ข่าว

ยอดโควิด-19 ปี 68 น่าห่วง ป่วย 4 หมื่น ตาย 14 เฝ้าจับตาตัวใหม่ PA.1

กรมควบคุมโรคเผยยอด โควิด ปี 68 ทะลุ 4 หมื่น เสียชีวิต 14 ศพ ศูนย์จีโนมฯ อัปเดตสายพันธุ์ ชี้ “LP.8.1” กำลังผงาดแทนที่ “XEC” แพร่เชื้อ-หลบภูมิฯ สูง พร้อมจับตา “PA.1” อย่างใกล้ชิด ย้ำต้องเฝ้าระวังต่อเนื่อง

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยยังคงต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลล่าสุดจากกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ณ วันที่ 8 พฤษภาคม 2568 รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 7 พฤษภาคม 2568 พบจำนวน ผู้ป่วยสะสม 41,187 ราย และมีผู้เสียชีวิตสะสม 14 ราย ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าไวรัสโคโรนา 2019 ยังคงหมุนเวียนและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน

ขณะเดียวกัน ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เผยแพร่ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับภูมิทัศน์ของสายพันธุ์เชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ที่กำลังแพร่ระบาด โดยระบุถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ ดังนี้

  1. LP.8.1 กำลังมาแรง : สายพันธุ์นี้ซึ่งพัฒนามาจาก JN.1 (ผ่าน KP.1.1.3) กำลังแสดงศักยภาพในการแพร่กระจายเชื้อที่สูงขึ้น และมีความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้ดี ทำให้กลายเป็นสายพันธุ์ที่โดดเด่นและพบได้แพร่หลายในหลายพื้นที่ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568
  2. XEC เริ่มแผ่ว : สายพันธุ์ลูกผสม XEC ซึ่งเคยมีสัดส่วนการระบาดที่สำคัญ เริ่มมีแนวโน้มลดลงในบางพื้นที่ คาดว่าเกิดจากการแข่งขันกับสายพันธุ์ LP.8.1 ที่แพร่ได้เร็วกว่า
  3. PA.1 น่าจับตามอง : แม้จะพัฒนามาจาก KP.1.1.3 เช่นเดียวกับ LP.8.1 แต่ PA.1 มีเส้นทางวิวัฒนาการที่แตกต่างออกไป ปัจจุบันยังพบในสัดส่วนน้อย แต่ด้วยความแตกต่างนี้ ทำให้ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดต่อไป

อย่างไรก็ตาม ศูนย์จีโนมฯ ระบุว่า ยังไม่พบว่าทั้ง LP.8.1 และ XEC ก่อให้เกิดความรุนแรงของโรคเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับสายพันธุ์ย่อยอื่นๆ ในกลุ่มโอมิครอน และคาดว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ยังคงมีประสิทธิภาพในการป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิตได้

ศูนย์จีโนมฯ อธิบายเพิ่มเติมถึงบริบททางวิวัฒนาการว่า สายพันธุ์ JN.1 ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของ LP.8.1 และ PA.1 (และตัว JN.1 เองก็มาจาก BA.2.86) ถือเป็นสายพันธุ์ “ผู้ก่อตั้ง” ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง สามารถแตกแขนงออกเป็นสายพันธุ์ย่อยจำนวนมาก

ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจคือ “วิวัฒนาการแบบบรรจบ” (Convergent Evolution) ซึ่งหมายถึง การกลายพันธุ์ในตำแหน่งสำคัญบางตำแหน่ง (เช่น F456L, R346T บนโปรตีนหนาม) เกิดขึ้นอย่างเป็นอิสระในสายพันธุ์ย่อยต่างๆ ของ JN.1 บ่งชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจช่วยให้ไวรัสได้เปรียบในการรับมือหรือหลบหลีกภูมิคุ้มกันของมนุษย์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน

การเกิดขึ้นและแพร่หลายของสายพันธุ์ใหม่อย่าง LP.8.1 และ XEC รวมถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง เป็นเครื่องตอกย้ำว่าไวรัส SARS-CoV-2 มีความสามารถในการปรับตัวอย่างไม่หยุดยั้ง เปรียบเสมือน “การแข่งขันทางอาวุธ” ทางวิวัฒนาการ ระหว่างไวรัสกับภูมิคุ้มกันของมนุษย์ (ทั้งจากวัคซีนและการติดเชื้อตามธรรมชาติ)

ดังนั้น การเฝ้าระวังทางพันธุกรรมอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง, การประเมินความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ, และการปรับปรุงมาตรการทางสาธารณสุข รวมถึงการพิจารณาปรับปรุงองค์ประกอบของวัคซีนให้ทันต่อสถานการณ์ จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อลดผลกระทบจากการระบาดในอนาคต

ศูนย์จีโนมฯ ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเฝ้าระวังทางพันธุกรรมแบบ “ทั้งจีโนม” ไม่ใช่เพียงแค่ส่วนโปรตีนหนาม เพราะการกลายพันธุ์ในส่วนอื่น ๆ นอกจากโปรตีนหนาม ก็อาจมีผลต่อลักษณะหรือความรุนแรงของไวรัสได้เช่นกัน

แม้ปัจจุบันองค์การอนามัยโลก (WHO) จะยังประเมินความเสี่ยงโดยรวมของสายพันธุ์อย่าง LP.8.1 ว่าอยู่ในระดับต่ำ แต่ความตื่นตัวและการเฝ้าระวังอย่างไม่ประมาท ยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการรับมือกับโควิด-19 ต่อไป

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

0 0 โหวต
Article Rating
สมัครรับข้อมูล
แจ้งเตือนเกี่ยวกับ
0 Comments
เก่าแก่ที่สุด
ใหม่ล่าสุด ถูกโหวตมากที่สุด
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

GIFT T.

Rewriter สาวจากรั้วสวนดุสิต เก็บเกี่ยวประสบการณ์งานข่าวมากว่า 5 ปี ชื่นชอบการส่งต่อเรื่องราวเกี่ยวกับ ไลฟ์สไตล์ หวย และข่าวบันเทิง พร้อมเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้นักอ่านได้เห็นประเด็นรอบด้านมากยิ่งขึ้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button
0
เราอยากทราบความคิดเห็นของคุณ โปรดแสดงความคิดเห็นx