กางงานวิจัย กินกระเทียมสด สลายลิ่มเลือด ได้จริงหรือ

กระเทียม (Allium sativum) เป็นสมุนไพรที่ใช้เป็นทั้งอาหารและยาในหลายวัฒนธรรมมานาน ด้วยมีสรรพคุณที่เชื่อว่าช่วยบำรุงสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นและป้องกันโรคต่าง ๆ หลายคนอาจเคยได้ยินว่าการกินกระเทียมสดสามารถช่วย “ละลาย” หรือลดการเกิดลิ่มเลือดในร่างกาย ซึ่งลิ่มเลือดเป็นสาเหตุของโรคร้ายแรงอย่างหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง บทความนี้จะให้ความรู้เกี่ยวกับลิ่มเลือดว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร อันตรายต่อสุขภาพเพียงใด พร้อมอธิบายกลไกที่กระเทียมมีผลในการสลายลิ่มเลือดโดยอ้างอิงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้ยังแนะนำวิธีการบริโภคกระเทียมสดให้ได้ผลดีที่สุด ปริมาณที่เหมาะสมและข้อควรระวัง ตลอดจนเปรียบเทียบประสิทธิผลกับยาละลายลิ่มเลือดทางการแพทย์ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถนำข้อมูลไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้
ลิ่มเลือดคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร?
ลิ่มเลือด คือก้อนเลือดที่แข็งตัวเป็นเจลเหนียว เกิดจากกระบวนการที่เลือดจับตัวกันเพื่อหยุดการไหลของเลือดเมื่อเกิดบาดแผล การเกิดลิ่มเลือดเป็นกลไกปกติของร่างกายในการห้ามเลือดไม่ให้เสียมากเกินไป อย่างเช่นเวลาเราเกิดแผลเลือดออก เกล็ดเลือด (platelets) จะเข้าไปจับที่บริเวณแผลและปล่อยสารเคมีที่กระตุ้นให้เกล็ดเลือดอื่น ๆ มารวมตัวกัน
จากนั้นมีการกระตุ้น ปัจจัยการแข็งตัวของเลือด ให้เปลี่ยนโปรตีนไฟบรินโนเจนในเลือดให้กลายเป็นเส้นใยไฟบริน (fibrin) ถักร้อยคล้ายตาข่ายดักจับเกล็ดเลือดจนกลายเป็นก้อนลิ่มเลือดที่อุดรูรั่วของหลอดเลือด กระบวนการนี้ทำให้เลือดหยุดไหลและป้องกันการเสียเลือดเมื่อมีบาดแผล
โดยปกติร่างกายจะควบคุมให้ลิ่มเลือดก่อตัวเฉพาะตรงบริเวณที่มีความเสียหายและจำเป็นต้องห้ามเลือดเท่านั้น และจะมีระบบย่อยสลายลิ่มเลือดเมื่อแผลหายดีแล้ว อย่างไรก็ตาม ลิ่มเลือดสามารถเกิดขึ้นได้โดยผิดปกติภายในหลอดเลือด แม้ไม่มีบาดแผล เช่น เกิดจากความผิดปกติของผนังหลอดเลือด การไหลเวียนเลือดช้าลง หรือภาวะเลือดข้นหนืดเกินไป เป็นต้น ในกรณีเช่นนี้ ลิ่มเลือดที่ก่อตัวในหลอดเลือดอาจไม่สลายเองและกลายเป็นสิ่งอุดตันการไหลเวียนเลือดในหลอดเลือดนั้นๆ ทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า ลิ่มเลือดอุดตัน (thrombosis)
อันตรายของลิ่มเลือดต่อสุขภาพ
ลิ่มเลือดอุดตันที่เกิดขึ้นภายในหลอดเลือดอาจส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพ เนื่องจากลิ่มเลือดจะขัดขวางการไหลเวียนของเลือดไปสู่อวัยวะต่าง ๆ หากลิ่มเลือดไปอุดตันหลอดเลือดในสมองอาจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง (อัมพาต) หรือ Stroke ได้ หากอุดตันหลอดเลือดหัวใจก็จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเกิดเป็นหัวใจวาย นอกจากนี้ลิ่มเลือดที่ขา (หลอดเลือดดำส่วนลึก) อาจหลุดไปตามกระแสเลือดแล้วไปอุดตันที่ปอด เกิดเป็นภาวะลิ่มเลือดอุดตันในปอดที่อันตรายถึงชีวิต เป็นต้น
กล่าวได้ว่าลิ่มเลือดที่อุดตันหลอดเลือดสำคัญสามารถก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงถึงชีวิตในอวัยวะที่เลือดไปเลี้ยงไม่พอ ผู้ที่สงสัยว่าตนเองมีภาวะลิ่มเลือดอุดตัน (เช่น ขาบวมเจ็บผิดปกติ, เจ็บหน้าอกหายใจไม่อิ่มฉับพลัน เป็นต้น) ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการตรวจรักษา
กระเทียมมีผลต่อการสลายลิ่มเลือดอย่างไร ตามกลไกทางวิทยาศาสตร์
กระเทียมมีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพหลายชนิดที่ส่งผลต่อระบบการแข็งตัวของเลือดและการสลายลิ่มเลือด สารประกอบสำคัญคือกลุ่ม ออร์กาโนซัลเฟอร์ (organosulfur compounds) ที่ได้จากกระเทียมสด เช่น อัลลิซิน (allicin) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเราบด/สับกระเทียมสด และสารอนุพันธ์ที่เกิดจากอัลลิซินอย่าง อะโจอิน (ajoene) และไดอัลลิลซัลไฟด์ชนิดต่าง ๆ สารเหล่านี้มีฤทธิ์ ต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด ทำให้เกล็ดเลือดไม่จับตัวกันเป็นก้อนง่าย ช่วยป้องกันการก่อตัวของลิ่มเลือดได้บางส่วน
ตัวอย่างงานวิจัยพบว่าน้ำมันกระเทียมสามารถยับยั้งการสร้างทรอมบอกเซน (สารกระตุ้นการแข็งตัวของเกล็ดเลือด) และยับยั้งการรวมตัวของเกล็ดเลือดได้อย่างมีนัยสำคัญ ส่วนสารอะโจอินจากกระเทียมก็มีฤทธิ์ยับยั้งเกล็ดเลือดอย่างเด่นชัดเช่นกัน ซึ่งกลไกนี้คล้ายกับยาต้านเกล็ดเลือดอย่างแอสไพรินที่ลดการสร้างทรอมบอกเซน
นอกจากฤทธิ์ป้องกันการก่อตัวของลิ่มเลือดแล้ว กระเทียมยังมีผลต่อการสลายลิ่มเลือดที่มีอยู่แล้วด้วย สารบางชนิดในกระเทียมสามารถกระตุ้นระบบ ไฟบรินอลิซิส (fibrinolysis) ซึ่งเป็นกระบวนการย่อยสลายเส้นใยไฟบรินในลิ่มเลือด ส่งผลให้ลิ่มเลือดสลายตัวได้เร็วขึ้น มีรายงานว่าการให้สารสกัดกระเทียมสามารถเพิ่มกิจกรรมการสลายลิ่มเลือดเมื่อเทียบกับปกติได้อย่างมีนัยสำคัญในหลอดทดลอง
นอกจากนี้กระเทียมยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยปกป้องผนังหลอดเลือดจากความเสียหายและลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดทางอ้อมอีกด้วย
งานวิจัยที่สนับสนุนคุณสมบัติของกระเทียมในการช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น
มีการศึกษาวิจัยจำนวนมากที่ตรวจสอบผลของการบริโภคกระเทียมต่อสุขภาพหลอดเลือดและการเกิดลิ่มเลือด งานวิจัยหลายชิ้นสนับสนุนว่ากระเทียมมีส่วนช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นและลดความเสี่ยงการเกิดลิ่มเลือด เช่น การวิเคราะห์งานวิจัยล่าสุดพบว่าการกินกระเทียมระยะยาวมีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ประมาณ 10% และมีฤทธิ์บางอย่างในการป้องกันการแข็งตัวของเลือดและสลายลิ่มเลือดที่ก่อตัวแล้วในหลอดเลือด
นอกจากนี้สมาคมวิสัญญีแพทย์อเมริกันยังแนะนำว่าควรงดการบริโภคกระเทียมก่อนเข้ารับการผ่าตัดประมาณ 7 วัน เนื่องจากฤทธิ์ของกระเทียมที่ทำให้เลือดแข็งตัวช้าลง (เลือดหยุดยากขึ้น) ซึ่งเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่ากระเทียมมีผลในการทำให้เลือดบางลงจริง
ตัวอย่างงานวิจัยหนึ่งที่มักถูกอ้างถึง ดำเนินการกับอาสาสมัครชายวัยกลางคน ให้รับประทานกระเทียมสดวันละ 1 กลีบ (ประมาณ 3 กรัม) เป็นประจำต่อเนื่อง พบว่าหลังบริโภคกระเทียมไป 26 สัปดาห์ (ราว 6 เดือน) ระดับทรอมบอกเซน B2 ในเลือดของอาสาสมัครลดลงเฉลี่ยถึงประมาณ 80%
เมื่อเทียบกับก่อนเริ่มทดลอง ทรอมบอกเซน B2 เป็นสารเมแทบอไลต์ของทรอมบอกเซน A2 ซึ่งกระตุ้นการจับตัวของเกล็ดเลือด ดังนั้นการลดลงของทรอมบอกเซนถึง 80% บ่งชี้ว่าความสามารถในการเกิดลิ่มเลือดของร่างกายลดลงอย่างมาก นอกจากนี้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดของอาสาสมัครกลุ่มนี้ยังลดลงประมาณ 20% อีกด้วย ซึ่งสนับสนุนผลด้านบำรุงหลอดเลือดของกระเทียม
อีกงานวิจัยแบบสุ่มแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบระหว่างการให้รับประทานกระเทียมสกัดกับยาแผนปัจจุบัน พบว่าการรับประทานกระเทียมในขนาดสูง (ประมาณ 2,400 มก. ต่อวัน) ติดต่อกัน 3 สัปดาห์ สามารถลดการจับตัวของเกล็ดเลือด (เมื่อทดสอบด้วยสารกระตุ้น ADP และกรดอะราซิโดนิก) ได้อย่างมีนัยสำคัญ และยังทำให้เวลาเลือดแข็งตัวนานขึ้น (เลือดหยุดช้าลง)ในอาสาสมัครสุขภาพดี เมื่อเทียบกับก่อนรับประทาน
ผลการศึกษานี้สอดคล้องกับฤทธิ์ต้านเกล็ดเลือดของกระเทียมที่กล่าวไป และผู้วิจัยยังสรุปว่า กระเทียมอาจใช้เป็นการรักษาเสริมเพื่อช่วยลดการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดได้ (แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทดแทนยาได้ทั้งหมด ซึ่งจะกล่าวถึงในหัวข้อถัดไป) งานวิจัยเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างที่ยืนยันว่าการบริโภคกระเทียมเป็นประจำมีผลดีต่อการไหลเวียนเลือดและอาจช่วยลดความเสี่ยงของภาวะลิ่มเลือดอุดตัน
วิธีการบริโภคกระเทียมสดให้ได้ผลดีที่สุด
การรับประทานกระเทียมให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพสูงสุดควรทำอย่างเหมาะสม เพื่อให้สารออกฤทธิ์ในกระเทียมคงอยู่และดูดซึมได้ดี คำแนะนำต่อไปนี้คือวิธีบริโภคกระเทียมสดเพื่อให้เกิดผลดีที่สุด:
1. รับประทานกระเทียมแบบสดดิบ: การกินกระเทียมสดโดยไม่ผ่านความร้อนจะให้สารออกฤทธิ์มากที่สุด งานวิจัยพบว่ากระเทียมดิบมีฤทธิ์ยับยั้งเกล็ดเลือดดีกว่ากระเทียมปรุงสุกหลายเท่า (กระเทียมมีผลต้านเกล็ดเลือดแรงกว่าหัวหอมประมาณ 13 เท่า และหากปรุงสุกนาน ๆ ฤทธิ์นี้จะลดลง) ดังนั้นควรกินกระเทียมในรูปแบบดิบหรือสุกเพียงเล็กน้อยจะดีกว่าการปรุงจนสุกนาน
2. บดหรือสับกระเทียมก่อนรับประทาน: ในกระเทียมสดมีสารประกอบชื่ออัลลิอิน (alliin) ซึ่งจะถูกเอนไซม์อัลลิิเนสเปลี่ยนให้เป็น อัลลิซิน (allicin) ที่เป็นสารออกฤทธิ์สำคัญเมื่อกระเทียมถูกบดหรือสับหยาบๆ
การทุบ บด หรือหั่นกระเทียมจึงเป็นการกระตุ้นให้เกิดสารที่เป็นประโยชน์นี้ นอกจากนี้การเคี้ยวกระเทียมสดให้ละเอียดก่อนกลืนก็ช่วยให้อัลลิซินถูกปล่อยออกมาเช่นกัน
3. หลังจากบดหรือสับกระเทียม ควรรอประมาณ 5-10 นาที เพื่อให้อัลลิอินเปลี่ยนเป็นอัลลิซินได้เต็มที่ก่อนจะนำกระเทียมไปผสมอาหารหรือรับประทาน การศึกษาพบว่าการทิ้งไว้สักครู่ช่วยรักษาคุณสมบัติยับยั้งเกล็ดเลือดของกระเทียมไว้ได้ดีกว่าการปรุงทันที
อย่างไรก็ดี ความร้อนสามารถทำลายเอนไซม์และลดปริมาณสารออกฤทธิ์ในกระเทียมได้ งานวิจัยระบุว่าการไมโครเวฟหรืออบกระเทียมทั้งกลีบจนสุกทำให้เอนไซม์อัลลิิเนสถูกทำลายหมด และการต้ม/อบกระเทียมนานเกิน ~6 นาทีจะลดฤทธิ์ยับยั้งเกล็ดเลือดของกระเทียมลงอย่างมาก
ดังนั้นหากจะใช้กระเทียมในการปรุงอาหาร ควรใส่กระเทียมลงไปในขั้นตอนสุดท้ายหรือปรุงด้วยไฟอ่อนในเวลาสั้นๆ เพื่อคงคุณค่าของสารสำคัญ หรือวิธีที่ดียิ่งขึ้นคือปรุงอาหารเสร็จแล้วใส่กระเทียมสดสับลงไปคลุกหลังยกออกจากความร้อน
นอกจากวิธีข้างต้น การบริโภคกระเทียมสดอาจทำได้ง่ายขึ้นโดยการนำกระเทียมสดสับมาปรุงเป็นอาหารต่าง ๆ เช่น ใส่ในน้ำสลัด ใส่ในซอสเพสโต้ โยเกิร์ต หรือทานคู่กับน้ำผึ้งมะนาวเพื่อลดความฉุน การกินกระเทียมสดพร้อมอาหารจะช่วยลดการระคายเคืองกระเพาะและกลิ่นปากที่รุนแรงได้บ้าง ทั้งนี้ไม่ควรเติมกระเทียมสดในอาหารที่ร้อนจัดทันทีเพราะความร้อนจะทำลายสารสำคัญดังที่กล่าวไป
ปริมาณที่แนะนำและข้อควรระวังในการบริโภค
ปริมาณกระเทียมสดที่แนะนำให้รับประทานเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพอยู่ที่ประมาณ วันละ 2-5 กรัม (ประมาณ 1-2 กลีบกลางๆ) ซึ่งถือเป็นปริมาณที่ใช้ในการศึกษาวิจัยหลายชิ้นและสอดคล้องกับการบริโภคในอาหารตามปกติ
การบริโภคในปริมาณดังกล่าวเป็นระยะยาวถือว่าค่อนข้างปลอดภัยสำหรับคนทั่วไป และเพียงพอที่จะได้รับสารออกฤทธิ์ต่าง ๆ จากกระเทียม อย่างไรก็ตาม ไม่ควรบริโภคกระเทียมในปริมาณที่มากเกินไปติดต่อกันเป็นเวลานาน (เช่น กินกระเทียมสดครั้งละหลายๆ กลีบทุกวัน) โดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะแม้กระเทียมจะเป็นอาหารธรรมชาติแต่ก็อาจเกิดผลข้างเคียงได้เมื่อได้รับในขนาดสูงเกินไป
ข้อควรระวังในการกินกระเทียมสด
ผลต่อการแข็งตัวของเลือด กระเทียมมีฤทธิ์ทำให้เลือดแข็งตัวช้าลง ดังนั้น ผู้ที่มีปัญหาเลือดออกหรือเลือดหยุดยากเช่น โรคเลือดออกง่าย ฮีโมฟีเลีย หรือผู้ที่กำลังใช้ยาแอสไพริน ยาต้านเกล็ดเลือด (เช่น clopidogrel) หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด (เช่น วาร์ฟาริน หรือยากลุ่มโนแอกซ์) ควรระมัดระวังการทานกระเทียมในปริมาณสูงและปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เนื่องจากกระเทียมอาจเสริมฤทธิ์ยาทำให้เลือดบางลงและเสี่ยงเลือดออกง่ายขึ้น
ในทำนองเดียวกัน หากมีกำหนดจะเข้ารับการผ่าตัด ควรหยุดกินกระเทียมและอาหารเสริมกระเทียมล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วันตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อป้องกันภาวะเลือดไหลไม่หยุดระหว่างผ่าตัด
การระคายเคืองทางเดินอาหาร: การกินกระเทียมสดจำนวนมากอาจทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ในบางราย อาจมีอาการปวดแสบท้อง จุกเสียด หรือท้องเสียได้ โดยเฉพาะหากกินในขณะท้องว่าง ควรกินพร้อมอาหารเพื่อลดการระคายเคือง ผู้ที่มีโรคกระเพาะควรระมัดระวังเป็นพิเศษ
กลิ่นปากและกลิ่นตัว: สารกำมะถันในกระเทียมจะถูกขับออกทางลมหายใจและเหงื่อ ทำให้เกิดกลิ่นตัวหรือกลิ่นปากแรงหลังบริโภคได้ ถือเป็นผลข้างเคียงที่ไม่ร้ายแรงแต่น่ารำคาญ การแปรงฟันหรือเคี้ยวใบสาระแหน่หลังทานกระเทียมอาจช่วยบรรเทากลิ่นได้บ้าง
อาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้น: แม้พบได้น้อยมาก แต่บางคนอาจแพ้กระเทียมได้ ทำให้เกิดผื่นคัน ผิวหนังอักเสบ หรือหอบหืดจากการสัมผัส/รับประทานกระเทียมดิบ หากเคยมีประวัติแพ้กระเทียมหรืออาหารกลุ่มหัวหอม ควรหลีกเลี่ยงการทานกระเทียมสดปริมาณมาก
หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร: โดยทั่วไปการใช้กระเทียมปรุงอาหารในปริมาณปรกติถือว่าปลอดภัยในคนท้อง แต่ ไม่แนะนำให้รับประทานกระเทียมหรือผลิตภัณฑ์เสริมกระเทียมในขนาดสูงกว่าปกติในช่วงตั้งครรภ์และให้นมบุตรเพราะยังมีข้อมูลจำกัดเกี่ยวกับความปลอดภัยในขนาดสูง ดังนั้นควรกินในปริมาณอาหารปกติและปรึกษาแพทย์หากต้องการใช้เป็นสมุนไพรบำรุง
เปรียบเทียบกับยาละลายลิ่มเลือดทางการแพทย์
แม้ว่ากระเทียมสดจะมีคุณสมบัติช่วยทำให้เลือดไม่แข็งตัวง่ายและช่วยสลายลิ่มเลือดเล็ก ๆ ได้ในระดับหนึ่ง แต่ประสิทธิภาพและความเร็วในการออกฤทธิ์นั้นยังถือว่าอ่อนกว่าเมื่อเทียบกับยาละลายลิ่มเลือดหรือยาป้องกันลิ่มเลือดทางการแพทย์ที่แพทย์ใช้รักษาผู้ป่วยโดยตรง ในทางการแพทย์มีการใช้ยาอยู่หลายประเภทเพื่อจัดการกับลิ่มเลือด เช่น ยาต้านเกล็ดเลือด (antiplatelets) อย่างยาแอสไพรินหรือโคลพิโดเกรล ซึ่งลดการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดไม่ให้เกิดลิ่มเลือดใหม่, ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulants) อย่างวาร์ฟารินหรือเฮพาริน ซึ่งชะลอการแข็งตัวของเลือดและป้องกันลิ่มเลือดโตขึ้น, รวมถึง ยาละลายลิ่มเลือด (thrombolytics) เช่น ยาสลายลิ่มเลือดชนิดฉีดอย่าง alteplase หรือ streptokinase ที่มีฤทธิ์กระตุ้นให้สลายเส้นใยไฟบรินอย่างรวดเร็ว ใช้ในภาวะฉุกเฉินเช่น โรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันหรือโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน โดยยาทางการแพทย์เหล่านี้มีการปรับขนาดยาและควบคุมการใช้โดยแพทย์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดสมดุลระหว่างประสิทธิผลในการละลายลิ่มเลือดกับความเสี่ยงต่อภาวะเลือดออก
ในขณะที่กระเทียมมีฤทธิ์บางด้านคล้ายยาพวกนี้ (เช่น ฤทธิ์ทำให้เลือดบางลงคล้ายยาแอสไพริน) แต่กระเทียมไม่สามารถทดแทนยาในการรักษาภาวะลิ่มเลือดอุดตันที่รุนแรงได้ หากเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดหัวใจหรือสมอง การรักษาที่มีประสิทธิภาพและทันท่วงทีต้องอาศัยยาละลายลิ่มเลือดหรือหัตถการทางการแพทย์ เช่น การฉีดยาสลายลิ่มเลือดหรือการสวนเข้าไปเปิดหลอดเลือด การกินกระเทียมไม่สามารถออกฤทธิ์เร็วพอที่จะรักษาภาวะเฉียบพลันเหล่านี้ได้ ดังนั้น ควรใช้กระเทียมเป็นการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันในระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่ควรงดหรือหยุดยาที่แพทย์สั่งแล้วหันมากินกระเทียมแทน การศึกษาทางคลินิกหลายชิ้นแนะนำว่าการใช้กระเทียมอาจเป็น “การรักษาเสริม” ร่วมกับการรักษาหลักได้ เช่น ช่วยเสริมฤทธิ์การต้านเกล็ดเลือดร่วมกับยา แต่ไม่ควรใช้แทนการรักษามาตรฐานทั้งหมด
กระเทียมนั้นเหมาะที่จะใช้ในลักษณะการป้องกันระยะยาวสำหรับผู้ที่สุขภาพทั่วไป แข็งแรงหรือผู้ที่มีความเสี่ยงเล็กน้อย แต่หากเป็นผู้ป่วยที่แพทย์วินิจฉัยว่ามีภาวะลิ่มเลือดอุดตันหรือความเสี่ยงสูง ก็ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และใช้ยาที่สั่งอย่างเคร่งครัด โดยอาจบริโภคกระเทียมเสริมในปริมาณพอเหมาะได้ตามที่แพทย์เห็นสมควร
สรุปแล้ว กระเทียมสดเป็นสมุนไพรธรรมชาติที่มีงานวิจัยสนับสนุนว่าสามารถช่วยให้เลือดไหลเวียนดี ลดการแข็งตัวของเลือดและส่งเสริมการสลายลิ่มเลือดเล็ก ๆ ได้ จึงอาจมีส่วนช่วยป้องกันโรคร้ายแรงอย่างหัวใจวายหรืออัมพาตได้ในระยะยาว แต่ควรใช้เป็นการส่งเสริมสุขภาพร่วมกับการดูแลด้านอื่น ๆ เช่น การควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย มากกว่าจะหวังผลในการรักษาโรคเฉียบพลัน กระเทียมไม่ใช่ “ยาวิเศษ” ที่จะแทนที่ยาละลายลิ่มเลือดทางการแพทย์ได้ทันที อย่างไรก็ดี การบริโภคกระเทียมสดวันละ 1-2 กลีบในผู้ที่สุขภาพแข็งแรงถือเป็นทางเลือกที่ดีและปลอดภัยในการดูแลสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด โดยต้องระมัดระวังปัจจัยข้อควรระวังต่าง ๆ ที่ได้กล่าวไป เมื่อเข้าใจคุณสมบัติและวิธีใช้ที่ถูกต้องแล้ว ผู้อ่านก็สามารถนำกระเทียมสดมาเป็นตัวช่วยเสริมในการรักษาสุขภาพโลหิตและหลอดเลือดในชีวิตประจำวันได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพ
อ้างอิง:
- Pobpad, “ลิ่มเลือด ภัยร้ายอันตรายถึงชีวิต” pobpad.com
- MedPark Hospital, “ลิ่มเลือดอุดตัน (Thrombosis)” pobpad.com
- Frontiers in Pharmacology, Rong et al. (2022), “Roles and mechanisms of garlic and its extracts on atherosclerosis: A review” frontiersin.org
- NutritionFacts.org, Greger M. (2018), “Raw vs. Cooked Garlic and Onions for Blood Thinning”
- Ali M., Thomson M. (1995), “Consumption of a garlic clove a day could be beneficial in preventing thrombosis” pubmed.ncbi.nlm.nih.gov
- Hashemi Tayer A. et al. (2012), “Effect of the Garlic Pill in comparison with Plavix on Platelet Aggregation and Bleeding Time” pmc.ncbi.nlm.nih.gov
- HSIS (Health Supplements Information Service), “Garlic (Allium sativum)”(ข้อมูลการใช้กระเทียมเป็นอาหารเสริม ปริมาณที่แนะนำ และข้อควรระวังเรื่องเลือด)
- LPI – Oregon State University, “Garlic – Micronutrient Information Center” lpi.oregonstate.edu