402 เสียง ล้างมรดกรัฐประหาร สภาฯ โละคำสั่งคสช. ลอตใหญ่ 55 ฉบับ ส่งต่อวุฒิสภาพิจารณา

สิ้นมรดกรัฐประหาร สภาฯ เห็นชอบยกเลิกคำสั่งคสช. ล็อตใหญ่ 55 ฉบับ เห็นด้วย 402 เสียงส่งวุฒิสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อ
วันนี้ (30 ก.ค.) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมที่รัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และคำสั่งหัวหน้า คสช. บางฉบับที่หมดความจำเป็น และไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน ซึ่งพิจารณาต่อจากการประชุมเมื่อวันที่ 23 ก.ค.ที่ผ่านมา
โดยหลักการและเหตุผลของร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว นายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญฯ ชี้แจงว่า ตามที่ที่ประชุมสภาฯ พิจารณาและลงมติรับหลักการร่างพ.ร.บ. 5 ฉบับ ประกอบด้วย
1.ร่างพ.ร.บ.ยกเลิกประกาศคสช. และคำสั่งหัวหน้าคสช. บางฉบับที่หมดความจำเป็น และไม่เหมาะสมกับการปัจจุบัน 2.ร่างพ.ร.บ.ยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 4/2559 เรื่องการยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวง ให้ใช้บังคับผังเมืองรวมสำหรับการประกอบกิจการบางประเภท
3.ร่างพ.ร.บ.ยกเลิกประกาศคสช. ฉบับที่ 98/2557 คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 14/2559 และคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 57/2559 4.ร่างพ.ร.บ.ยกเลิกประกาศ และคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน และประชาธิปไตย และ 5.ร่างพ.ร.บ.ยกเลิกประกาศ และคำสั่งหัวหน้าคสช.
ทั้งนี้นายจาตุรนต์ กล่าวกับ กมธ. ได้พิจารณาร่างพ.ร.บ.ทั้ง 5 ฉบับ เสร็จสิ้นแล้ว โดยให้ความสำคัญกับการพิจารณาการยกเลิกประกาศ และคำสั่งหัวหน้าคสช. รวมทั้งสิ้น 77 ฉบับ และได้นำคำอภิปรายของสส. ในวาระแรกขั้นรับหลักการ รายงานผลการรับฟังความคิดเห็น และผลกระทบที่อาจเกิดจากร่างกฎหมายมาประกอบการพิจารณาโดยละเอียดรอบคอบ และได้แก้ไขเพิ่มเติมร่างพ.ร.บ.นี้ โดยยกเลิกคำสั่ง และประกาศคสช. รวม 55 ฉบับ
ต่อมานายจตุรนต์ ยังโพสต์แจงรายละเอียดเพิ่มเติมผ่านโซเชียลด้วยว่า “มติสภาฯเอกฉันท์ยกเลิกคำสั่ง คสช.55 ฉบับ ล้างมรดกรัฐประหาร ย้ำ อำนาจออกกฎหมายพึงเป็นของประชาชน”
“วันนี้ผมในประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยกเลิกประกาศและคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่หมดความจำเป็นและไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ…. (ร่างพ.ร.บ.ยกเลิกคำสั่งคสช.ฯ)”
“ได้นำร่างพ.ร.บ.ที่ผ่านการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการรายงานต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 ซึ่งร่างพ.ร.บ.นี้เสนอโดยคณะรัฐมนตรีและพรรคการเมืองต่างๆ ประกอบด้วย พรรคก้าวไกล, พรรคภูมิใจไทย, และพรรคประชาชาติ คณะกรรมาธิการได้ทำงานร่วมกันเป็นเวลา 7 เดือน จนในที่สุดได้พิจารณายกเลิกคำสั่ง คสช.ได้ถึง 55 ฉบับ ซึ่งมากกว่า 2 เท่าจากเป้าหมายเดิมที่วางไว้ในวาระแรก (ในวาระแรกร่าง พ.ร.บ.นี้มีบัญชีแนบท้ายเพียง 23ฉบับ) การออกคำสั่ง คสช.เพียงวันเดียวอาจออกมาหลายฉบับ แต่การจะยกเลิกหรือจะแก้ไขให้ถูกต้องเป็นไปด้วยความยากลำบาก และยังเป็นคำสั่งที่สร้างปัญหาให้กับประเทศในหลายด้านมานับ 10 ปี เช่น การละเมิดสิทธิมนุษยชน, ขัดต่อหลักนิติธรรมและระบบยุติธรรม, สร้างปัญหาเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม และขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่การที่คณะกรรมาธิการสามารถทำงานจนสำเร็จลุล่วงมาได้เพราะความร่วมมือจากส่วนราชการต่างๆ และกล่าวได้ว่าได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมืองทุกพรรคในสภาผู้แทนราษฎรแห่งนี้”
การที่สภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบร่างพ.ร.บ. ฉบับนี้ด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ ถือปรากฏการณ์ที่สำคัญและมีความหมายอย่างมากต่อหลักการและระบอบประชาธิปไตย รวมถึงเป็นการตอกย้ำว่า อำนาจในการออกกฎหมายพึงเป็นของประชาชน
ใน 55 ฉบับที่คณะกรรมาธิการได้ยกเลิกครอบคลุมหลากหลายแง่มุม อาทิ คำสั่งที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก อย่างประกาศ คสช. ฉบับที่ 49/2557 ความผิดสำหรับการสนับสนุนการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งคำสั่งนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญที่ให้การชุมนุมเป็นสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทั้งการกำหนดโทษทางอาญาก็ขัดต่อหลักนิติธรรมอย่างมาก
หรือคำสั่งที่เพิ่มอำนาจให้เจ้าหน้าที่ราชการในการละเมิดประชาชน เช่น คำสั่ง คสช. 13/2559 เรื่อง การป้องกันและปราบปรามการกระทําความผิดบางประการที่เป็นภยันตรายต่อความสงบ เรียบร้อยหรือบ่อนทําลายระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ คำสั่งนี้มีผลให้อำนาจกับข้าราชการไม่ต่างจาก พรก.ฉุกเฉิน ที่สามารถเรียกบุคคลมารายงานตัว จับกุม หรือเข้าไปในเคหสถานเพื่อตรวจค้นยึดทรัพย์สิน และยังควบคุมตัวบุคคลได้ไม่เกิน 7 วัน คำสั่งนี้แน่นอนว่าได้สร้างปัญหาร้ายแรง รวมทั้งเมื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นว่าไม่มีความจำเป็น และไม่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของหน่วยงานนั้น ๆ คณะกรรมาธิการจึงพิจารณายกเลิกทันที
รวมทั้งมีข้อสังเกตเชิงหลักการที่เสนอแนะไปยังรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีระบบทบทวนและมีมาตรการเยียวยาเกี่ยวกับการเรียกให้บุคคลมารายงานตัวและการควบคุมตัวตามคำสั่ง คสช.อีกด้วย
การยกเลิกประกาศและคำสั่งจำนวนมากไม่สามารถทำได้ง่าย เนื่องจากกระทบต่อระบบกฎหมายที่มีอยู่ก่อนรัฐประหาร ทำให้การพิจารณาของคณะกรรมาธิการมีข้อจำกัด ส่งผลให้ยังมีคำสั่ง คสช. อีก 22 ฉบับที่ยังไม่ได้พิจารณายกเลิก ด้วยเหตุผลและความจำเป็นที่แตกต่างกัน อาทิ
ประกาศและคำสั่งของ คสช. หลายฉบับที่มีเนื้อหาซับซ้อนและต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน รวมถึงการพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน คณะกรรมาธิการจึงเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการเฉพาะกิจเพื่อพิจารณาเป็นรายกรณี
ขณะเดียวกัน บางประเด็น สภาฯ ก็อยู่ระหว่างการยกร่างกฎหมายอยู่แล้ว เช่น การปฏิรูปการศึกษา การแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย และการยกเว้นการบังคับใช้ผังเมืองสำหรับกิจการบางประเภท เป็นต้น
อีกกรณีหนึ่งคือประกาศและคำสั่งของ คสช. ที่แม้จะยังคงอยู่ แต่ไม่มีผลบังคับใช้ในทางปฏิบัติ อย่างไรก็ตามหากยกเลิกอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐ หรือกระทบต่อการต่อสู้คดีในศาลหรือคณะอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ จึงจำเป็นต้องคงไว้เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศ เช่น คำสั่ง คสช.72/2559 การแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำ เป็นต้น
ร่าง พ.ร.บ.ยกเลิกคำสั่งคสช.ฯ ที่ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว จะเสนอต่อวุฒิสภาเพื่อพิจารณาต่อไป ตนคาดว่าจะผ่านการพิจารณาของวุฒิสภาเช่นกัน เพื่อแก้ไขกฎหมายที่ล้าสมัยหรือไม่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนสากล สร้างสังคมที่เป็นธรรมและเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศอย่างเต็มที่ ดังนั้นคำสั่ง คสช.ที่ยังคงค้างไว้จึงยังเป็นงานของทั้งรัฐบาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงรัฐสภาเองที่จะต้องล้างมรดกรัฐประหารนี้ให้สำเร็จไปด้วยกัน.
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- สื่อนอกตีข่าว กัมพูชา ละเมิดหยุดยิงครั้งที่ 2 จับตาท่าทีเขมร-ผู้ไกล่เกลี่ยนานาชาติ
- กองทัพไทย ผิดหวัง กัมพูชา แนะให้ทบทวนตัวเอง หยุดโทษคนอื่น
- ไม่รู้ชะตากรรม BHQ 4กองร้อยของเขมร F-16 ไทยปูพรมถล่ม บางรายไม่มีร่างให้เก็บ
ติดตาม The Thaiger บน Google News: