สรุป “สงครามซูดาน” นรกบนดิน ข่มขืนทารก ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ 12 ล้านคนไร้บ้าน โลกเงียบกริบ

สรุปดราม่า สงครามซูดาน ที่โลกลืม ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ตายแล้วนับแสน วิกฤตการพลัดถิ่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก ภาวะอดอยากจากน้ำมือมนุษย์ ระบบสาธารณสุขล่มสลาย แต่โลกเงียบกริบ ไม่มีการเรียกร้องช่วยเหลือ
ซูดานกำลังจมดิ่งสู่หนึ่งในวิกฤตด้านมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนที่เลวร้ายที่สุดในโลก แต่กลับถูกประชาคมระหว่างประเทศละเลย นี่ไม่ใช่แค่การต่อสู้แย่งชิงอำนาจ แต่ได้กลายพันธุ์เป็นสงครามต่อพลเรือนอย่างเต็มรูปแบบ
ซูดานตกอยู่ในภาวะสงครามกลางเมือง เริ่มเดือนเมษายน 2023 แย่งชิงอำนาจอย่างดุเดือดระหว่างกองทัพซูดาน (SAF) นำโดยนายพลอับเดล ฟัตตะฮ์ อัล-บูร์ฮาน มองว่าตนเองเป็นรัฐบาลที่ชอบธรรม แม้จะขึ้นสู่อำนาจจากการรัฐประหารรัฐบาลพลเรือนในปี 2021 กับ กองกำลังสนับสนุนเคลื่อนที่เร็ว (RSF) กลุ่มกึ่งทหารที่ทรงอิทธิพลมหาศาล นำโดยนายพลโมฮาเหม็ด ฮัมดาน “เฮเมดตี” ดากาโล RSF มีรากเหง้ามาจากกองกำลังติดอาวุธจันจาวีด (Janjaweed) ซึ่งฉาวโฉ่จากประวัติความโหดร้ายอย่างสุดขั้วต่อพลเรือนในดาร์ฟูร์ช่วงต้นทศวรรษ 2000
สงครามครั้งล่าสุดนำไปสู่ภาวะทุพภิกขภัย ประชาชนอดอยากรุนแรง เกิดข้อกล่าวหาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในภูมิภาคดาร์ฟูร์ทางตะวันตก ตอนนี้ลามไปถึงชะตากรรมของชาวเมืองเอล-ฟาเชอร์ (el-Fasher) หลังจากเมืองนี้ถูก RSF ยึดครอง
มีผู้เสียชีวิตจากความขัดแย้งทั่วประเทศแล้วกว่า 150,000 คน ประชาชนประมาณ 12 ล้านคนต้องไร้ที่อยู่อาศัย สหประชาชาติเรียกวิกฤตนี้ว่า “วิกฤตมนุษยธรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก”
Arab Sudanese Islamists terrorize a Christian mother and her three children.
The mother and her children were murdered after this video was taken.
First they terrorized her while they filmed it. Then they slaughtered her in cold blood.
— The Persian Jewess (@persianjewess) October 30, 2025
ชนวนเหตุแห่งการล่มสลาย รัฐกัดกินตัวเอง จนเกิดสงครามกลางเมือง
ซูดานเผชิญความไม่มั่นคงและสงครามกลางเมืองซ้ำซากนับตั้งแต่ได้รับเอกราชในปี 1955 เกิดความขัดแย้งต่อสู้เรื่อยมา ในปี 2019 มีการประท้วงใหญ่บนท้องถนนเรียกร้องให้ยุติการปกครองของ ประธานาธิบดี โอมาร์ อัล-บาชีร์ ผู้ครองอำนาจยาวนาน กว่า 3 ทศวรรษ ขึ้นสู่อำนาจด้วยรัฐประหารในปี 1989 กองทัพจึงก่อรัฐประหารเพื่อโค่นล้มอัล-บาชีร์ แต่ประชาชนยังคงเดินหน้าเรียกร้องประชาธิปไตยต่อ

ต่อมามีการจัดตั้งรัฐบาลผสมทหาร-พลเรือน แต่รัฐบาลนี้ก็ถูกโค่นล้มด้วยรัฐประหารอีกครั้งในเดือนตุลาคม 2021
รัฐประหารครั้งนั้นนำโดยชาย 2 คนที่เป็นต้นเหตุความขัดแย้งอยู่ในปัจจุบัน
1. นายพลอับเดล ฟัตตะฮ์ อัล-บูร์ฮาน ผู้บัญชาการกองทัพ (ประธานาธิบดีโดยพฤตินัย)
2. นายพลโมฮาเหม็ด ฮัมดาน ดากาโล หรือ “เฮเมดตี” ผู้นำ RSF ซึ่งขณะนั้นเป็นรองผู้นำประเทศ

แต่ต่อมา นายพลบูร์ฮานกับนายพลดากาโลกลับขัดแย้งกันเรื่องทิศทางของประเทศ ข้อติดขัดหลักคือแผนการรวมกองกำลัง RSF ที่มีกำลังพล 100,000 นาย เข้าเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ
ข้อพิพาทยังรวมถึงคำถามว่าใครจะเป็นผู้นำกองทัพใหม่ มีข้อสงสัยว่านายพลทั้งสองต่างต้องการรักษาอำนาจ ทรัพย์สิน และอิทธิพลของตนไว้
การยิงปะทะระหว่างสองฝ่ายเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2023 หลังตึงเครียดมาหลายวัน กองกำลัง RSF ถูกส่งไปประจำการทั่วประเทศ กองทัพมองว่าการเคลื่อนไหวนี้เป็นภัยคุกคาม
แม้ยังไม่แน่ชัดว่าใครเป็นฝ่ายยิงก่อน แต่การต่อสู้บานปลายอย่างรวดเร็ว RSF ยึดพื้นที่ส่วนใหญ่ของกรุงคาร์ทูมได้ จนกระทั่งกองทัพสามารถยึดเมืองหลวงกลับคืนได้เกือบสองปีต่อมาในเดือนมีนาคม 2025
ใครอยู่เบื้องหลังกองกำลัง RSF
RSF ก่อตั้งในปี 2013 นายพลดากาโลได้สร้างกองกำลังที่ทรงอิทธิพล แทรกแซงความขัดแย้งในเยเมนและลิเบีย เควบคุมเหมืองทองคำบางแห่งในซูดาน และลักลอบขนทองคำไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE)
กองทัพซูดานกล่าวหาว่า UAE สนับสนุน RSF รวมถึงปฏิบัติการโจมตีด้วยโดรนในซูดาน แต่ UAE ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้
กองทัพยังซูดานกล่าวหา นายพลคาลิฟา ฮัฟตาร์ ขุนศึกทางตะวันออกของลิเบีย ว่าสนับสนุน RSF ด้วยการช่วยลักลอบขนอาวุธและส่งนักรบมาเสริมกำลัง
เมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2025 RSF ได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ ข้าควบคุมดินแดนตามแนวชายแดนซูดานที่ติดกับลิเบียและอียิปตตามมาด้วยการยึดเมืองเอล-ฟาเชอร์ ในปลายเดือนตุลาคม ทำให้ RSF ควบคุมพื้นที่เกือบทั้งหมดของดาร์ฟูร์ และพื้นที่ส่วนใหญ่ของรัฐคอร์โดฟานที่อยู่ใกล้เคียง
ล่าสุด RSF ได้จัดตั้งรัฐบาลคู่ขนานขึ้นมา ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ซูดานจะแตกออกเป็นสองส่วนอีกครั้ง (ซูดานใต้แยกตัวออกไปในปี 2011 โดยเอาแหล่งน้ำมันส่วนใหญ่ของประเทศไปด้วย)

แล้วกองทัพควบคุมอะไรบ้าง?
กองทัพควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนเหนือและตะวันออก ผู้สนับสนุนหลักของกองทัพคืออียิปต์ ซึ่งมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับซูดาน เพราะมีพรมแดนติดกันและใช้น้ำจากแม่น้ำไนล์ร่วมกัน นายพลบูร์ฮานได้เปลี่ยน “พอร์ตซูดาน” (Port Sudan) ริมทะเลแดง ให้เป็นกองบัญชาการหลัก และเป็นที่ตั้งของรัฐบาลที่สหประชาชาติรับรอง แต่เมืองนี้ก็ไม่ปลอดภัย RSF ได้เปิดฉากโจมตีด้วยโดรนอย่างรุนแรงที่นั่นในเดือนมีนาคม
การโจมตีนี้เป็นการตอบโต้ หลังจาก RSF พ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง โดยสูญเสียการควบคุมกรุงคาร์ทูม รวมถึงทำเนียบประธานาธิบดี ให้กับกองทัพในเดือนมีนาคม

ตอนที่ RSF ถอนกำลังออกไป เมืองหลวงก็เหลือเพียงซากปรักหักพัง กระทรวงต่างๆ ธนาคาร และตึกสำนักงานสูงตระหง่านถูกเผาจนดำเป็นตอขั้ว โรงพยาบาลถูกทำลายจากการโจมตีทางอากาศและปืนใหญ่ บางครั้งยังมีผู้ป่วยอยู่ข้างใน สนามบินนานาชาติ กลับมาเปิดให้บริการเที่ยวบินในประเทศอีกครั้งกลางเดือนตุลาคม แม้ว่าการเปิดอย่างเป็นทางการจะล่าช้าไปหนึ่งวัน เพราะโดรนของ RSF โจมตีพื้นที่ใกล้เคียง
กองทัพยังสามารถยึดคืนการควบคุมรัฐเกซีรา จุดยุทธศาสตร์สำคัญกลับคืนมาได้เกือบทั้งหมด การสูญเสียรัฐนี้ให้ RSF ในปลายปี 2023 ถือเป็นความเสียหายครั้งใหญ่ ทำให้พลเรือนหลายแสนคนต้องหนีออกจากเมืองวาด มาดานีซึ่งเคยเป็นที่หลบภัย
แต่เมืองเอล-ฟาเชอร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางเมืองใหญ่แห่งสุดท้ายในดาร์ฟูร์ที่กองทัพและพันธมิตรยึดครองอยู่ ก็ตกเป็นของ RSF ในสิ้นเดือนตุลาคม

ตลอด 18 เดือน RSF ได้ปิดล้อมเมืองนี้ ทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายหลายร้อยคน โรงพยาบาลรับไม่ไหว อาหารถูกปิดกั้น ล่าสุด RSF ยังสร้างกำแพงดินล้อมรอบเมืองเพื่อดักจับชาวเมืองและขัดขวางอาหาร RSF ยังทำลายค่ายผู้พลัดถิ่นซัมซัมที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ประสบภาวะทุพภิกขภัยอยู่แล้ว
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ชาวดาร์ฟูร์จำนวนมากเชื่อว่า RSF และกลุ่มติดอาวุธพันธมิตร กำลังทำสงครามเพื่อเปลี่ยนแปลงภูมิภาคที่มีชาติพันธุ์ผสม ให้กลายเป็นดินแดนที่ปกครองโดยมุสลิมชาวอาหรับ
ในเดือนมีนาคม 2024 ยูนิเซฟ (Unicef) ได้รายงานเรื่องราวอันน่าสยดสยองว่า ชายติดอาวุธข่มขืนและล่วงละเมิดทางเพศเด็กอายุเพียง 1 ขวบ เด็กบางคนพยายามฆ่าตัวตายเพื่อให้พ้นขุมนรก
มีการสังหารหมู่ เผ่าพันธุ์ในดาร์ฟูร์ ต่อต้านชาวมาสซาลิต (Massalit) และชุมชนที่ไม่ใช่ชาวอาหรับ ด้วยการบุกไปยิงตามบ้าน ไล่กราดยิงพลเรือนขณะหลบหนี ไม่เว้นแม้แต่โรงพยาบาลสูตินรีเวชซาอุดี ผู้ป่วยและผู้ดูแลเกือบ 500 คนถูกสังหาร บุคลากรทางการแพทย์ถูกลักพาตัว
การฆ่าราวกับคนเป็นผักเป็นปลาชี้ให้เห็นว่า RSF และพันธมิตรมีเจตนาที่จะทำลายล้างชาวมาสซาลิตทั้งหมดให้ลบหายออกจากแผ่นดิน

“RSF และพันธมิตรได้สังหารผู้ชายกับเด็กผู้ชายอย่างเป็นระบบ แม้กระทั่งทารก บนพื้นฐานทางชาติพันธุ์ จงใจเลือกเป้าหมายผู้หญิงและเด็กผู้หญิงจากกลุ่มชาติพันธุ์บางกลุ่มเพื่อข่มขืน ใช้ความรุนแรงทางเพศอันโหดร้ายทุกรูปแบบเท่าที่จะจินตนาการได้
ต่อมาสหรัฐฯ คว่ำบาตรนายพลดากาโล ตามด้วยมาตรการเดียวกันต่อนายพลบูร์ฮาน รัฐบาลซูดาน (ฝ่ายกองทัพ) ได้ยื่นฟ้องสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) กล่าวหาว่ามีส่วนรู้เห็นในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ด้วยการให้ทุนและอาวุธแก่ RSF
แต่ ICJ ปฏิเสธที่จะรับพิจารณาคดีนี้ อ้างว่าไม่มีเขตอำนาจศาล เจ้าหน้าที่ UAE ยินดีกับคำตัดสินนี้ กล่าวว่า “ไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อความขัดแย้ง”
RSF ก็ปฏิเสธว่าไม่ได้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยอ้างว่าเป็น “ความขัดแย้งระหว่างชนเผ่า”
ผู้สืบสวนของ UN กล่าวว่า พวกเขาได้รับคำให้การจากนักรบ RSF เยาะเย้ยผู้หญิงที่ไม่ใช่ชาวอาหรับระหว่างการล่วงละเมิดทางเพศด้วยคำพูดเหยียดเชื้อชาติ บอกว่าพวกเขาจะบังคับให้มี “ลูกชาวอาหรับ”
จากรายงานความโหดร้ายที่กำลังออกมาจากเมืองเอล-ฟาเชอร์ ทำให้เกิดความกังวลอย่างมากต่อชะตากรรมของผู้คนประมาณ 250,000 คนในเมือง ซึ่งหลายคนมาจากชุมชนที่ไม่ใช่ชาวอาหรับ
ในระหว่างนี้มีการเจรจาสันติภาพหลายรอบในซาอุดีอาระเบียและบาห์เรน แต่ล้มเหลวทั้งหมด กองทัพทั้ง 2 ฝ่ายไม่เต็มใจที่จะตกลงหยุดยิง

นายแพทย์ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) เคยคร่ำครวญว่า โลกให้ความสนใจความขัดแย้งในซูดานและแอฟริกาน้อยกว่าวิกฤตในส่วนอื่นของโลก กลุ่มนักคิด International Crisis Group (ICG) เรียกความพยายามทางการทูตเพื่อยุติสงครามว่า ขาดความกระตือรือร้น ขณะที่ Amnesty International ตราหน้าการตอบสนองของโลกว่า “ไม่เพียงพออย่างน่าสังเวช”
โครงการอาหารโลก (WFP) กล่าวว่า ประชาชนกว่า 24 ล้านคนในประเทศกำลังเผชิญกับความไม่มั่นคงทางอาหารอย่างเฉียบพลัน ผลจากงานด้านมนุษยธรรมได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะรัฐบาลทรัมป์ที่ตัดความช่วยเหลือ โรงครัวฉุกเฉินกว่า 1,100 แห่ง (หรือเกือบ 80%) ถูกบังคับให้ปิดตัวลง

ซูดานตั้งอยู่ที่ไหน?
ซูดานตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของแอฟริกา เป็นหนึ่งในประเทศที่ใหญ่ที่สุดในทวีป ครอบคลุมพื้นที่ 1.9 ล้านตารางกิโลเมตร มีพรมแดนติดกับ 7 ประเทศและทะเลแดง แม่น้ำไนล์ยังไหลผ่าน ทำให้ซูดานมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ต่อมหาอำนาจต่างชาติ
ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ภาษาราชการคือภาษาอาหรับ,ภาษาอังกฤษ แม้กระทั่งก่อนสงคราม ซูดานก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก แม้ว่าจะเป็นประเทศที่ผลิตทองคำได้ก็ตาม ในปี 2022 ประชากร 46 ล้านคน มีรายได้เฉลี่ยต่อปีเพียง 750 ดอลลาร์ (ประมาณ 23,250 บาท) ความขัดแย้งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงมาก ปีที่แล้ว รัฐมนตรีคลังของซูดานกล่าวว่า รายได้ของรัฐหดตัวลงถึง 80%
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- คลิปวิปริต หนุ่มอาหรับดาว TikTok อวดวิธีฆ่าเมีย-ลดโทษหนัก ก่อนข้ามแดนเข้าอังกฤษ
- พิพากษาคุก 100 ปี วัยรุ่นปากีฯ เล่นเกมแพ้ คว้าปืนยิงฆ่ายกครัว 4 ศพ
- อังกฤษคุกตลอดชีวิต 3 หนุ่มปากีอพยพ ข่มขืนเด็กหญิงมาราธอน มัสยิดยังไม่เว้น
- ปากีแดนเถื่อน ศพหญิงข้ามเพศ 3 คนถูกทิ้งข้างถนน ตรวจเจอร่างถูกยิงพรุน
ติดตาม The Thaiger บน Google News:



