กองทัพไทย เปิดโปง กัมพูชา แดนสวรรค์สแกมเมอร์ รัฐอุ้ม-โกย 6 แสนล้าน

กองทัพไทย แชร์รายงานเปิดโปง ชี้ รัฐบาลกัมพูชาอาจมีส่วนร่วมแก๊งต้มตุ๋น ลักพาตัวคนค้าทาสไซเบอร์ แบงก์เถื่อนฟอกเงินล้านล้าน
เมื่อวันอังคารที่ 17 มิถุนายน 2568 กองบัญชาการกองทัพไทย Royal Thai Armed Forces Headquarters ได้แชร์บทความ พร้อมแคปชั่นว่า “กับประเด็นที่ว่า “กัมพูชา”ถูกจับตาจากสังคมโลกว่าเป็นศูนย์กลางของอาชญากรรมทางเทคโนโลยีของโลก และเป็นประเทศที่ทำให้ Scamtopia (เมืองในอุดมคติของเหล่าแสกมเมอร์) กลายเป็นเรื่องจริง จนได้รับสมญานาม ว่า ”Scambodia“
อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ SALIKA Knowledge sharing space ที่อ้างอิงจากรายงาน Policies and Patterns State-Abetted Transnational Crime in Cambodia as a Global Security Threat ระบุรายละเอียดว่า รัฐบาลกัมพูชาและกลุ่มอาชญากรได้ร่วมมือกันอย่างเป็นระบบเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการหลอกลวง รายงานฉบับนี้ประเมินว่าอุตสาหกรรมมืดดังกล่าวสามารถทำเงินให้กัมพูชาสูงถึง 19,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือราว 6.2 แสนล้านบาท ซึ่งสูงกว่ารายได้จากอุตสาหกรรมสิ่งทอซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจหลักของประเทศถึงสองเท่า
รายงานจาก Humanity Research Consultancy ในหัวข้อ นโยบายและแบบแผน : อาชญากรรมข้ามชาติที่รัฐหนุนหลังในกัมพูชาในฐานะภัยคุกคามความมั่นคงระดับโลก ได้ชี้ให้เห็นถึงกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนอาณาจักรสแกมเมอร์แห่งนี้
ประการแรกคือ รัฐบาลกัมพูชาเองที่ถูกกล่าวหาว่ามีบทบาทเป็นเจ้าภาพแห่งอาชญากรรม มีการออกใบอนุญาตให้กิจการหลอกลวงดำเนินงานได้อย่างถูกกฎหมาย
กลุ่มผู้กระทำผิดได้รับการคุ้มครองจากทั้งตำรวจและทหาร มีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และที่น่าตกใจคือมีรายงานว่าผู้นำในพรรครัฐบาลจำนวนมากเข้าไปถือหุ้นหรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนในธุรกิจอาชญากรรมเหล่านี้โดยตรง

ประการที่สองคือพลังของ ทุนจีนสีเทา ที่หลั่งไหลเข้าสู่กัมพูชาตั้งแต่ปี 2556 ภายใต้โครงการแถบและทาง (Belt & Road Initiative) ของจีน เงินทุนมหาศาลที่ใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานได้กลายเป็นฉากบังหน้าให้กับกลุ่มทุนเถื่อนและอาชญากรรมไซเบอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังวิกฤตโควิด-19 ที่กลุ่มทุนเหล่านี้ได้ขยายอำนาจและใช้โครงสร้างพื้นฐานที่สร้างไว้เป็นฐานปฏิบัติการฟอกเงินและหลอกลวงทางไซเบอร์เต็มรูปแบบ
นอกจากนี้ รายงานยังเปิดโปงเครือข่ายอุปถัมภ์ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกัมพูชาถึง 28 ราย ที่ควบคุมช่องทางการหารายได้จากการหลอกลวงมากถึง 64 ช่องทาง โดยมีกลุ่ม Huione Group ทำหน้าที่เสมือน ธนาคารผิดกฎหมาย หรือ แบงค์เถื่อน เป็นศูนย์กลางในการฟอกเงินและโอนเงินที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมายทุกประเภท คาดว่ามีเงินหมุนเวียนผ่านกลุ่มนี้สูงถึงกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือประมาณ 1 ล้านล้านบาท
เบื้องหลังรายได้มหาศาลนี้คือโศกนาฏกรรมของ ระบบทาสยุคใหม่ รายงานระบุว่าอุตสาหกรรมนี้ขับเคลื่อนด้วยแรงงานที่ถูกลักพาตัวและกักขังหน่วงเหนี่ยวจากทั่วเอเชีย ทั้งคนจีน คนไทย และคนเวียดนาม ที่ถูกหลอกให้มาทำงานในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ก่อนจะถูกยึดหนังสือเดินทางและบังคับให้ทำงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์เยี่ยงทาส ไม่มีวันหยุด ไม่มีวันลาออก เพื่อสร้างความร่ำรวยให้กับเจ้าของระบบที่เชื่อมโยงกับเจ้าหน้าที่รัฐและกลุ่มมาเฟีย
แม้ในช่วงปี 2565-2567 รัฐบาลกัมพูชาจะพยายามสร้างภาพว่ากำลังปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ ด้วยการจับกุมแรงงานระดับล่างเพื่อโชว์ผลงาน แต่กลับไม่มีการแตะต้องตัวการใหญ่หรือข้าราชการระดับสูงที่อยู่เบื้องหลังแม้แต่น้อย ซ้ำร้ายรองนายกรัฐมนตรี สาร โสขะ ยังเคยให้สัมภาษณ์ลดทอนปัญหาใหญ่หลวงนี้ว่า เป็นเพียงเรื่องความไม่ชำนาญทางเทคนิคของแรงงานเท่านั้น
รายงาน Policies and Patterns State-Abetted Transnational Crime in Cambodia as a Global Security Threat ฉบับนี้ได้ทิ้งท้ายด้วยข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าวอย่างเด็ดขาด อาทิ การคว่ำบาตรเฉพาะเจาะจงเจ้าหน้าที่ระดับสูง 28 รายและบริษัทที่เกี่ยวข้อง 114 แห่ง
การยกระดับความร่วมมือด้านข่าวกรองทางการเงินเพื่อปิดล้อมระบบของ Huione Group และการตั้งศาลพิเศษระหว่างประเทศเพื่อดำเนินคดีการค้ามนุษย์ข้ามแดน เนื่องจากโมเดลอาชญากรรมที่รัฐหนุนหลังนี้กำลังถูกลอกเลียนแบบไปทั่วภูมิภาคและกลายเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของโลกอย่างแท้จริง
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- อดีตนักการเมืองกัมพูชา ชวนแรงงานเขมร 2 ล้านกลับบ้าน แต่งานมีแค่ 2.3 แสน ถ้ามาจริงไทยสะเทือน?
- เปิดประวัติ นิกรเดช พลางกูร นักการทูตไทย แถลงคมคาย จนกัมพูชาสะท้าน
- เขมรเอาจริง! ฮุนมาเนต อวดภาพ ทูตกัมพูชายื่นฟ้องศาลโลก คดี 4 พื้นที่พิพาท
ติดตาม The Thaiger บน Google News: