“ฮุน มาเนต” อ้าง มติที่ประชุม JBC ใช้แผนที่ 1:200,000 ปักหมุดชั่วคราว ลั่น จะไม่แอบยกดินแดนให้ไทย

“ฮุน มาเนต” ยัน ไม่มีแอบยกดินแดนให้ไทย พร้อมเผยผลประชุม JBC ล่าสุด ตกลงใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 และสนธิสัญญา 1907 ในการปักหมุดชั่วคราว
23 ตุลาคม 2568 ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้โพสต์ข้อความชี้แจงความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนที่หมู่บ้านจกเจยและหมู่บ้านเปรยจัน (บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว) ภายหลังการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) เมื่อวันที่ 21-22 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยยืนยันว่า ไม่มีการแอบตกลงยกดินแดนใดๆ ที่อยู่ในอธิปไตยอันชอบธรรมของกัมพูชาให้กับประเทศใด
นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต ระบุว่า “พี่น้องร่วมชาติที่รักทุกท่าน วันนี้ ข้าพเจ้าขอเรียนชี้แจงความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาที่หมู่บ้านโชคเจยและหมู่บ้านเปรยจัน เนื่องจากสถานการณ์ได้คืบหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง และมีความชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม โดยทั้งสองฝ่ายสามารถนำหลักการทางเทคนิคและข้อกฎหมายมาหารือร่วมกันเพื่อหาทางออกโดยสันติวิธีได้
ปัญหาที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านจกเจยและเปรยจัน ซึ่งเริ่มต้นจากการที่ทหารไทยใช้ลวดหนามและยางรถยนต์ เข้าปิดล้อมบ้านเรือนและที่ดินทำกินบางส่วนของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ตลอดระยะเวลากว่า 2 เดือนที่ผ่านมา ได้สร้างความยากลำบากให้กับผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง รวมถึงพี่น้องประชาชนคนอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านทั้งสองแห่ง ปัญหานี้ยังได้สร้างความตึงเครียดและความไม่สบายใจให้กับพี่น้องชาวเขมรทั้งในและต่างประเทศที่เฝ้าติดตามสถานการณ์
เป้าหมายของรัฐบาลมาตั้งแต่ต้น คือการควบคุมสถานการณ์ไม่ให้ลุกลามบานปลาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างและทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น รวมถึงการแสวงหาทุกวิถีทางเพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ให้คลี่คลายโดยเร็วที่สุด เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ รัฐบาลได้ยึดมั่นในแนวทางการแก้ไขปัญหาด้วยความอดทน และการใช้สันติวิธีในการหาทางออก เพราะการใช้ความรุนแรงใดๆ ไม่เพียงแต่จะไม่นำไปสู่ทางออกเท่านั้น แต่อาจทำให้ความขัดแย้งขยายวงกว้างขึ้น และส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น อีกทั้งยังทำให้การหาทางยุติปัญหาโดยเร็วเป็นไปได้ยากขึ้นด้วย
ข้าพเจ้าเข้าใจความรู้สึกของพี่น้องประชาชนดีว่า แนวทางสันติวิธีที่รัฐบาลยึดถือมานั้น บางครั้งก็อาจไม่สามารถให้ผลลัพธ์ที่เราต้องการได้ในทันที ในขณะที่การหาทางออกดูเหมือนจะยังไม่มีความคืบหน้า และการกระทำในพื้นที่กลับทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อาจทำให้พี่น้องบางส่วนรู้สึกสิ้นหวัง และคิดไปว่าจะไม่มีทางออกใดๆ อีกแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น การกระทำบางอย่างของฝ่ายไทย เช่น การเก็บกู้ทุ่นระเบิด การจัดสรรที่ดินให้คนไทย หรือการทำลายสิ่งปลูกสร้าง ในพื้นที่ที่ทหารไทยได้ปิดล้อมไว้แล้วนั้น ยิ่งทำให้ประชาชนรู้สึกว่าอาจจะไม่มีทางออกจริงๆ และบางคนถึงกับเข้าใจผิดไปว่า รัฐบาลกัมพูชาได้แอบตกลงยกดินแดนเขมรให้ฝ่ายนั้นไปแล้ว เพื่อแลกกับการหยุดยิงหรือข้อตกลงสันติภาพ
ข้าพเจ้าขอยืนยันอีกครั้งว่า ไม่มีการแอบตกลงยกดินแดนใดๆ ที่อยู่ในอธิปไตยอันชอบธรรมของกัมพูชาให้กับประเทศใด เพื่อแลกกับการเจรจาหยุดยิงหรือสันติภาพอย่างแน่นอน กัมพูชาไม่เคยละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศเพื่อนบ้าน และกัมพูชาก็ไม่ยอมให้มีการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของตนเองเช่นกัน
ปัญหาเขตแดนเป็นเรื่องซับซ้อนที่สืบทอดกันมานานหลายร้อยปี ซึ่งเราต้องร่วมกันแก้ไข เพื่อให้ประชาชนของทั้งสองประเทศสามารถอยู่ร่วมกันตามแนวชายแดนได้อย่างสันติสุข ในระยะยาวต่อไป แต่ทางออกใดๆ ที่จะเป็นที่ยอมรับได้นั้น จะต้องตั้งอยู่บนหลักการความโปร่งใส ต้องมีการตกลงเห็นชอบร่วมกัน โดยปราศจากการบีบบังคับจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และต้องดำเนินการผ่านกลไกที่ได้ตกลงกันไว้ อีกทั้งต้องอยู่บนพื้นฐานของสนธิสัญญา อนุสัญญา และข้อตกลงที่มีอยู่ระหว่างสองประเทศ
ในแง่นี้ การสำรวจรังวัดและปักปันเขตแดนจึงอยู่ภายใต้อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมกัมพูชา-ไทย (JBC) และจะต้องแก้ไขโดยสันติวิธี ตามสนธิสัญญา อนุสัญญา และข้อตกลงที่มีอยู่ระหว่างกัมพูชาและไทย ซึ่ง JBC ได้ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพมาแล้วในหลายด้านตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ทั้งหมดก็ตาม
ในการประชุม JBC ตลอดสองวันที่ผ่านมา (21-22 ตุลาคม) ซึ่งเพิ่งเสร็จสิ้นลงเมื่อคืนนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือกันอย่างละเอียดรอบคอบ เกี่ยวกับการหาทางออกที่โปร่งใส และถูกต้องตามหลักการที่ได้ตกลงกันไว้ เพื่อมุ่งสู่การยุติความขัดแย้งในหมู่บ้านโชคเจยและหมู่บ้านเปรยจัน (บริเวณระหว่างหลักเขตแดนหมายเลข 42 และ 47)
เพื่อให้ได้ทางออกนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะดำเนินการตามหลักการทางเทคนิคต่อไป เพื่อกำหนดแนวทางการสำรวจรังวัดร่วมกัน และปักหลักเขตชั่วคราว โดยใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 สนธิสัญญาปี 1907 และบันทึกการปักปันเขตแดนของคณะกรรมาธิการฝรั่งเศส-สยาม เป็นพื้นฐาน
ผลลัพธ์ที่ได้จะนำไปตรวจสอบกับการครอบครองพื้นที่ตามความเป็นจริงของประชาชนทั้งสองฝ่าย เพื่อใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่อไป มีเพียงแนวทางนี้เท่านั้น ที่ทั้งสองฝ่ายจะสามารถบรรลุทางออกที่ถูกต้องและยั่งยืนได้ในระยะยาว และจะช่วยให้ปัญหาที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านจกเจยและเปรยจันคลี่คลายลงได้ เพื่อให้พี่น้องประชาชนสามารถกลับไปใช้ชีวิตและประกอบอาชีพได้ตามปกติสุขอีกครั้ง หลีกเลี่ยงการปล่อยให้ปัญหายืดเยื้อเรื้อรังต่อไปในระยะยาว”


อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- “เทพมนตรี” ปูด ประชุม JBC หลอกชาวบ้าน ปมหลักเขต บ้านหนองจาน อ้างตกลงกันไม่ได้
- ไทย-กัมพูชา แถลงผลประชุม JBC ดำเนินการสร้างหลักแดนใหม่ 15 จุด
- รถลำโพง เข้าพื้นที่บ้านหนองจาน เตรียมเปิดเสียงกระฮึ่ม รอกองทัพพิจารณา
ติดตาม The Thaiger บน Google News: