ฮาร์วาร์ด ยื่นฟ้อง รัฐบาลทรัมป์ เดือดปมสั่งระงับงบวิจัย กระทบหนัก มะเร็ง-อัลไซเมอร์

ม.ฮาร์วาร์ด ยื่นฟ้อง ‘รัฐบาลทรัมป์’ หลังถูกระงับเงินอุดหนุนวิจัย 2 พันล้านดอลลาร์ ปมขัดแย้งเรื่องนโยบายความหลากหลาย/การต่อต้านยิว กระทบงานวิจัยสำคัญ มะเร็ง-อัลไซเมอร์
สำนักข่าวต่างประเทศ BBC รายงานถึงความตึงเครียดระหว่างสถาบันการศึกษาชั้นนำและรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ล่าสุดได้ทวีความดุเดือดมากยิ่งขึ้น เมื่อ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) สถาบันอุดมศึกษาที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ได้ตัดสินใจยื่นฟ้องร้องดำเนินคดีต่อรัฐบาลของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” โดยกล่าวหาว่า การสั่งระงับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลกลางมูลค่ามหาศาลหลายพันล้านดอลลาร์นั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่องานวิจัยที่สำคัญ
นายอลัน เอ็ม การ์เบอร์ (Alan M. Garber) อธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ประกาศการดำเนินการทางกฎหมายดังกล่าวผ่านจดหมายถึงประชาคมชาวฮาร์วาร์ด เมื่อวันจันทร์ที่ 21 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา โดยระบุว่า การระงับเงินทุนเบื้องต้นถึง 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 6.6 หมื่นล้านบาท จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการวิจัยโรคที่สำคัญ เช่น มะเร็งในเด็ก, โรคอัลไซเมอร์ และโรคพาร์กินสัน

“ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลกลางได้เริ่มการโจมตีในวงกว้างต่อความร่วมมือด้านเงินทุนที่สำคัญ ซึ่งส่งผลต่อวิจัยอันประเมินค่ามิได้ได้รับผลกระทบ” คำฟ้องของฮาร์วาร์ดระบุดังนี้ พร้อมชี้ว่า การระงับเงินทุนเป็นการละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญ และถูกใช้เป็นเครื่องมือต่อรองเพื่อเข้าควบคุมการตัดสินใจทางวิชาการที่ฮาร์วาร์ด
นอกจากนี้ รัฐบาลทรัมป์ยังส่งสัญญาณว่า อาจมีการระงับเงินทุนเพิ่มเติมอีก 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ 3.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่สำคัญ เนื่องจากฮาร์วาร์ดได้รับเงินทุนจากรัฐบาลกลางรวมประมาณปีละ 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 2.98 แสนล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้เกี่ยวกับการวิจัย และยังมีความกังวลด้วยว่า สถานะการยกเว้นภาษีและความสามารถในการรับนักศึกษาต่างชาติของมหาวิทยาลัยอาจถูกคุกคามด้วย
ต้นตอปมขัดแย้ง “นโยบายความหลากหลาย – การต่อต้านยิว”
ความขัดแย้งครั้งนี้สืบเนื่องมาจากการที่รัฐบาลทรัมป์ได้ยื่นข้อเรียกร้องหลายประการต่อฮาร์วาร์ดเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยอ้างว่ามีเป้าหมายเพื่อลดทอนโครงการริเริ่มด้านความหลากหลาย (Diversity Initiatives) และต่อสู้กับการต่อต้านชาวยิว (Anti-semitism) ภายในมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นประเด็นที่ถูกจุดขึ้นหลังเกิดเหตุการณ์ประท้วงต่อต้านสงครามในกาซาและการสนับสนุนอิสราเอลของสหรัฐฯ ในรั้วมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เมื่อปีที่แล้ว โดยรัฐบาลทรัมป์กล่าวหาว่า มหาวิทยาลัยล้มเหลวในการปกป้องนักศึกษาชาวยิว
รวมถึงการให้ฮาร์วาร์ดยอมรับการตรวจสอบหลักสูตร การจ้างงาน และข้อมูลการรับเข้าศึกษา จากผู้ตรวจสอบภายนอกที่รัฐบาลรับรอง ซึ่งทางฮาร์วาร์ดได้ปฏิเสธข้อเรียกร้องเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง ผ่านจดหมายตอบโต้ที่รุนแรง โดยระบุว่าเป็นการพยายาม ‘เข้าครอบงำ’ จากรัฐบาลกลาง
นายการ์เบอร์ ซึ่งเป็นชาวยิว ยอมรับว่าภายในมหาวิทยาลัยมีปัญหาเรื่องการต่อต้านชาวยิวจริง แต่ขณะเดียวกันก็ได้จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาแล้ว และเตรียมจะเปิดเผยรายงานของคณะทำงานดังกล่าว รวมถึงรายงานเรื่องอคติต่อต้านชาวมุสลิมในเร็ว ๆ นี้
อย่างไรก็ดี ในวันเดียวกันนั้น ทำเนียบขาวได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้การฟ้องร้องของฮาร์วาร์ด ด้วยถ้อยคำที่แข็งกร้าวว่า “รถไฟขนเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลกลาง ที่มอบให้กับสถาบันอย่างฮาร์วาร์ด ซึ่งทำให้ข้าราชการที่ได้รับค่าจ้างสูงเกินเหตุ จนร่ำรวยขึ้นด้วยเงินภาษีของครอบครัวชาวอเมริกันที่กำลังดิ้นรนนั้น กำลังจะสิ้นสุดลง เงินภาษีถือเป็นสิทธิพิเศษ และฮาร์วาร์ดล้มเหลวในการปฏิบัติตามเงื่อนไขพื้นฐานที่จำเป็นในการเข้าถึงสิทธิพิเศษนั้น”

สถานการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางบริบทที่ความเชื่อมั่นของสาธารณชนชาวอเมริกันต่อสถาบันอุดมศึกษาลดลง จากผลสำรวจของ Gallup เมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว ซึ่งชี้ว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเชื่อที่เพิ่มขึ้นว่า มหาวิทยาลัยต่าง ๆ กำลังผลักดันวาระทางการเมือง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกัน
การฟ้องร้องครั้งนี้จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของมหากาพย์การต่อสู้ทางกฎหมายและการเมืองครั้งสำคัญระหว่างสถาบันการศึกษาชั้นนำกับรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งมีเดิมพันสูงทั้งในแง่ของอนาคตงานวิจัย เสรีภาพทางวิชาการ และทิศทางของนโยบายอุดมศึกษาในสหรัฐอเมริกา
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- พลิกวิกฤตเป็นโอกาส จีนผลิตแปรงขัดส้วมล้อเลียน “ทรัมป์” ตอบโต้สงครามภาษี ขายดีเกินคาด
- คนเมกาลงถนน ประท้วงต่อต้านทรัมป์ เซ่นพิษบริหารประเทศ
- ทุบสถิติโลก ส.ว.สหรัฐ อภิปราย 25 ชม. ไม่หยุด ประท้วง ‘ทรัมป์’
ติดตาม The Thaiger บน Google News: