ข่าว

แผ่นดินไหวบก VS ในทะเล ต่างกันอย่างไร ความเสียหายรุนแรงแค่ไหน

แผ่นดินไหวบก VS แผ่นดินไหวในทะเล ต่างกันอย่างไร ความเสียหายรุนแรงแค่ไหน ดินถล่ม บ้านพัง ตึกถล่ม สึนามิ ไฟไหม้

ใต้พื้นโลกที่เราคิดว่าหนักแน่น มั่นคง แท้จริงไม่ใช่แบบนั้น ใต้ชั้นเปลือกโลกมีของเหลวที่เรียกว่าแม็กมา มีพลังงานมหาศาลที่สะสมอยู่ใต้ผิวโลก ม้วนตัว บีบอัด และรอวันที่จะระเบิดออกมาด้วยเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า “แผ่นดินไหว”แรงสะเทือนที่ปล่อยออกมาเมื่อรอยเลื่อนใต้เปลือกโลกเคลื่อนไหวกะทันหัน

แต่คำถามสำคัญคือ แผ่นดินไหวที่เกิดบนบก ต่างจากแผ่นดินไหวที่เกิดใต้ทะเลอย่างไร และแบบไหนอันตรายกว่ากัน?

สาเหตุแผ่นดินไหว เมื่อแผ่นเปลือกโลกปะทะกัน

โลกของเราห่อหุ้มด้วยเปลือกโลก (tectonic plates) ราวกับเปลือกไข่แตกที่ประกอบด้วยชิ้นส่วนมหึมา พวกมันลอยอยู่บนชั้นแมนเทิลที่ร้อนระอุและไหลเวียนช้าๆ ตลอดเวลา

แผ่นดินไหวส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ “ขอบ” ของแผ่นเปลือกโลกเหล่านี้ ซึ่งมักเป็นพื้นที่ที่แผ่นหนึ่งมุดลงใต้แผ่นอีกแผ่น หรือเลื่อนผ่านกันไป—ไม่ว่าจะอยู่บนพื้นดินหรือใต้ทะเลก็ตาม

แผ่นดินไหวบนบก

แผ่นดินไหวบนบกมักเกิดจากการเลื่อนตัวของรอยเลื่อนบนแผ่นเปลือกโลก เช่น รอยเลื่อนซานแอนเดรียสในแคลิฟอร์เนีย หรือรอยเลื่อนเพชรบูรณ์ในประเทศไทย ล่าสุด รอยเลื่อนสะกาย ในประเทศเมียนมา

ความเสียหายที่เกิดจากแผ่นดินไหวบนบก

  • แรงสั่นสะเทือนโดยตรง ทำให้โครงสร้างอาคาร ถนน และสะพานพังถล่ม
  • การทรุดตัวของดิน โดยเฉพาะในพื้นที่ดินอ่อน อาจทำให้อาคารเอียงหรือจมได้
  • ดินถล่ม เกิดจากแรงสั่นสะเทือนในพื้นที่ภูเขา ทำให้ภูเขาหรือหน้าผาพังทลาย
  • ไฟไหม้ ท่อก๊าซหรือไฟฟ้าเสียหาย จุดชนวนให้เกิดเพลิงไหม้ เช่น เหตุการณ์แผ่นดินไหวในโกเบปี 1995

ตัวอย่าง: แผ่นดินไหวในเมือง Christchurch นิวซีแลนด์ ปี 2011 แม้จะมีขนาดเพียง M6.2 แต่จุดศูนย์กลางตื้นและอยู่ใต้เมืองโดยตรง ทำให้เกิดความเสียหายมหาศาลและมีผู้เสียชีวิตกว่า 180 คน

แผ่นดินไหวใต้ทะเล คลื่นยักษ์ที่มองไม่เห็นกำลังจะมา

ร้อยละ 90 ของแผ่นดินไหวทั่วโลกเกิดขึ้นใต้ทะเล โดยเฉพาะในบริเวณที่เรียกว่า วงแหวนแห่งไฟ (Ring of Fire)—แนวรอยเลื่อนที่ล้อมรอบมหาสมุทรแปซิฟิกไว้เกือบทั้งหมด

ในขณะที่แรงสั่นสะเทือนอาจไม่สัมผัสผู้คนบนฝั่งโดยตรง แต่หายนะที่ตามมานั้น รุนแรงและอันตรายกว่าที่ตาเห็น นั่นคือ “สึนามิ”

เมื่อเกิดแผ่นดินไหวใต้ทะเล โดยเฉพาะแบบที่รอยเลื่อนยกตัวแนวดิ่ง (thrust fault) ทำให้น้ำทะเลข้างบนถูกดันขึ้น—กลายเป็นคลื่นสึนามิที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงถึง 800 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ความเสียหายจากแผ่นดินไหวในทะเล

  • สึนามิ คลื่นสูงถึง 10-30 เมตร ซัดเข้าฝั่งด้วยพลังทำลายล้างเทียบเท่าระเบิดนิวเคลียร์
  • ท่าเรือเสียหาย โครงสร้างชายฝั่งพังยับ, ระบบเรือขนส่งหยุดชะงัก
  • น้ำท่วมและพัดพาสิ่งปลูกสร้าง เมืองทั้งเมืองอาจหายไปในพริบตา

ตัวอย่าง: แผ่นดินไหวใต้น้ำใกล้อินโดนีเซียเมื่อ 26 ธันวาคม 2004 (M9.1) ส่งคลื่นสึนามิถล่มประเทศต่างๆ รอบมหาสมุทรอินเดีย รวมถึงประเทศไทย คร่าชีวิตผู้คนกว่า 230,000 คน

ลึกหรือตื้น สำคัญแค่ไหน?

ความลึกของจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว (hypocenter) ก็เป็นปัจจัยสำคัญ

แผ่นดินไหว “ตื้น” (ลึก < 70 กม.): ให้แรงสั่นสะเทือนบนพื้นผิวรุนแรงที่สุด และเป็นต้นเหตุของความเสียหายหลัก

แผ่นดินไหว “ลึก” (ลึก > 300 กม.): แรงสั่นสะเทือนกระจายกว้าง แต่ความรุนแรงบนผิวโลกมักเบากว่า

แผ่นดินไหวใต้ทะเลที่จุดศูนย์กลาง “ตื้น” คือผู้ร้ายตัวจริงของสึนามิ

ไหวแบบไหนน่ากลัวกว่ากัน?

คำตอบไม่ได้ชัดเจนเสมอไป เพราะทั้งแผ่นดินไหวบนบกและในทะเลต่างมีความเสี่ยงในแบบของมันเอง แผ่นดินไหวบนบก มักสร้างความเสียหายแก่โครงสร้างพื้นฐานโดยตรง แผ่นดินไหวในทะเล อาจดูเงียบงัน แต่สามารถกลายเป็นภัยพิบัติระดับ “สิ้นเมือง” หากมาพร้อมกับสึนาม

ทุกประเทศที่มีความเสี่ยงต่อแผ่นดินไหวควรมีระบบเตือนภัยล่วงหน้า ระบบซ้อมอพยพ และการออกแบบอาคารให้รองรับแรงสั่นสะเทือน โดยเฉพาะในเขตชายฝั่งที่ต้องเฝ้าระวังทั้งแผ่นดินไหว และ สึนามิพร้อมกัน

โลกอาจขยับตัวโดยไม่เตือนล่วงหน้า—แต่เราเตรียมตัวรับมือได้

Aindravudh

นักเขียนประจำ Thaiger มีประสบการณ์เขียนข่าวมากกว่า 5 ปี จบการศึกษาด้านภาษาและประวัติศาสตร์ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความสนใจ ประเด็นความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง เจาะประเด็นข่าวทางสังคม ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องแบบย่อยง่าย อย่างงานเขียนสร้างสรรค์ สั้น กระชับ จับทุกประเด็น หัวข้อที่เชียวชาญคือเรื่องไลฟ์สไตล์ เลขเด็ด หวยรัฐบาลไทย หวยลาว ช่องทางติดต่อ vajara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button