าที่ตรงใจคุณ บริษัทซอฟต์แวร์ เช่น Adobe ที่ฝัง AI ใน Photoshop
ดังนั้น การลงทุนใน AI ไม่ได้แปลว่าต้องซื้อหุ้นผู้ผลิตชิป (ชั้นที่ 1) เสมอไป คุณอาจจะลงทุนในธนาคาร (ชั้นที่ 4) ที่ใช้ AI เก่งที่สุดก็ได้

ผลกระทบในโลกการลงทุนจึงชัดเจนมาก หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและ AI มีน้ำหนักในดัชนีตลาดหุ้นใหญ่ๆ (เช่น S&P 500) สูงขึ้นมหาศาล กองทุนรวมและ ETF ใหม่ๆ ที่แปะป้ายว่า “AI”, “Robotics”, “Future Technology” ผุดขึ้นมารายวัน
การที่คุณไม่สนใจ AI เลย จึงแทบจะหมายความว่าคุณกำลังสวนทางกับทิศทางของเศรษฐกิจโลก แต่การ “สนใจแบบหลับหูหลับตา” ก็อันตรายไม่แพ้กัน
หุ้น AI ไม่ได้มีแค่ตัวดังๆ แยกประเภทให้ชัดก่อนเจ็บ
ปัญหาของนักลงทุนมือใหม่คือ พอได้ยินคำว่า AI เรามักจะนึกถึงหุ้นดังๆ แค่ 1-2 ตัวที่ข่าวออกบ่อยที่สุด แต่ในความเป็นจริง หุ้น AI เป็นคำที่กว้างมาก เราต้องหัดแยกแยะมันออกจากกัน
1. หุ้นแกนกลางโครงสร้าง AI
บริษัทที่รายได้ส่วนใหญ่ หรือทั้งหมด มาจากการเติบโตของ AI โดยตรงส่วนใหญ่คือชั้นที่ 1ในห่วงโซ่รายได้) เช่น ผู้ผลิต GPU, บริษัทออกแบบชิป AI, บริษัทฮาร์ดแวร์เซิร์ฟเวอร์ จุดเด่น เติบโตไปพร้อมกับอุตสาหกรรมโดยตรง ไม่ว่าใครจะชนะในเกมแอปพลิเคชัน จุดเสี่ยง ราคามักจะแพงมาก เพราะตลาดคาดหวังการเติบโตไปไกลแล้ว และมีความเสี่ยงด้านการแข่งขันที่ดุเดือด
2. หุ้นแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่
บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ที่เป็นเจ้าของระบบนิเวศคลาวด์และโมเดล AI ตัวอย่าง Microsoft, Google, Amazon, Meta
จุดเด่น มีธุรกิจหลักที่แข็งแกร่ง (เช่น Cloud, Search, Social Media) และใช้ AI เป็นเครื่องยนต์ใหม่ในการเติบโต มีเงินทุนมหาศาลในการวิจัย จุดเสี่ยง เป็นหุ้นขนาดใหญ่มาก การเติบโตอาจไม่หวือหวาเท่าหุ้นเล็ก และต้องเจอกฎระเบียบ (Regulation) จากภาครัฐเสมอ
3. หุ้นผู้ใช้ AI
บริษัทในอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่นำ AI ไปใช้ เช่น ธนาคารที่ใช้ AI ลดต้นทุน, บริษัทสุขภาพที่ใช้ AI พัฒนายา, บริษัทซอฟต์แวร์ (เช่น Adobe, Salesforce) ที่อัปเกรดผลิตภัณฑ์ด้วย AI
จุดเด่น เราอาจหาผู้ชนะในกลุ่มนี้ได้ โดยที่ราคายังไม่แพงเท่ากลุ่มแรก เพราะตลาดยังมองว่าเป็นหุ้นกลุ่มเดิม (เช่น หุ้นธนาคาร) แต่ต้องวิเคราะห์ให้ขาดว่าเขาใช้ AI เก่งจริง หรือแค่พูดไปตามกระแส
4. หุ้นตามกระแส Hype
บริษัท (มักจะเป็นหุ้นขนาดเล็ก) ที่ธุรกิจเดิมอาจจะไม่ดีนัก แต่จู่ๆ ก็ประกาศข่าวว่าเราจะทำ AI หรือบางทีก็แค่ เปลี่ยนชื่อบริษัท” ให้มีคำว่า AI ราคาหุ้นอาจวิ่งขึ้นรุนแรง 100-200% ในเวลาสั้นๆ เพราะการเก็งกำไร
จุดอันตรายอยู่ที่ ราคาที่วิ่งขึ้นไม่มีพื้นฐานทางธุรกิจรองรับ (เช่น บริษัทยังขาดทุนหนัก, รายได้จาก AI ยังเป็นแค่ “แผนในกระดาษ”) เมื่อกระแสหมด, ข่าวเงียบ, หรือบริษัททำไม่ได้จริงตามที่พูด ราคาก็มักจะกลับไปที่เดิมหรือต่ำกว่า ทำให้นักลงทุนที่เข้าไปไล่ราคาเป็นคนสุดท้ายหรือ “ติดดอย” นั่นเอง
ดังนั้นก่อนที่คุณจะกดซื้อหุ้น AI สักตัว ให้ถามตัวเองคำถามง่ายๆ ก่อนว่า “รายได้ของบริษัทนี้ เกี่ยวข้องกับ AI แค่ไหน? ทำเงินให้ได้จริง หรือเป็นแค่ตัวประกอบที่มาเข้าฉากเพื่อเรียกกระแส?”
เกาะกระแสหุ้น AI แบบมีแผน
วิธีที่ปลอดภัยสำหรับคนทั่วไป คือการสร้างโครงสร้างให้พอร์ตก่อน แล้วค่อยใช้ความคิดสร้างสรรค์ทีหลัง
ระดับที่ 1 ‘สายชิล’ ไม่อยากปวดหัว – ใช้กองทุน/ETF เป็นแกนกลาง
สำหรับคนทำงานประจำที่ไม่มีเวลา ไม่เชี่ยวชาญพอที่จะวิเคราะห์หุ้นรายตัว วิธีที่ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด สมเหตุสมผลที่สุด คือ แบ่งเงินลงทุนส่วนหนึ่งไปซื้อกองทุนรวม หรือ ETF (กองทุนที่ซื้อขายในตลาดหุ้น) ที่มีนโยบายลงทุนในธีมเทคโนโลยี, AI, หรือนวัตกรรม
ตัวอย่างเช่น กองทุนดัชนี Nasdaq 100 (ได้หุ้นเทคยักษ์ใหญ่), กองทุนธีม AI & Robotics, กองทุนธีม Semiconductor (ชิป), หรือกองทุน Global Technology
ข้อดี
-
- กระจายความเสี่ยงทันที คุณซื้อ 1 กองทุน แต่ได้เป็นเจ้าของหุ้น AI 30-50-100 ตัว (เช่น ได้ทั้งผู้ผลิตชิป, ผู้ให้บริการคลาวด์, ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์) ต่อให้มี 1 บริษัทเจ๊ง พอร์ตคุณก็ไม่พัง
- มีมืออาชีพคัดให้ ผู้จัดการกองทุน (กรณี กองทุน Active) หรือ ระบบ (กรณี ETF) จะคอยคัดเลือกและปรับสัดส่วนหุ้นที่เกี่ยวข้องกับธีมให้
- ตัดอารมณ์ FOMO คุณไม่ต้องไปไล่ซื้อหุ้นรายตัวที่กำลังวิ่ง คุณแค่ “ซื้อตะกร้า” ที่รวมผู้ชนะไว้แล้ว
ข้อควรระวัง
-
- อย่าทุ่มพอร์ตทั้งหมดในธีมเดียว แม้จะเป็นกองทุน ธีม AI ก็ยังผันผวนสูง มันควรเป็นส่วนหนึ่ง ของพอร์ต ไม่ใช่ทั้งหมด
- เช็กไส้ในดูก่อนว่ากองทุนที่คุณซื้อ เน้นลงทุนในอะไร หุ้น 10 ตัวแรกคืออะไร ตรงกับสิ่งที่คุณเชื่อหรือไม่
ระดับที่ 2 ‘สายลุย’ เริ่มเลือกหุ้น AI รายตัว
สำหรับคนที่มีเวลาศึกษา, เข้าใจธุรกิจ,คันมืออยากเลือกเอง คุณสามารถแบ่งเงินส่วนน้อยของพอร์ต มาสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มได้ เลือกหุ้น AI ที่คุณเข้าใจธุรกิจมันจริงๆ
- กฎเหล็ก 3 ข้อ
- เน้นคุณภาพ เลือกบริษัทที่เป็นผู้นำ (เช่น ในชั้นที่ 1, 2, 3 ที่เราคุยกัน) มีพื้นฐานการเงินแข็งแกร่ง กำไรจริง, หนี้ไม่บาน และมีความสามารถในการแข่งขัน
- อย่าซื้อหุ้นที่เพิ่งวิ่งขึ้นมา 20% ในวันเดียวโดยไม่มีเหตุผลพื้นฐานรองรับ รอจังหวะที่ตลาดย่อตัว หรือค่อยๆ ทยอยซื้อ
- จำกัดความเสี่ยง หุ้นรายตัว 1 ตัว ไม่ควรมีน้ำหนักเกิน 5-10% ของพอร์ตทั้งหมดของคุณ
กำหนดสัดส่วน “ธีม AI” ในพอร์ตของคุณ
นี่คือส่วนที่คนเจ็บตัวกันเยอะที่สุด คือการทุ่มมากเกินไป คุณต้องกำหนดเพดาน ความเสี่ยงของธีมนี้ในพอร์ตทั้งหมดของคุณ

ตัวอย่างโครงพอร์ต ย้ำว่าแค่ตัวอย่าง
นักลงทุนมือใหม่ รับความเสี่ยงได้น้อย
- 70% สินทรัพย์หลัก (กองทุนดัชนีตลาดกว้าง + ตราสารหนี้)
- 20% ธีม AI (ผ่านกองทุน/ETF)
- 10% สินทรัพย์อื่นๆ
นักลงทุนสายเติบโต รับความเสี่ยงได้ปานกลาง
- 50% สินทรัพย์หลัก
- 30% ธีม AI (แบ่งเป็น กองทุน 20% + หุ้นรายตัว 10%)
- 20% สินทรัพย์อื่นๆ
สายเชื่อมั่น AI จัดหนัก รับความเสี่ยงได้สูง
- 30% สินทรัพย์หลัก
- 40-50% ธีม AI (แบ่งสัดส่วนกองทุน/หุ้นรายตัว ตามความถนัด)
- 10-20% สินทรัพย์อื่นๆ
ประเด็นคือ คุณต้องมีโครงหลักที่มั่นคงก่อน แล้วค่อยเติม AI เข้าไปเป็นส่วนเสริมที่ช่วยเร่งการเติบโต
สร้างวินัยการลงทุนในธีมที่ผันผวน
- ใช้ DCA ทยอยลงทุนเป็นประจำทุกเดือน (เช่น หักจากเงินเดือน) แทนการซื้อตู้มเดียว วิธีนี้จะช่วยเฉลี่ยต้นทุนให้คุณในตลาดที่เหวี่ยงแรง
- ทบทวนพอร์ต ทุก 6 เดือน หรือ 1 ปี ลองกลับมาดูพอร์ต ถ้าธีม AI มันโตเร็วมากจนสัดส่วนเกินที่คุณกำหนดไว้ (เช่น กำหนดไว้ 30% แต่มันโตจนกลายเป็น 50%) คุณอาจจะต้อง “ขายทำกำไร” ส่วนที่เกินออกมาบ้าง เพื่อคุมความเสี่ยงกลับเข้าแผน
- ตั้งจุดตัดขาดทุน (Cut Loss): โดยเฉพาะหุ้นรายตัว ถ้าคุณพบว่า เราคิดผิด บริษัทนี้ไม่ดีจริง หรือเราซื้อเพราะ Hype… ต้องกล้าที่จะยอมรับและ “ขาย” เพื่อหยุดความเสียหาย อย่าปล่อยให้มันกลายเป็นซากในพอร์ต
วิธีเช็กว่าเรากำลังลงทุน AI อย่างฉลาด หรือแค่ไล่ตามกระแส ก่อนซื้อ ถามตัวเอง 5 ข้อนี้
1. บริษัท/กองทุนนี้ หาเงินจาก AI ยังไง?
ถ้าตอบไม่ได้ชัดๆ (เช่น ตอบได้แค่ว่า “เขาก็ดังเรื่อง AI อ่ะ”) แปลว่าคุณยังไม่เข้าใจมันจริง คำตอบที่ดี “เขาขายชิป GPU ที่เป็นหัวใจหลักในการเทรน AI” หรือ “เขาให้บริการคลาวด์ที่บริษัทต่างๆ มาเช่าใช้พลัง AI”
2. รายได้จากส่วนที่เกี่ยวกับ AI คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด?
ถ้าบริษัทใหญ่โตมาก แต่รายได้จาก AI เพิ่งคิดเป็น 1% แปลว่ามันยังเป็นแค่โปรเจกต์ ไม่ใช่ธุรกิจหลัก ราคาที่วิ่งขึ้นไปอาจจะมากเกินจริง
3. ถ้าพรุ่งนี้คำว่า ‘AI’ หายไปจากหน้าข่าว บริษัทนี้ยังมีธุรกิจที่แข็งแรงอยู่ไหม?
คำถามนี้ช่วยวัดพื้นฐานที่แท้จริง ถ้าคำตอบคือ เจ๊งเลย แปลว่าคุณกำลังเดิมพันกับอนาคตล้วนๆ ถ้าคำตอบคือ “ก็ยังขายของเดิมได้ดี” (เช่น หุ้นกลุ่ม Platform หรือ Users) แปลว่าคุณมีเกราะป้องกันที่ดีกว่า
4. เราเข้าใจกลไกการทำรายได้ของมันจริงไหม หรือแค่เชื่อคำโปรโมต/อินฟลูฯ?
คุณอธิบายให้เพื่อนที่ไม่รู้เรื่องการเงินฟังได้ไหมว่า หุ้นตัวนี้ทำธุรกิจอะไร? ถ้าอธิบายไม่ได้ แปลว่าคุณกำลัง “ลงทุนในสิ่งที่คุณไม่เข้าใจ” ซึ่งเป็นกฎข้อแรกที่ Warren Buffett ห้ามไว้
5. ถ้าราคาหุ้น/กองทุนนี้ ลง 30% ภายใน 3 เดือน เรายังถือไหวไหม?
ถ้าแค่คิดก็เครียดแล้ว หรือรู้สึกว่าคงต้องรีบขายก่อน แปลว่า คุณลงเงินหนักเกินไป คุณไม่ได้เชื่อมั่นในพื้นฐาน ของมันจริงๆ คุณควรจะลดขนาดการลงทุนในธีมนี้ลง หรือกลับไปเลือก “กองทุน/ETF” ที่มันเหวี่ยงน้อยกว่าการถือหุ้นตัวเดียว
มี AI ในพอร์ตแบบไม่เสียสติ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า AI คือ กระแสการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ของจริง มันไม่ใช่แค่แฟชั่นเหมือนคริปโตในอดีต แต่มันคือคลื่นปฏิวัติอุตสาหกรรมลูกใหม่ที่จะอยู่กับเราไปอีกหลายสิบปี การไม่มี AI อยู่ในพอร์ตเลย อาจทำให้คุณพลาดโอกาสการเติบโตครั้งสำคัญ
แต่สิ่งที่ทำให้คนส่วนใหญ่บาดเจ็บล้มตายในทุก Megatrend ที่ผ่านมา ไม่ใช่เพราะตัวเทคโนโลยีมันไม่ดี แต่เป็นเพราะซื้อโดยไม่เข้าใจ ทุ่มมากเกินไป
ดังนั้น ในการเกาะกระแส AI ครั้งนี้ เราไม่จำเป็นต้องเป็นอัจฉริยะด้านเทคโนโลยีที่เข้าใจทุกสมการ ไม่จำเป็นต้องลาออกจากงานมานั่งเฝ้าจอเพื่อเทรดหุ้นชิป เราแค่ต้องเป็น “นักลงทุนที่มีสติ” มีแผนชัดเจน (จะใช้กองทุน หรือ หุ้นรายตัว) มีวินัยในการคุมสัดส่วน (จะไม่ทุ่มเกิน 20-30% ของพอร์ต)
แค่ต้องไม่ยกชีวิตการเงินทั้งหมดของเราให้ “กระแส FOMO” เป็นคนตัดสินใจแทนครับ
ติดตาม The Thaiger บน Google News:





